หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 472
บทที่ 472
หมอเทวดามองดูชายหนุ่มตรงหน้า เห็นสีหน้าเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็พยักหน้ากับตนเองแล้วกล่าวต่อ “ข้ามีตำรับยาวิเศษตำรับหนึ่ง จำเป็นต้องใช้ไข่มุกเป็นส่วนประกอบในการปรุงยาขี้ผึ้ง มีสรรพคุณบำรุงสายตาได้อย่างน่าอัศจรรย์”
“เช่นนั้นก็ดีเหลือเกินขอรับ ดวงตาของถิงเฉวียนรักษาหายได้แล้ว” หยางโฮ่วเฉิงยินดียกใหญ่
เซ่าหมิงยวนไต่ถามด้วยสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม “ต้องมุ่งหน้าลงใต้ต่อไปเพื่อเก็บไข่มุกชนิดนั้นหรือไม่ขอรับ ข้าได้ยินเยี่ยลั่วบอกว่าจากเกาะหมิงเฟิงไปทางทิศใต้จะมีบริเวณแนวหินโสโครกที่มักเกิดพายุรุนแรงบ่อยๆ”
หมอเทวดาหลี่แค่นหัวเราะ “ไม่มีไข่มุกชนิดนั้นแล้วจะรักษาดวงตาเจ้าเช่นไร”
“หากเป็นเช่นนี้ก็แล้วกันไปเถอะขอรับ”
“แล้วกันไปจริงๆ หรือ” หมอเทวดาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
เซ่าหมิงยวนกล่าวยิ้มๆ “เมื่อเผชิญกับภัยธรรมชาติ มนุษย์เราช่างเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน หากเพื่อดวงตาคู่นี้ของข้าทำให้คนเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ ปลี้ๆ ล่ะก็ ไม่คุ้มค่าเลย”
“เจ้าเป็นกวนจวินโหว ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปเก็บไข่มุกให้เจ้าจะมีอันใดไม่คุ้มค่ารึ” หมอเทวดาหลี่เอ่ยอย่างไม่คล้อยตาม
“ถึงดวงตาผู้เยาว์มองไม่เห็นก็มิได้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตมากนัก ทว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นเป็นชีวิตคนทั้งคนนะขอรับ” เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นมาก
หมอเทวดาหลี่มองเขาอย่างพินิจพลางพูดแฝงนัยลึกล้ำ “ไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเจ้ามากนัก แต่กระทบต่ออนาคตของเจ้าอย่างยิ่งยวดกระมัง”
“การได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเป็นสิ่งที่วาดหวังอยู่ในใจผู้เยาว์มาแต่แรกแล้วขอรับ”
หมอเทวดาหลี่เอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าหมดห่วงได้แล้ว”
“ถิงเฉวียน…” หยางโฮ่วเฉิงส่งเสียงเรียกอย่างห้ามไม่อยู่
เซ่าหมิงยวนห้ามมิให้เขาพูดต่อแล้วถามไปอีกเรื่องหนึ่ง “ตอนนั้นท่านหมอเทวดาเจอพายุแล้วหนีรอดมาได้อย่างไรขอรับ แล้วเหตุใดถึงอยู่ที่เกาะหมิงเฟิงได้ อีกอย่างนะขอรับไฉนคนบนเกาะพวกนั้นเป็นเหมือนสุนัขบ้า ท่านหมอเทวดาทราบหรือไม่ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร”
“เรื่องพวกนี้รอพบกับแม่หนูเจาแล้วค่อยคุยกันเถอะ จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายอีกรอบ” หมอเทวดาหลี่หลับตาลง ครู่เดียวก็มีเสียงกรนดังขึ้น
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “พวกเราออกไปเถอะ อย่ารบกวนท่านหมอเทวดาพักผ่อน”
