หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 467
บทที่ 467
เฉียวเจาเห็นหยางโฮ่วเฉิงโดนเซี่ยเซิงเซียวไล่ตีจนเอามือกุมศีรษะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแล้วอมยิ้มน้อยๆ เบนหน้าไปพูดกับเซ่าหมิงยวน “ยั่วให้คุณหนูเซี่ยโมโหได้เพียงนั้น พี่หยางร้ายกาจไม่เบาเลยนะ”
เซ่าหมิงยวนเงี่ยหูฟังแล้วหัวเราะ “ดูเหมือนคุณหนูเซี่ยใกล้จะไล่ตามฉงซานทันแล้ว”
สมดังคาดสิ้นเสียงเขาไม่ทันไร เซี่ยเซิงเซียวก็ยื่นมือหนึ่งคว้าแขนของหยางโฮ่วเฉิงไว้หมับแล้วกระชากเขาจนล้มลงกับพื้น จากนั้นรัวหมัดใส่เขาไม่ยั้งดุจห่าฝน
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้นกล่าว “คุณหนูเซี่ยมือหนักน่าดูเหมือนกัน”
“ข้าเข้าไปห้ามดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง ฉงซานหนังหนาหัวแข็ง”
เฉียวเจาอมยิ้มมองเขา “ในเมื่อท่านยังกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่ยุ่งด้วยแล้ว”
เซ่าหมิงยวนได้ทีจับมือนางไว้ ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหู “ข้าก็หนังหนาหัวแข็ง วันหน้าถ้าข้ายั่วโทสะเจ้า เจ้าตีข้าได้ตามสบายเลย”
นัยน์ตาของชายหนุ่มใสกระจ่างดุจดวงดาวคืนเหมันต์ รอยยิ้มตรงมุมปากเขาแฝงความอ่อนโยนไว้เต็มเปี่ยม
เฉียวเจาปล่อยให้เขากุมมือไว้ นางถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ถิงเฉวียน ท่านมิสู้รออยู่ที่นี่เถอะ”
นางพูดกล่อมเขาต่อไปไม่ค่อยออกแล้ว
คนอย่างเซ่าหมิงยวนเคยตกอยู่ในสภาพสิ้นท่าปานนี้เมื่อไรกัน นางพูดกล่อมให้เขาหลบอยู่ข้างหลังคนอื่น ในใจเขาต้องอึดอัดทรมานเป็นแน่
กระนั้นนางยังคงอดเป็นห่วงไม่ได้ นางอยากให้เขาปลอดภัย ถึงเขาต้องทรมานใจก็ยอม
เซ่าหมิงยวนกุมมือนางแน่นๆ ลดสุ้มเสียงลงเอ่ยถาม “เจาเจาเป็นห่วงข้าหรือ”
เฉียวเจาเม้มปากไม่กล่าววาจา
“วางใจได้ ต่อให้ข้าตาบอดไปแล้ว เรื่องนำทัพออกศึกก็ไม่ด้อยกว่าผู้อื่นดุจเดิม”
พอชายหนุ่มพูดอย่างมั่นใจในตนเอง นางก็หัวเราะออกแล้ว “ได้ ข้าจะรอให้ท่านสังหารชาววอโค่วให้สิ้นซากไม่เหลือหลอ”
ยามองครักษ์ทยอยกันกระโดดขึ้นเรือของชาววอโค่วที่ไล่ตามจับพวกเซี่ยเซิงเซียวไปทีละคน พวกเฉียวเจายืนส่งอยู่ตรงหัวเรือ
“สือซี ฝากเจ้าดูแลคนที่รออยู่ที่นี่ด้วยนะ” เซ่าหมิงยวนหันหน้าไปทางฉือชั่นพลางกล่าว
ฉือชั่นโบกมือไปมา “เลิกพูดพล่ามได้แล้ว พวกเจ้ารีบไปรีบกลับ ไม่แน่ว่ายังกลับมาทันอาหารเย็นก็เป็นได้”
เซ่าหมิงยวนประสานมือล่ำลาสหาย “จริงของเจ้า ถ้าอย่างนั้นพวกข้าออกเดินทางแล้วนะ”
เยี่ยลั่วเดินอยู่ข้างกายเขา ท่ามกลางสายตาของผู้คนแม่ทัพหนุ่มในชุดสีดำสนิทไม่แสดงท่าทางผิดปกติใดๆ กระโจนข้ามไปบนเรืออีกลำด้วยฝีเท้าคล่องแคล่ว
ด้านหยางโฮ่วเฉิงซึ่งมีรอยฟกช้ำตรงมุมปากโบกมือให้พวกเฉียวเจาพลางตะโกนพูดอย่างคึกคัก “รอพวกข้ากลับมานะ”
เซี่ยเซิงเซียวลูบดาบยาวตรงข้างเอวพร้อมเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง
เจ้าคนปัญญาทึบผู้นี้ ทุกคนกำลังจะไปสังหารชาววอโค่ว เขานึกว่าไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติในฤดูใบไม้ผลิหรือไร
“ท่านแม่ทัพ ออกเรือได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ” เฉินกวงเข้ามาขอคำสั่ง
“เฉินกวง เจ้ามาใกล้ๆ”
“ท่านแม่ทัพมีสิ่งใดจะสั่งกำชับขอรับ”
“เจ้าลงเรือไปตอนนี้เลย”
เฉินกวงงุนงง “ท่านแม่ทัพ?”
