หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 468
บทที่ 468
“ถิงเฉวียน” ฉือชั่นพึมพำทวนสองคำนี้ เขามองนางอย่างพินิจ “หลีซาน เจ้าเรียกถิงเฉวียนได้ไม่กระดากปากนัก เจ้าอ่อนวัยกว่าเขาตั้งเจ็ดแปดปีเชียวนะ”
“แต่ว่าเรียกถิงเฉวียนน่าฟังกว่าพี่เซ่านี่เจ้าคะ” เฉียวเจาทำไขสือกล่าวขึ้น
ฉือชั่นทำปากเบ้ สือซียังน่าฟังกว่าถิงเฉวียนอีก ไม่เคยเห็นนางเรียกขานเขาเช่นนี้บ้างเลย!
ช่างเถิด เขาคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับว่าที่ภรรยาชาวบ้าน!
ฉือชั่นพูดวกกลับเข้าเรื่องเดิม “เจ้าจะเป็นห่วงอะไร สำหรับพวกถิงเฉวียนแล้ว การบุกโจมตีกะทันหันยามวิกาลเป็นเรื่องกระทำอยู่บ่อยๆ”
“ข้ากลัวว่านอกจากชาววอโค่ว บนเกาะหมิงเฟิงยังมีภัยร้ายอื่นแอบแฝงอยู่” นางทอดสายตามองไปไกลๆ ท้องทะเลสีดำแกมน้ำเงินแต่งแต้มด้วยพรายน้ำระยิบระยับ แลดูลึกลับและแฝงปริศนาไว้
“เจ้าวางใจได้ ถิงเฉวียนไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับตนเองหรอก” ฉือชั่นมองนางนิ่งๆ “เพราะว่าเจ้าอยู่ที่นี่”
เขาพูดประโยคนี้แล้วกระตุกมุมปากเล็กน้อย จากนั้นหมุนกายผละไป
ตกดึก หญิงสาวที่ถูกสุนัขบ้ากัดเป็นแผลคนนั้นหมดลมหายใจจากไปอย่างเงียบๆ ทั้งในสภาพนอนสลบไสลอยู่
ยามเดินทางอยู่กลางทะเลแล้วมีคนจบชีวิตลง วิธีจัดการที่แสนง่ายดายคือห่อด้วยเสื่อผืนหนึ่งแล้วโยนทิ้งทะเล
พอของหนักหล่นลงสู่ทะเลก็ก่อระลอกคลื่นกระเพื่อมออกไปเป็นวง ก่อนผิวน้ำจะนิ่งเรียบดังเดิมในเวลาอันสั้นราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นมาก่อน
หญิงสาวหลายคนเพิ่งเดินอย่างกล้าๆ กลัวๆ มาตรงหัวเรือในเวลานี้ ยกมือปิดปากร่ำไห้กระซิกๆ
ฉือชั่นเลิกคิ้วอย่างรำคาญใจ “อย่ามาร้องไห้โหยหวนตอนกลางคืน อัปมงคล!”
สตรีพวกนี้ช่างน่าขันจริงๆ ตอนคนยังมีชีวิตอยู่ให้พวกนางมาดูใจเป็นครั้งสุดท้าย แต่ละคนพากันหลบหลีกไม่กล้าเข้าใกล้ บัดนี้คนตายไปแล้วถูกโยนลงทะเล กลับรู้จักร้องไห้แล้ว
พอฉือชั่นสบถด่าคำนี้ สตรีทั้งหลายปิดปากเงียบทันควัน
มาตรว่าบุรุษเบื้องหน้าจะรูปงามหาผู้ใดเทียบเคียงได้ แต่สำหรับหญิงสาวที่หนีเอาชีวิตรอดจากอุ้งมือของชาววอโค่วเหล่านี้แล้วต่างไม่มีแก่ใจชื่นชมสักนิด พวกนางล้วนมองเฉียวเจาด้วยสายตาวาดหวัง
เฉียวเจารู้ว่าขณะนี้พวกนางเป็นดั่งนกตื่นกลัวธนู จึงพูดปลุกปลอบด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ดึกมากแล้ว พวกท่านกลับไปพักผ่อนกันเถอะ ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”
หญิงสาวหนึ่งในนั้นรวบรวมความกล้าเอ่ยถามขึ้น “คุณหนูหลี ท่านผู้กล้าพวกนั้นไปโจมตีเกาะหมิงเฟิงจริงๆ หรือเจ้าคะ”
เฉียวเจาพยักหน้า
“แล้ว…แล้วถ้า…”
“พวกท่านไม่ต้องกังวลใจเรื่องพวกนี้ รอคอยอย่างสบายใจเท่านั้นเป็นพอ”
“คุณหนูหลี ข้าอาศัยอยู่ในตำบลไป๋อวี๋ เคยได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังว่าบนเกาะหมิงเฟิงเลี้ยงสุนัขดุร้ายไว้มากมาย หากท่านผู้กล้าทั้งหลายขึ้นเกาะไปกลางดึก เป็นไปได้มากว่าพวกมันอาจได้กลิ่นพวกเขานะเจ้าคะ”
“พวกเขาต้องระวังตัวแน่” เฉียวเจากล่าวปลอบหญิงสาวพวกนี้พร้อมทั้งตนเองด้วย สายตาของนางมองทอดไปยังที่ไกลๆ อย่างห้ามไม่อยู่