ทั้งคู่เดินออกจากห้องแล้ว หยางโฮ่วเฉิงยืนพิงราวรั้วเรือแล้วอดถามไม่ได้ “ถิงเฉวียน เจ้าจะไม่ส่งคนไปเก็บไข่มุกชนิดนั้นจริงๆ หรือ”
“จริงแน่นอน ข้ามีความจำเป็นใดต้องพูดเท็จด้วย”
“แต่อย่างนี้เจ้าก็มองไม่เห็นไปชั่วชีวิตนะ”
เซ่าหมิงยวนมองไปทางที่หยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ดวงตาข้าไม่ได้สำคัญกว่าชีวิตของคนอื่น”
หยางโฮ่วเฉิงอ้าปากออก สุดท้ายเขาถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่งก่อนกล่าว “เอาเป็นว่าคุณหนูหลีไม่รังเกียจเจ้าก็ดี”
เซ่าหมิงยวนได้ยินคำนี้แล้วอดยิ้มไม่ได้ มุมปากเขาแฝงความอ่อนโยนลึกซึ้ง “นางไม่รังเกียจ”
หากมิใช่เพราะดวงตาทั้งคู่สูญเสียการมองเห็นไป เขาอยากให้เจาเจาตอบตกลงหมั้นหมายกับเขายังไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อไร
สำหรับเขาแล้วตาบอดเป็นความโชคร้าย แล้วก็เป็นความโชคดีด้วย
เจาเจาเห็นเขาพาหมอเทวดาหลี่กลับไปจะต้องดีใจแทบแย่เป็นแน่
เซ่าหมิงยวนยืนรับแสงแดดอันอบอุ่น ในใจเขาชักเริ่มอดรนทนไม่ไหวเสียแล้ว
อีกด้านหนึ่งเฉียวเจายืนพิงราวรั้วเรือทอดสายตามองไปยังที่ไกลๆ เฉกเดียวกัน
นางมองเห็นดวงตะวันสีแดงลอยขึ้นจากจุดที่แผ่นฟ้าบรรจบกับผืนน้ำอย่างเชื่องช้าอยู่ตรงหน้า พื้นผิวน้ำไกลออกไปอาบไล้ด้วยแสงทองเรืองรองงดงามละลานตา
เฉินกวงยืนห่างไปไม่ไกลอย่างปราศจากสุ้มเสียง เขาเอ่ยปากพูดกล่อมนางอย่างอดใจไม่อยู่ “ท่านกลับไปพักผ่อนสักครู่เถอะ ท่านยืนอยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วนะขอรับ”
เฉียวเจาหันหน้ามองไปยังที่ไกลๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ท่านแม่ทัพสั่งกำชับเจ้าไว้ใช่หรือไม่ว่าถ้าเห็นสัญญาณให้ถอนกำลังกลับอย่างรวดเร็ว”
“ท่านรู้ได้อย่างไรขอรับ”
เฉียวเจาจับสายตามองไปที่เส้นขอบฟ้าโดยไม่เปล่งวาจา นางย่อมต้องรู้สิ คนผู้นั้นมิใช่คนโง่งมเช่นนี้เองหรอกหรือ
เฉินกวงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามขึ้น “คุณหนูสาม ถ้าสัญญาณปรากฏขึ้นท่านจะทำอย่างไรขอรับ”
“ข้าหรือ” เฉียวเจาเบือนหน้าไปมองเฉินกวง แววกังวลในดวงตาถูกกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก “ข้าต้องทำตามแผนการของเขาเป็นธรรมดา”
หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริงๆ และนี่คือสิ่งที่เขาปรารถนาจะได้เห็น นางย่อมไม่ขัดความประสงค์ของเขา
“ตอนนี้พวกเขาน่าจะกำลังแล่นเรือกลับมา ฟ้าสว่างถึงเพียงนี้ควรจะรู้ผลแพ้ชนะตั้งนานแล้ว”
เฉินกวงฉีกยิ้มกว้างขวาง “ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นพวกเราชนะแน่นอนขอรับ”
เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ “สมควรเป็นเช่นนี้”
เพียงทว่าระหว่างนั้นจะต้องเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันบางประการถึงได้ล่าช้าไป หาไม่แล้วขณะนี้พวกเขาน่าจะกลับมาถึงแล้ว
เฉินกวงสืบเท้าขึ้นหน้าหลายก้าวกะทันหัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณหนูสามท่านดูสิ!”
เฉียวเจามองไปยังทิศทางที่เขาชี้บอกก็เห็นเรือลำหนึ่งแล่นมาทางพวกนางแต่ไกล เป็นเรือของพวกเซ่าหมิงยวนนั่นเอง
เสี้ยวขณะนี้จิตใจที่ว้าวุ่นกังวลมาตลอดคืนของหญิงสาวถึงสงบลงอย่างแท้จริง นางเผยรอยยิ้มออกมาจากใจจริง
นางเป็นคนตัวเตี้ยอยู่แล้ว ยังมีเรือนกายสูงใหญ่ของเฉินกวงยืนบดบังสายตาบางส่วนอยู่ข้างหน้า ด้วยเหตุนี้นางจึงเดินอ้อมตัวเขาไปยืนเขย่งชะเง้อมอง
ด้านเซ่าหมิงยวนที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือเอ่ยถามหยางโฮ่วเฉิงที่อยู่ด้านข้าง “มองเห็นเรือของพวกเราแล้วใช่หรือไม่”
สุ้มเสียงของหยางโฮ่วเฉิงสดใสร่าเริง “ใช่ คุณหนูหลีกับเฉินกวงยืนอยู่ข้างราวรั้วเรือทั้งคู่เลยนะ”
เซ่าหมิงยวนยกมือโบกไปมา
เฉียวเจามองเห็นบุรุษร่างสูงสง่าในชุดสีดำสนิทผู้นั้นโบกมือให้แต่ไกล มุมปากของนางยกโค้งขึ้นด้วยความปีติยินดีอย่างเต็มหัวใจ
เรือที่อยู่เบื้องหน้าโน่นแล่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาถึงตรงหน้าในเวลาอันรวดเร็ว
หยางโฮ่วเฉิงพูดกลั้วเสียงหัวเราะดังๆ “พวกข้ากลับมาแล้ว! สือซี เจ้าคงไม่ได้ยังนอนอู้อยู่บนเตียงกระมัง”
ฉือชั่นเดินมาที่ดาดฟ้าเรือ กล่าวเสียงเอื่อยเฉื่อย “เอะอะโวยวายอะไร รอดกลับมาได้แล้วเก่งนักรึ”
หยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่บนเรือฝั่งตรงข้ามหัวเราะร่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องเป็นห่วงจนนอนไม่หลับทั้งคืนแน่”
“ใครบอก คนที่นอนไม่หลับทั้งคืนเป็นหลีซานต่างหาก ไม่ใช่ข้าสักหน่อย”
เฉียวเจาตวัดสายตามองรอยคล้ำใต้ตาของฉือชั่นแวบหนึ่งแล้วยิ้มอย่างอ่อนใจ
พวกปากอย่างใจอย่างคงจะหมายถึงคนแบบฉือชั่นนี่เอง
เรืออีกลำหนึ่งเคลื่อนมาใกล้ขึ้นทุกที พวกองครักษ์หยิบเชือกเกลียวออกมาโยงเรือสองลำไว้ด้วยกัน จากนั้นเริ่มลำเลียงของที่ยึดมาได้จากฝ่ายตรงข้ามโดยมีเยี่ยลั่วเป็นคนบัญชาการ
“เจาเจา พวกข้ากลับมาแล้ว” เซ่าหมิงยวนยืนส่งยิ้มให้นางอยู่ตรงหัวเรือ
เขารู้ว่านางต้องเป็นห่วง แล้วมันก็เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ที่มีคนคอยห่วงใยเช่นนี้
“รีบข้ามมาเถอะ อาหารเช้าเตรียมไว้พร้อมแล้ว” เฉียวเจาเอ่ยเร่ง
“เจาเจา รอประเดี๋ยวนะ” เซ่าหมิงยวนพลันหมุนกายกลับเข้าไปในตัวเรือ
เฉียวเจามองไปทางหยางโฮ่วเฉิง
เขาหัวเราะแหะๆ พลางกล่าว “คุณหนูหลี ท่านอย่าเพิ่งใจร้อน ถิงเฉวียนมีอะไรบางอย่างให้ท่านประหลาดใจครั้งใหญ่เลยนะ”
“อย่างนั้นหรือ ข้าอยากรู้มากว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอะไรกัน” เฉียวเจากล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็เห็นเซี่ยเซิงเซียวกับเยี่ยลั่วแบกสตรีไว้บนหลังคนละหนึ่งนางเดินออกมา
รอยยิ้มของเฉียวเจานิ่งค้างไป
หยางโฮ่วเฉิงรีบพูดอธิบาย “คุณหนูหลีอย่าเข้าใจผิดนะ เรื่องที่ถิงเฉวียนอยากให้ท่านประหลาดใจไม่ใช่แม่นางสองคนนี้”
เฉียวเจาเม้มมุมปาก นางย่อมต้องรู้ว่าไม่ใช่ มิเช่นนั้นนางก็มีเรื่องให้เซ่าหมิงยวนได้ ‘ประหลาดใจ’ เช่นกัน
สายตาของนางจับจ้องที่ประตูทางเข้าไปในตัวเรือ ก่อนจะเห็นผู้เฒ่าหน้าตางัวเงียผู้หนึ่งเดินออกมาด้านหลังเซ่าหมิงยวน