น้ำเสียงของเซ่าหมิงยวนราบเรียบ “ช่วยข้าดูแลคุณหนูหลีให้ดี คอยเฝ้าดูสัญญาณจากเกาะทุกเวลา หากปรากฏสัญญาณถอนกำลัง พาพวกคุณหนูหลีไปจากที่นี่ทันที”
“ท่านแม่ทัพ…” เฉินกวงยากจะยอมรับได้อยู่บ้าง เพราะอะไรเขาต้องรออยู่ที่นี่ ไม่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ท่านแม่ทัพ?
“เฉินกวง เจ้าเป็นคนมีไหวพริบ ให้เจ้าอยู่ที่นี่ข้าจะวางใจได้มากขึ้น เจ้าจงรู้ไว้ว่าภารกิจของเจ้าสำคัญกว่า ขอแค่ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ข้าถึงจะรับศึกได้โดยไม่เสียสมาธิ”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ท่านแม่ทัพวางใจได้เต็มที่” เฉินกวงกัดฟันหมุนกายกระโดดกลับขึ้นเรือลำเดิม
เซ่าหมิงยวนโบกมือพร้อมเอ่ยสั่ง “ออกเรือ”
เรือสองลำเคลื่อนออกห่างจากกันอย่างรวดเร็ว ขณะมองดูบุรุษร่างสูงสง่าในชุดสีดำสนิทผู้นั้นอยู่ไกลออกไปทุกทีๆ เฉียวเจากำมือเป็นหมัดแน่น เปล่งเสียงตะโกนอย่างห้ามไม่อยู่ “พี่เซ่ารักษาตัวด้วย!”
แม่ทัพหนุ่มหันมองไปทางที่เด็กสาวยืนอยู่พร้อมกับโบกมือไปมา
“พอแล้ว ถิงเฉวียนไม่เคยผ่านศึกแบบใดมาบ้าง อย่าเป็นห่วงโดยใช่เหตุ” ฉือชั่นชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง
เฉียวเจากล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แม้รู้ว่าเป็นห่วงไปก็ป่วยการ แต่ยังคงอดเป็นห่วงไม่ได้”
ฉือชั่นฟังแล้วคับอกคับใจ เขาเบะมุมปากแล้วกล่าว “เดินหมากกันดีหรือไม่”
“ได้”
เขาอึ้งงันไปเล็กน้อย อันที่จริงเขาถามไปอย่างนั้นๆ ไม่คิดว่าหลีซานจะตอบตกลง
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
ทั้งคู่มิได้กลับห้อง แต่ตั้งกระดานหมากไว้ด้านนอกแล้วเริ่มดวลฝีมือกัน
ฉือชั่นเป็นคนเดินหมากช้าจนขึ้นชื่อ ฝ่ายเฉียวเจากำลังห่วงพะวงถึงพวกเซ่าหมิงยวนอยู่ในใจ ย่อมยินดีที่จะได้ฆ่าเวลาอย่างนี้ นางจึงเดินหมากกับเขาอย่างไม่เร็วไม่ช้า
เวลาล่วงผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อยจนกระทั่งผืนฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อาจูเดินมาอย่างเร่งร้อน “คุณหนู แม่นางผู้นั้นอาละวาดใหญ่เลยเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาลุกขึ้นยืนเอ่ย “ไปดูกัน”
เมื่อพวกนางไปถึง หญิงสาวคนอื่นๆ ล้วนหลบอยู่ไกลๆ ชะเง้อคอเมียงมอง พอได้ยินสตรีในห้องแผดเสียงร้อง ทุกคนก็ทำสีหน้าตื่นกลัวไปตามๆ กัน
เฉียวเจายืนฟังอยู่หน้าประตู
“คุณหนูสาม ข้าเข้าไปตีศีรษะนางให้สลบเหมือนเดิมดีกว่าขอรับ”
“อย่าเพิ่งรีบตีศีรษะนางให้สลบ อาจู เจ้าไปยกยามา ป้อนยาให้นางดื่มอีกครั้ง”
เฉินกวงไม่เข้าใจ “ไหนบอกว่าแม่นางคนนั้นหมดทางรักษาแล้วมิใช่หรือขอรับ”
เฉียวเจามองเขาแล้วคลี่ยิ้ม “ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้นางได้สักนิดก็ยังดี”
ไม่นานนักอาจูก็เดินยกชามยามา เฉินกวงรับไว้ทันทีแล้วกล่าว “คุณหนูสาม ข้าเป็นคนป้อนนางเองขอรับ”
“ตกลง เจ้าระวังตัวหน่อยนะ”
“ดูเหมือนในห้องไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว” เฉินกวงผลักประตูพลางบอก
หลังประตูเปิดออก หญิงสาวนอนนิ่งสนิทอยู่บนพื้น
เฉินกวงก้มตัวไปตรวจดู “คุณหนูสาม นางหมดสติไปแล้วขอรับ”
เฉียวเจาได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “เร็วเพียงนี้?”
“คุณหนูสาม นางวิ่งชนจนสลบไปเองใช่หรือไม่ขอรับ”
“อุ้มนางไปไว้บนเตียง ข้าจะตรวจอาการสักหน่อย”
ครั้นตรวจเสร็จแล้วสีหน้าของเฉียวเจาเคร่งเครียดมากขึ้น นางพูดพึมพำ “อาการของนางทรุดลงเร็วเกินไปบ้าง ยังไม่ทันครบหนึ่งวันก็เข้าสู่ช่วงไม่ได้สติแล้ว”
นางเห็นเฉินกวงทำหน้าฉงนใจ จึงถอนใจเฮือกพลางเอ่ย “ไม่ต้องป้อนยาแล้ว นางคงทนได้อีกไม่นาน”
“เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือนี่” เฉินกวงอ้าปากค้าง พิษสุนัขบ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว!
จิตใจของเฉียวเจาหนักอึ้งขึ้นอย่างไร้สาเหตุ
จุดที่ผิดปกติมักมีนัยถึงอันตรายและปัญหายุ่งยากที่ยังไม่ล่วงรู้
หรือว่าสภาพโดยรอบเกาะหมิงเฟิงผิดจากสามัญ หรือเดิมทีเกาะกลางทะเลแตกต่างจากที่ที่พวกนางใช้ชีวิตอยู่ตามปกติเป็นอย่างมาก ฉะนั้นโรคที่ถ่ายทอดสู่กันได้ส่วนใหญ่จึงรุนแรงมากกว่าที่นางเคยรับรู้มา
หากเป็นอย่างนี้นอกจากพวกเซ่าหมิงยวนต้องเผชิญหน้ากับชาววอโค่วพวกนั้น ยังมีอันตรายที่เป็นปริศนาอยู่อีกหรือไม่
เฉียวเจาสะกดความกระวนกระวายใจไว้ นางเดินออกนอกประตูไปบอกกับพวกหญิงสาวที่ชะเง้อมองอยู่ “แม่นางคนนั้นหมดสติไปแล้วจะไม่ทำร้ายใครอีก หากพวกท่านอยากกล่าวอำลานางก็เข้ามาเถอะ”
สตรีทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครกล้าขยับเท้าสักก้าวเดียว
เฉียวเจาก็ไม่ฝืนใจใคร สาวเท้าเดินกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ดวงดาวพราวพร่างเต็มฟ้า เสียงคลื่นดังเป็นระลอก เฉียวเจาแลมองไปยังทิศทางของเกาะหมิงเฟิงอย่างเหม่อลอย ปล่อยให้ลมทะเลเย็นเยียบพัดปอยผมและชายกระโปรงปลิวไสว
“เจ้าเป็นห่วงอยู่หรือ” ฉือชั่นเดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆ
“แม่นางผู้นั้นไม่น่าจะทนผ่านคืนนี้ไปได้แล้ว”
“นั่นเป็นเพราะนางโชคไม่ดี นางมิใช่ญาติมิตรของเจ้าสักหน่อย หรือเจ้ายังจะหลั่งน้ำตาให้ด้วย” ฉือชั่นนึกถึงหญิงสาวพวกนั้นแล้วแค่นเสียงเยาะอย่างสุดระงับ “อย่าลืมว่าสตรีที่ผจญความทุกข์ยากมาด้วยกันกับนางทั้งหลายนั่นไม่กล้าไปดูใจนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำไป”
เฉียวเจาคลายยิ้ม “จะบอกว่าเสียใจก็ไม่เชิง แต่ถิงเฉวียนจะขึ้นเกาะในราตรีนี้ ข้าเป็นห่วงอยู่บ้างเจ้าค่ะ”