ดึกสงัดมากขึ้น เรือลำใหญ่ซึ่งลอยเคลื่อนอยู่กลางพื้นน้ำค่อยๆ คืบคลานเข้าไปใกล้เกาะหมิงเฟิงประหนึ่งสัตว์ร้ายสีดำ
จากการเค้นถามจากปากชาววอโค่วที่จับเป็นมาได้ความว่าเกาะหมิงเฟิงมีสัณฐานเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว จุดที่ขึ้นเกาะเป็นป่าทึบผืนหนึ่ง ต้องเดินตัดผ่านป่าไปถึงจะเป็นที่พักอาศัยของชาววอโค่ว
ป่าทึบผืนนั้นเป็นจุดที่เหมาะต่อการดักซุ่มและสังเกตการณ์ของชาววอโค่วมากที่สุด ประกอบกับเลี้ยงสุนัขดุร้ายไว้ลาดตระเวนบนเกาะไม่น้อย เกาะหมิงเฟิงจึงนับได้ว่าเป็นชัยภูมิที่ป้องกันได้ง่ายแต่โจมตีได้ยาก
เรือแล่นเข้าใกล้เกาะทีละน้อย
“ท่านแม่ทัพ บนเกาะไม่ค่อยชอบมาพากล ในเวลานี้ยังมีแสงไฟอยู่ขอรับ” เยี่ยลั่วกล่าวเสียงเบา
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่ตรงหัวเรือ เพราะเขามองไม่เห็น กลับทำให้หูไวยิ่งขึ้น
“มีเสียงคน” เขาหลับตาได้ยินเสียงลมวนเวียนอยู่ข้างหู “ไกลมาก ค่อนข้างอึกทึกวุ่นวาย”
เบื้องหน้าเป็นผืนป่าทึบมองเห็นแสงไฟสลัวได้รำไร คนอื่นๆ เพียงได้ยินเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง แม้แต่เสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกันซู่ๆ ยังไม่กระจ่างชัดเท่าไรนัก
เซี่ยเซิงเซียวอดมองบุรุษที่ยืนหลับตาปราดหนึ่งไม่ได้แล้วลอบประหลาดใจ
กวนจวินโหวได้ยินเสียงคนหรือนี่
“แปลกมากที่ตอนนี้ยังมีเสียงคน” เซ่าหมิงยวนเงี่ยหูฟังครู่หนึ่งถึงออกคำสั่ง “เอาตัวชาววอโค่วสามคนมาที่นี่”
คนที่ถูกมัดมือไพล่หลังสามคนถูกผลักมาอยู่ตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
“ปกติในป่ามีสุนัขอยู่กี่ตัว” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
เยี่ยลั่วที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ถ้าทั้งสามคนบอกจำนวนไม่เท่ากัน ตัดหูออกคนละข้าง ถ้าคนใดไม่เหมือนกับอีกสองคน ก็ตัดหูคนนั้นทั้งสองข้าง”
เขาเดินเข้าไปดึงผ้าขี้ริ้วที่ยัดปากชาววอโค่วสามคนไว้ออกแล้วพูดเสียงเรียบ “เอาล่ะ ยังคงเป็นกฎเดิม พอข้าทำสัญญาณมือบอกพวกเจ้าก็พูดได้ ห้ามแย่งพูดก่อนหรือพูดทีหลัง จำได้แล้วใช่หรือไม่”
ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกัน
เซี่ยเซิงเซียวมองอย่างตื่นตกใจ
องครักษ์ข้างกายกวนจวินโหวผู้หนึ่งซึ่งปราศจากตัวตนในยามปกติ คิดไม่ถึงว่าจะเก่งกาจในเรื่องสอบปากคำเชลยถึงเพียงนี้
นางมองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่ง เขาไม่แสดงสีหน้าใดๆ นัยน์ตาสีดำสนิทไร้รอยกระเพื่อมไหวแม้แต่น้อย ไม่มีท่าทางตึงเครียดกับการต่อสู้ที่ใกล้เริ่มต้นขึ้นรอมร่อให้เห็นสักนิด
เซี่ยเซิงเซียวลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
มิน่ากวนจวินโหวถึงนามกระเดื่องไปทั่วหล้าได้ ดูจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็เห็นได้ว่ามีจุดที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นจริงๆ
แม่นางเซี่ยกวาดตาไปมองหยางโฮ่วเฉิง รำพึงในใจ เป็นคนเหมือนกัน ไฉนถึงห่างชั้นกันไกลถึงเพียงนี้ได้นะ
เยี่ยลั่วโบกมือลง ชาววอโค่วสามคนพูดประสานเสียงกัน “แปดตัว!”
