หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 473
บทที่ 473
ชั่วพริบตานั้นเฉียวเจายืนนิ่งสนิทอยู่กับที่ราวกับโดนฟ้าผ่า
หมอเทวดาหลี่ขมวดคิ้ว “แม่หนูเจา จำท่านปู่หลี่ไม่ได้แล้วหรือ”
เฉียวเจาคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เด็กสาวผู้สุขุมหนักแน่นดุจขุนเขาเป็นนิจยกชายกระโปรงวิ่งกระโดดลงไปบนเรืออีกลำหนึ่ง
พื้นเรือโคลงเคลงไปมาขึ้นกว่าเดิมทันที
เซ่าหมิงยวนอดพูดขึ้นไม่ได้ “ระวังหน่อย พลัดตกลงไปจะทำฉันใด”
เฉียวเจาไม่มีแก่ใจคำนึงถึงอะไรมากมายอย่างนั้น นางถลันเข้าไปจับแขนเสื้อของหมอเทวดาหลี่ไว้ พูดเสียงสั่นเทา “ท่านปู่หลี่ ท่าน…ท่านยังมีชีวิตอยู่”
หมอเทวดาหลี่ยกมือยีผมนุ่มนิ่มของเด็กสาว พูดพลางยิ้มจนตาหยี “ท่านปู่หลี่ของเจ้ายื้อแย่งคนจากมือท่านพญายมมาตั้งนานปานนี้ มีครั้งใดที่ท่านพญายมแย่งชนะข้าบ้าง พอถึงคราวตัวข้าเองท่านพญายมยิ่งไม่กล้ารับไว้แล้ว”
พอได้ยินถ้อยวาจาที่คุ้นเคย เฉียวเจาก็หลั่งน้ำตาดุจสายฝน
“ร้องไห้ด้วยเหตุใด เจ้ามิใช่เด็กน้อยขี้แยสักหน่อย” หมอเทวดาตบหลังเฉียวเจาเบาๆ ในใจเขาก็รู้สึกท่วมท้นเต็มตื้นเช่นกัน
เขาเจอพายุกลางทะเลยังเคราะห์ดีรอดตายมาได้ แต่ภยันตรายที่ประสบพานพบระหว่างนั้นจะบอกเล่าให้จบในเวลาสั้นๆ ได้หรือไร
เฉียวเจายกหลังมือปาดน้ำตาออกแล้วเม้มปากยิ้มกล่าวว่า “นี่ข้าดีใจจนร้องไห้ต่างหาก ท่านปู่หลี่ ท่านคงหิวแล้วกระมัง พวกเรากลับเรือกันก่อน มีเรื่องอะไรรอกินข้าวแล้วค่อยว่ากันนะเจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่ยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ เขาชายตามองเซ่าหมิงยวนกับหยางโฮ่วเฉิงพลางพูดเสียงเย็นๆ “ยังคงเป็นแม่หนูเจาที่ช่างเอาใจใส่ ไหนเลยจะเหมือนเจ้าหนุ่มสองคนนี้ พบหน้ากันก็รั้งตัวข้าไว้ถามโน่นถามนี่ไม่หยุด ไม่ดูเสียเลยว่าข้าอายุปูนนี้แล้วจะมีเรี่ยวแรงพูดมากถึงเพียงนั้นหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงยิ้มๆ “ท่านหมอเทวดาอย่าได้ขุ่นเคืองใจ ล้วนเป็นพวกข้าที่ใคร่ครวญไม่รอบคอบเอง”
หยางโฮ่วเฉิงลอบทำปากเบะ
ไม่มีเรี่ยวแรง? อย่าหลอกลวงกันดีกว่า เวลาตะคอกคนยังเสียงดังยิ่งกว่าข้าอีกนะ!
ยามนี้คนทั้งกลุ่มขึ้นไปอยู่บนเรือของฝ่ายตนเองแล้ว
หมอเทวดาหลี่ชำเลืองมองฉือชั่นที่เดินมาหาแวบหนึ่งแล้วอดขบขันไม่ได้ “มากันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว ยังมีเจ้าหนุ่มแซ่จูอีกคนอยู่ที่ใดเล่า”
“ข้ากับหยางเอ้อร์ล้วนได้รับพระบัญชาของไทเฮาให้คุ้มกันหลีซานเดินทางมาเสาะหาตัวยา จูอู่มิได้มาด้วย”
หมอเทวดาหลี่ฟังคำอธิบายของฉือชั่นแล้วหันขวับไปมองเซ่าหมิงยวน เขาเอ่ยอย่างฉงนใจ “พวกเขาได้รับพระบัญชาของไทเฮาให้มาคุ้มกันแม่หนูเจา แต่ไทเฮาไม่น่าจะออกคำสั่งเช่นนี้กับกวนจวินโหวกระมัง”
ฉะนั้นเจ้าหนุ่มผู้นี้ตามมาคุ้มครองแม่หนูเจาด้วยความสมัครใจ?
ครั้นคิดถึงตรงนี้ชายชราชักไม่ชอบใจอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นี่เจ้าหนุ่มตัวเหม็นลืมภรรยาที่ตายไปของตนเองจนสนิทใจแล้วหรือ ยังไม่ครบหนึ่งปีเลยนะ เขาไม่รู้สึกผิดต่อแม่หนูเจาหรืออย่างไร!
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มกล่าวชี้แจง “ผู้เยาว์เดินทางสู่ทิศใต้เพื่อเซ่นไหว้ครอบครัวของท่านพ่อตา พี่เฉียวโม่ก็ฝากฝังให้ข้าดูแลเจาเจา ดังนั้นจึงร่วมทางกันมาขอรับ”
เฉียวเจาฟังแล้วยกมุมปากโค้งขึ้น
ปกติคนผู้นี้ดูท่าทางเคร่งขรึมน่าเชื่อถือ แท้จริงแล้วมิใช่คนซื่อตรงสักนิด เขาตอบเช่นนี้ทางหนึ่งอธิบายว่าเขาลงใต้มาเซ่นไหว้ครอบครัวพ่อตา ทางหนึ่งบอกกล่าวให้รู้ว่าพี่ใหญ่อนุญาตให้เขาดูแลนาง เป็นการพูดเอาอกเอาใจท่านปู่หลี่แต่เพียงประการเดียว
หมอเทวดาหลี่ฟังแล้วสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อยจริงๆ เขาเดินเข้าไปข้างใน
อาหารเช้าจัดวางอยู่บนโต๊ะแต่แรก ทุกคนสวาปามกันจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็วแล้วถือถ้วยชาคนละถ้วยละเลียดดื่มช้าๆ
เฉียวเจาพิศดูสีหน้าเหนื่อยอ่อนและดวงตาแดงก่ำของพวกเขาแล้วกล่าวขึ้น “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไปพักผ่อนกันให้เต็มที่ก่อนเถอะ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันภายหลัง”
“คุณหนูหลี เจ้าไม่สนใจอยากรู้เหตุการณ์ตอนพวกเขาปะทะกับชาววอโค่วหรือ ยังมีเรื่องที่หมอเทวดาหลี่รอดตายมาได้” หยางโฮ่วเฉิงไต่ถามอย่างงุนงง
เฉียวเจากวาดตามองทุกคนก่อนกล่าวยิ้มๆ “ถึงอย่างไรก็จบลงด้วยดี ระหว่างทางจะอัศจรรย์พันลึกปานใด ไยต้องรีบร้อนอยากรู้ประเดี๋ยวนี้ด้วยเล่า ท่านปู่หลี่ ข้าพาท่านไปพักผ่อนนะเจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่ลุกขึ้นบิดขี้เกียจทีหนึ่ง เขาพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ก็ดี หลายเดือนที่อยู่บนเกาะหมิงเฟิงนี้นอนหลับไม่สนิทตลอด มีเรื่องน่าขยะแขยงเยอะแยะเหลือเกิน!”
พอเห็นเฉียวเจาประคองหมอเทวดาหลี่หายลับไปทางหน้าประตู หยางโฮ่วเฉิงโคลงศีรษะเอ่ย “คุณหนูหลีควบคุมอารมณ์ได้ดีจริงๆ ข้าตากยุงมาทั้งคืนยังไม่มีแก่ใจไปนอนเลย อยากจะรู้เรื่องราวของท่านหมอเทวดาหลี่ทันทีใจจะขาด”
ฉือชั่นมองเขาทางหางตา “ไปชำระกายไวๆ เถอะ เหม็นเปรี้ยวไปทั้งตัว”
“เหม็นเปรี้ยวตรงที่ใดกัน ข้าไม่ได้เป็นแป้งที่หมักไว้ทำหมั่นโถวสักหน่อยที่คืนเดียวก็เหม็นเปรี้ยวแล้ว” หยางโฮ่วเฉิงก้มหน้าดมกลิ่นที่แขนตนเองแล้วแทบเป็นลม เขาจึงเร่งรีบจะกลับห้อง แต่ยังไม่วายกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ถิงเฉวียน เจ้าก็ไปล้างเนื้อล้างตัวเร็วเข้าเถอะ ไม่แน่ว่าคุณหนูหลีอาจเหม็นกลิ่นบนตัวพวกเราจนเดินหนีไปก็ได้นะ”
สีหน้าที่นิ่งเฉยเป็นปกติอยู่ตลอดของเซ่าหมิงยวนนิ่งงันไป เขาสูดจมูกฟุดฟิดอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นก็ทำสีหน้าไม่สู้ดี
“เอาล่ะ อย่าทำเบาปัญญาตามอย่างหยางเอ้อร์ กลับมาก็ดีแล้ว รีบชำระกายเข้านอนเถอะ มีเรื่องอะไรไว้พักผ่อนให้เต็มที่แล้วค่อยว่ากัน” ฉือชั่นพูดจบแล้วหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยถึงกล่าวต่อ “หลีซานรอคอยเจ้าทั้งคืนไม่ได้ข่มตาหลับตลอดเช่นกัน”
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม “เจ้าก็ไม่ได้นอนเหมือนกันกระมัง”
“ใครบอก ข้าหลับสบายมาก” ฉือชั่นยกมุมปากโค้งขึ้น “ไปเถอะ มีหมอเทวดาทั้งคน ดวงตาเจ้าหายเป็นปกติได้แล้ว”
เซ่าหมิงยวนพูดพลางเดินไปข้างนอก “ท่านหมอเทวดาพูดเป็นเชิงว่าแม่ศรีเรือนแม้เก่งกาจ หากไม่มีข้าวสารก็ยากจะปรุงอาหาร* นะ”
“โกหกทั้งเพ อย่าไปฟังตาเฒ่านั่น ใครเชื่อก็โง่” ฉือชั่นกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
รอยยิ้มตรงมุมปากเซ่าหมิงยวนกว้างขึ้น เขาไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายเฉกเช่นเวลานี้มาก่อน
ไม่สำคัญว่าดวงตาเขาจะหายดีได้หรือไม่ หมอเทวดาหลี่รอดชีวิตกลับมาได้เป็นเรื่องน่ายินดีมากที่สุดแล้ว
ชั่วชีวิตเขามีเรื่องน่าเสียดายมากมาย หวังเพียงว่าเจาเจาจะพบกับเรื่องน่าเสียดายยิ่งน้อยยิ่งดี
เฉียวเจาพาหมอเทวดาเข้าไปในห้องห้องหนึ่งแล้วลงมือปูเตียงคลี่ผ้าห่มให้ “ท่านปู่หลี่ ท่านพักผ่อนให้มากๆ พอนอนเต็มอิ่มแล้วพวกเราค่อยพูดคุยกันให้เต็มที่นะเจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่นั่งแปะลงบนเก้าอี้ หรี่ตามองนางอย่างสำรวจตรวจตรา
ไม่พบกันหลายเดือนรูปโฉมของแม่นางน้อยดูเจริญวัยเป็นสาวกว่าตอนเขาออกจากเมืองหลวง ทว่าความสูงกลับไม่กระเตื้องขึ้นเท่าไร
หมอเทวดาหลี่อดถอนใจเฮือกไม่ได้
ความสูงของเด็กผู้นี้เป็นปัญหาน่าหนักใจดีแท้ จวนจะย่างสิบสี่เป็นหญิงสาวเต็มตัวอยู่แล้วยังแขนสั้นขาสั้น ขืนเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ วันข้างหน้าจะให้กำเนิดบุตรอาจต้องเฉียดกรายประตูผีแล้ว
“ท่านปู่หลี่ ท่านไม่พักผ่อนหรือเจ้าคะ” เห็นหมอเทวดาหลี่จ้องมองนางอยู่ แม่นางเฉียวรู้สึกได้อย่างไร้สาเหตุว่าสิ่งที่ตาเฒ่าผู้นี้กำลังตรึกตรองอยู่ต้องมิใช่เรื่องดี นางจึงพูดคะยั้นคะยอขึ้น
“ยังไม่ต้องรีบนอนตอนนี้ แม่เด็กน้อย บอกข้ามาสิว่าเจ้าหนุ่มเซ่าหมิงยวนผู้นั้นถูกตาต้องใจเจ้าใช่หรือไม่”
เฉียวเจาหน้าร้อนซู่ นางพูดเสียงอ้อมแอ้ม “ท่านปู่หลี่…”
คล้ายว่าถ้อยคำที่เคยบอกกับหมอเทวดาหลี่ว่าไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ กับเซ่าหมิงยวนอีกยังดังแว่วอยู่ข้างหู ตอนนี้จะให้นางยอมรับกับปากว่าทั้งคู่แอบให้สัญญาครองคู่กันเอง ยังคงน่ากระอักกระอ่วนใจอยู่สักหน่อย
หมอเทวดาหลี่นั้นเป็นผู้เฒ่าเจนโลก เห็นท่าทีของเฉียวเจาก็เข้าใจว่าอะไรๆ ได้ทันใด เขาทำหน้าตึงตบโต๊ะดังปัง “เจ้าคนบัดซบนั่น สมน้ำหน้าแล้วที่ตาบอด ดันคิดไม่ซื่อกับแม่นางน้อยผู้หนึ่งได้อย่างไรกัน”
แม่นางเฉียวฟังแล้วไม่ชอบใจ ไฉนถูกตาต้องใจนางแล้วเรียกว่าตาบอดเล่า สายตาแหลมคมแท้ๆ ต่างหาก!
“ท่านปู่หลี่ เขา…เขารู้เรื่องแล้ว” เฉียวเจาพูดอธิบายเสียงรัวเร็ว
“รู้เรื่องอะไรกัน” หมอเทวดาหลี่ย้อนถามอย่างไม่เอาใจใส่ แต่จู่ๆ ก็เบิกตากว้างฉับพลัน “เขารู้ว่าเจ้าคือเจาเจาแล้วหรือ”
เฉียวเจาหลุบตาพยักหน้า “พี่ใหญ่ข้าบอกเขาไปแล้วเจ้าค่ะ”
สีหน้าของหมอเทวดาหลี่ฉายอารมณ์ปรวนแปร นานครู่ใหญ่ถึงถอนใจเฮือกหนึ่ง “ถือว่าเจ้าหนุ่มนั่นโชคดี ในเมื่อเขากลายเป็นหลานเขยข้า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไม่ปล่อยให้เขาเป็นคนตาบอดแล้ว”
* แม่ศรีเรือนแม้เก่งกาจ หากไม่มีข้าวสารก็ยากจะปรุงอาหาร เป็นสำนวน หมายถึงการกระทำใดก็ตามหากขาดเงื่อนไขจำเป็นพื้นฐาน ย่อมยากจะประสบความสำเร็จ