หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 47
ชั่วพริบตาที่ภิกษุต้อนรับเดินไปถึงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ดึงดูดสายตาของทุกคนทั้งนอกห้องในห้องไปที่นาง หญิงชราพลันบังเกิดความรู้สึกตัวเบาหวิวๆ ด้วยความปลาบปลื้มลำพอง กระทั่งชั่วขณะที่เลื่อนสายตาไปมองคัมภีร์พระธรรมที่ภิกษุต้อนรับถือประคองด้วยสองมือก็ยังไม่มีท่าทีใดๆ
จวบจนนางตื่นจากภวังค์ฝันหวานแสนสั้นนั่น เห็นตัวอักษรในคัมภีร์พระธรรมได้ชัดถนัดตา ในใจดิ่งลงวูบกะทันหัน
ลายมือนี้ไม่ใช่ของทั้งคุณหนูใหญ่หลีเจี่ยวทั้งคุณหนูรองเจียวเจียว
ตามธรรมเนียมเดิมที่ผ่านมา คัมภีร์พระธรรมลายมือพวกคุณหนูจวนตะวันตกจะจัดใส่กล่องใบหนึ่งส่งมาให้
ระยะนี้ดวงตาข้างขวาของนางเกือบบอดแล้ว ได้แต่อาศัยตาซ้ายมองสิ่งของ ไหนเลยจะอดทนเปิดอ่านไปทีละเล่ม แต่นางเจาะจงดูของหลานเจี่ยวแล้วก็กวาดตาดูผ่านๆ เล่มที่วางถัดไปข้างใต้ นางบอกได้จากประสบการณ์ว่าเป็นของหลานเยียนแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคิดทบทวนอย่างรวดเร็ว
คัมภีร์พระธรรมที่เขียนด้วยลายมือของจวนสกุลหลี นางดูของหลานเจี่ยวกับหลานเจียวอย่างละเอียด ของหลานซูพลิกเปิดข้ามๆ ส่วนของหลานเยียนกวาดตามองปราดหนึ่ง เช่นนั้นก็เหลือของหลานเจากับหลานฉานเท่านั้น
หลานฉานยังวัยเยาว์ ไม่มีทางเขียนอักษรได้เช่นนี้เด็ดขาด ไม่สิ ต่อให้ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ยังไม่มีใครเขียนตัวอักษรนี้ออกมาได้
นี่ต้องเป็นอาจารย์เฉียวกลับชาติมาเกิดชัดๆ!
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงตวัดหางตามองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งซึ่งนั่งอยู่ข้างกายอย่างฉับไว สังเกตเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากแล้วใจกระตุกวูบหนึ่ง
ที่แท้คู่สะใภ้ของนางรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ เช่นนั้นถึงจะเหลือเชื่อปานใด ก็เหลือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว
หลานเจา?!
หญิงชรานิ่งเงียบไปสร้างความฉงนสงสัยให้แก่ภิกษุต้อนรับ ฮูหยินผู้เฒ่า?
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงดึงสติคืนมาอย่างว่องไว กล่าวด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ เป็นของคุณหนูรองของจวนข้าเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไอโขลกๆ เสียงดัง ฝืนข่มความตื่นตะลึงไว้ แล้วจ้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงตาเขม็ง
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านเซียงจวินผู้ยึดถือธรรมเนียมมารยาทอย่างเคร่งครัดเสมอมาจะกระทำเรื่องที่เป็นดังคำกล่าวว่าต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ* ต่อหน้าต่อหน้านางได้
ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเพียงกังวลใจว่าพอส่งคัมภีร์พระธรรมไปที่จวนตะวันออกแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นเล่มของหลานเจาแล้วจะใช้เล่ห์เพทุบาย ถึงเจตนาวางไว้ล่างสุดเป็นเล่มสุดท้าย อีกฝ่ายสายตาไม่ดี นอกจากหลานเจี่ยวที่มีฝีมือพอๆ กันกับหลานเจียวมาโดยตลอดแล้ว นางคงไม่อดทนพอจะดูของคนอื่นๆ
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจียงซื่อผู้นี้ถึงกับแย่งเอาเกียรติยศของหลานเจาไปประเคนให้หลานเจียว!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโมโหแทบอกแตก ตั้งท่าจะเอ่ยปากไม่ทันไรก็เห็นสายตาตักเตือนของคู่สะใภ้
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกล่าวขึ้นอีกครั้ง เจียวเจียว ยังไม่มาตรงนี้อีก
หลีเจียวเดินนวยนาดฝ่าสายตาชมเชยแกมอิจฉาของผู้คนมาถึงข้างกายท่านย่าของตน ในใจนางแสนยินดีปรีดา ทั้งมีความรู้สึกว่ามันสมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว จวบจนนางกวาดตามองคัมภีร์พระธรรมที่ภิกษุต้อนรับถือประคองไว้อย่างระมัดระวังแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจถึงได้นิ่งงันไป
ไม่ถูกต้อง นี่มิใช่เล่มที่ข้าเขียนแต่อย่างใด!
หลีเจียวก้มหน้าลงเล็กน้อย ทำให้คนรอบข้างสุดปัญญาจะลอบพิศดูสีหน้าของนางที่ตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริดได้ มีคนกล่าวเยินยอขึ้นแล้ว ท่านเซียงจวิน คุณหนูรองของจวนท่านช่างสุขุมเยือกเย็นดีแท้ ไม่เสียทีที่ท่านเป็นผู้อบรมสั่งสอนมาเองกับมือ
หญิงชราฟังแล้วชุ่มชื่นหัวใจเปรียบประหนึ่งได้ดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวแช่น้ำแข็งถ้วยหนึ่งในวันอากาศร้อนจัด ความลังเลใจเล็กน้อยในตอนแรกถูกสลัดทิ้งไปไม่เหลือหลอแล้ว
นางทุ่มกายทุ่มใจอบรมบ่มเพาะหลานเจียว มิใช่ตั้งตารอคอยสิ่งนี้อยู่หรือ
หญิงชราลอบหยิกนางทีหนึ่ง ด้วยกลัวว่าหลีเจียวจะเผลอตัวแสดงพิรุธออกมา
หลีเจียวสะดุ้งได้สติ แม้นในใจงุนงงสุดจะกล่าว ทว่าสีหน้าสงบนิ่งดังเก่าแล้ว
เชิญสีกาตามอาตมาไปเถอะ อู๋เหมยซือไท่ของอารามซูอิ่งอยากพบ
เสียงอุทานดังขึ้นเป็นทอดๆ ในห้อง ส่วนนอกห้องมีเสียงฝีเท้าวุ่นวายสับสน
เสี้ยวขณะนี้ หลีเจียวตื่นเต้นจนแทบสิ้นสติแล้ว
อู๋เหมยซือไท่ก็คือองค์หญิงใหญ่ท่านนั้น หลายปีมานี้นางไม่เคยพบคนนอกเลย เวลานี้ของทุกปีเกียรติยศอันสูงสุดของเหล่าคุณหนูจวนต่างๆ ก็คือได้รับคำชมคำสองคำจากซือไท่ท่านนี้เท่านั้นเอง แต่วันนี้อู๋เหมยซือไท่อยากพบนางหรือนี่
หลีเจียวลืมเรื่องตามหาเจ้าของลายมือในคัมภีร์พระธรรมตัวจริงว่าเป็นผู้ใดไปแล้ว นางเดินเชิดหน้ายืดอกตามภิกษุต้อนรับออกนอกประตูไปที่อารามซูอิ่ง ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมองตามด้วยความชื่นชมประทับใจนับไม่ถ้วน
เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ดังขึ้นภายในโถงหมิงซินฉับพลัน พวกฮูหยินในโถงอื่นๆ พากันรุดมาที่นี่อย่างอดรนทนไม่ไหว ส่งผลให้ห้องโถงเล็กๆ เบียดเสียดแออัดจนไม่มีช่องว่าง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรับฟังคำสรรเสริญเยินยอจากทุกคนอย่างหน้าชื่นตาบาน
ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตีหน้าขรึมไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
สบช่องอีกฝ่ายไปล้างมือ นางตามออกไปไล่เลียงเสียงเบาๆ ท่านเซียงจวิน คัมภีร์พระธรรมเล่มนั้นไม่ใช่ลายมือของหลานเจียวกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองซ้ายมองขวาทันที เห็นว่าปลอดผู้คนถึงถอนหายใจโล่งอก นางกล่าวอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน ใช่แล้วจะมีอันใด ไม่ใช่แล้วจะมีอันใด เหตุใดรึ น้องสะใภ้จะพูดออกมาต่อหน้าทุกคนหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโกรธจนมือไม้สั่น ที่แท้นี่หรือคือที่เรียกว่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์ เมื่อกระชากเปลือกหุ้มสูงศักดิ์ชั้นนั้นออกแล้ว ช่างน่าเกลียดอัปลักษณ์อย่างสุดแสน
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางจะเปิดโปงได้เช่นไร ถึงเวลาชื่อเสียงของชาวจวนสกุลหลีทั้งหมดจะย่อยยับในชั่วข้ามราตรี
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นสีหน้าของนางแล้วเผยยิ้มอย่างแจ่มแจ้ง นางรู้อยู่แล้วว่าขอแค่ชิงลงมือก่อน เติ้งซื่อก็ต้องยอมรับอย่างหมดทางเลือก
เมื่อคิดถึงว่าจะอย่างไรวันหน้ายังต้องพบหน้ากันเสมอๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงถอนใจเฮือกหนึ่ง น้องสะใภ้ ท่านลองตรองดูนะ ชื่อเสียงของหลานเจาก็หมดสิ้นไปแล้ว ต่อให้โดดเด่นมีหน้ามีตาในวันประสูติของพุทธองค์จะมีประโยชน์อันใดอีก
ดังนั้นก็ควรเอาเกียรติที่พึงเป็นของหลานเจายกให้ผู้อื่นหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหยักยิ้ม ไฉนเป็นคนอื่นเล่า ล้วนเป็นคุณหนูในจวนสกุลหลี หลานเจียวได้ดิบได้ดี พี่น้องคนอื่นก็ได้พึ่งใบบุญไปด้วย ดั่งเช่นหลานเจี่ยวเป็นต้น หลังจากถูกถอนหมั้นแล้วคิดจะหาคู่ครองที่สมหน้าสมตาคงไม่ง่ายดาย แต่หลังจากวันนี้ ใครบ้างจะไม่ชมเชยว่าจวนสกุลหลีอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานได้ดี บุตรชายคนเล็กของจวนฉางชุนป๋อเป็นพวกเกเรเหลือขออยู่แต่แรกแล้ว วันหน้าเรื่องสู่ขอหมั้นหมายของหลานเจี่ยวก็จะราบรื่นขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังแล้วอ้าปากค้าง เอ่ยเสียงงึมงำ พูดเช่นนี้ ข้ายังสมควรกล่าวขอบคุณสินะ
ความหน้าหนาไร้ยางอายเยี่ยงนี้ วันนี้นางได้บทเรียนแล้วจริงๆ
พู่กันแท่งเดียวเขียนอักษร ‘หลี’ สองตัวมิได้* น้องสะใภ้น่าจะกระจ่างแจ้งดี พูดกันถึงขั้นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมตักเตือน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแค่นหัวเราะเสียงหนึ่งก่อนสะบัดหน้าเดินหนีไป
พวกนางกลับถึงห้องโถงไล่หลังกัน ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงถูกเหล่าฮูหยินรุมล้อมทันที แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยังได้รับเสียงชมสองสามคำ แต่หูนางได้ยินกลับรู้สึกเพียงว่ามันช่างเสียดสีเย้ยหยัน
พวกหญิงสาววัยเยาว์ยืนอยู่ตามระเบียงยาวนอกโถงรับรองจนเนืองแน่น
ตู้เฟยเสวี่ยดึงหลีเจี่ยวมาคุยซุบซิบกัน พี่เจี่ยว คุณหนูรองของจวนท่านเขียนอักษรได้ดีปานนั้นจริงๆ หรือ
นางตวัดข้อมือชี้ไปทางจูเหยียน สวยกว่าของพี่เหยียนหรือไม่เจ้าคะ
หลีเจี่ยวนั้นไม่อยากล่วงเกินคุณหนูของจวนไท่หนิงโหว แต่จะพูดถึงญาติผู้น้องของตนในทางไม่ดีกับคนอื่นก็ไม่เหมาะอีก นางจึงกล่าวอย่างอ้อมค้อม เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติลายมือของน้องเจียวกับข้าต่างกันไม่มาก ดูทีว่าน้องเจียวคงซ่อนคมไว้กระมัง
ซ่อนคม? ฮึ…คนจำพวกที่มีดีแค่ห้าส่วนแท้ๆ แต่อยากอวดให้เห็นเป็นสิบส่วนใจจะขาดอย่างหลีเจียวนะหรือจะรู้จักซ่อนคม
เรื่องในวันนี้พิลึกพิลั่นมากจนนางงุนงงไปหมดแล้วจริงๆ
ข่าวที่คัมภีร์พระธรรมลายมือคุณหนูรองของจวนสกุลหลีถูกตาต้องใจอู๋เหมยซือไท่แพร่สะพัดไปทุกซอกมุมในวัดต้าฝู
เวลานี้ของปีก่อนๆ ผู้คนน่าจะแยกย้ายกันแล้ว แต่อู๋เหมยซือไท่ยอมพบคนนอกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีตย่อมกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนขึ้นมา ถ้วยน้ำชาของฮูหยินทั้งหลายถูกรินเติมหนแล้วหนเล่า ไม่มีใครเอ่ยคำว่า ‘กลับ’ สักคน
เมื่อปราศจากเสียงอึกทึกครึกครื้นของวัดต้าฝู บนทางเดินเล็กๆ เชื่อมสู่อารามซูอิ่งเงียบเชียบสุขสงบ หลีเจียวเดินตามหลังภิกษุต้อนรับไปเรื่อยๆ พลันรู้สึกประหม่าตื่นเต้นอยู่บ้าง
* ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ สำนวนเดิมหมายถึงพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวยอมตายแทนกันได้ ต่อมาความหมายเปลี่ยนเป็นการสลับตัวให้อีกคนได้รับเคราะห์แทน
* พู่กันแท่งเดียวไม่สามารถเขียนอักษรสองตัวพร้อมกันได้ เขียนได้ทีละตัว ในที่นี้สื่อถึงคนสกุลหลีเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ไม่อาจแบ่งแยกได้