“ดีมาก คำถามต่อไปถ้าพวกมันได้กลิ่นผู้บุกรุก จะดึงยามลาดตระเวนมากี่คน”
เพราะเยี่ยลั่วยังไม่ขยับมือ ทั้งสามต่างไม่กล้าปริปาก มิหนำซ้ำหนึ่งในนั้นยังเอามือปิดปากตนเองแน่น
หยางโฮ่วเฉิงกระซิบพูดกับเซ่าหมิงยวนอย่างทึ่งๆ “เจ้าสามคนนี้เชื่อฟังดีมาก ไม่มีคนแย่งตอบเลยหรือนี่”
เซ่าหมิงยวนเพียงยิ้มไม่พูดไม่จา
สุ้มเสียงของเยี่ยลั่วเรียบสนิท เขาชี้ชาววอโค่วที่ปิดปากไว้พลางบอก “คนนี้ชอบแย่งตอบ ถูกข้าชกฟันหักไปสามซี่”
หยางโฮ่วเฉิงอึ้งงัน “…”
ชาววอโค่วที่ปิดปากไว้ต่างก็เงียบสนิท “…”
เยี่ยลั่วโบกมือด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“สิบคน!”
“ปกติในเวลานี้บนเกาะยังมีแสงไฟกับเสียงคนอีกหรือไม่” เยี่ยลั่วซักต่อ
“ไม่มี” ชาววอโค่วสามคนตอบประสานเสียงกันดังเดิม
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเบาๆ พวกชาววอโค่วถูกพาตัวออกไปทันที
หยางโฮ่วเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเลื่อมใส “ถิงเฉวียน ตอนนี้ข้าถึงรู้ว่าเพราะอะไรตอนนั้นเจ้าต้องจับเป็นไว้สามคน”
ถ้าจับเป็นแค่สองคนพอทั้งคู่ตอบไม่เหมือนกัน หมายจะพิสูจน์ว่าใครพูดจริงพูดเท็จล้วนต้องสิ้นเปลืองความคิดมากกว่า แต่จับเป็นไว้สามคนจะต่างกันแล้ว ไม่ว่าคนใดล้วนเป็นห่วงว่าตนเองโกหกแต่อีกสองคนไม่โกหก ผลสุดท้ายมีแต่ตนเองที่เคราะห์ร้าย ด้วยเหตุนี้จำต้องตอบทุกคำถามและบอกตามสัตย์จริง
เซ่าหมิงยวนยกมือหยิบธนูยาวที่สะพายหลังไว้ออกมา เอาลูกธนูพาดสายโก่งคันธนูแล้วยิงตรงไปทางเกาะโดยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว
ลูกธนูคมกริบลอยแหวกอากาศยามราตรีพุ่งปักเข้าไปในป่าทึบ
ขณะนี้เรือยังไม่เทียบฝั่งและอยู่ห่างจากป่าทึบไกลระยะหนึ่ง การกระทำที่คาดไม่ถึงของสหายรักสร้างความฉงนใจให้หยางโฮ่วเฉิง
“ถิงเฉวียน…”
“ชู่ว์…” เซ่าหมิงยวนถือธนูยาวสีดำปลอดในมือ ดวงตาทั้งคู่หลุบลงน้อยๆ
ผ่านไปนานครู่หนึ่งเขาลืมตาขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ในป่าไม่มีสุนัข แล้วก็ไม่มีเสียงฝีเท้า”
“เช่นนี้แสดงว่าคืนนี้ไม่มีสุนัขกับยามลาดตระเวนขวางทางแล้วหรือ” หยางโฮ่วเฉิงตาเป็นประกาย เขาถือดาบยาวพลางพูดอย่างคึกคัก “ถ้าอย่างนั้นมิใช่ฟ้าเป็นใจกับพวกเราหรอกหรือ”
“เรื่องไม่ปกติใช่ว่าเป็นเรื่องดีเสมอไป ทุกคนระวังตัวให้มากขึ้น”
เมื่อเรือเทียบฝั่งแล้วคนทั้งกลุ่มขึ้นฝั่งอย่างไร้สุ้มเสียง เคลื่อนกายไปใกล้ป่าทึบทีละก้าว
หลังลัดเลาะผ่านป่าทึบอย่างราบรื่นเหนือความคาดหมายมาแล้ว ภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าสายตากลับทำให้ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง