หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 477
บทที่ 477
หากคนพวกนั้นไม่คลุ้มคลั่งพร้อมกันก็จะไม่มีทางสำแดงอานุภาพรุนแรงถึงเพียงนั้นจนเป็นเหตุให้ชาววอโค่วอยู่ในสถานการณ์ต่อสู้กันอุตลุด ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามจับเสือมือเปล่าในตอนท้าย
ความมหัศจรรย์ของศาสตร์ครอบงำจิตใจเช่นนี้ทำให้เฉียวเจารู้สึกทึ่งสุดจะกล่าว หากที่นางขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจก็คือหมอเทวดาหลี่ควบคุมเวลาที่คนพวกนั้นคลุ้มคลั่งได้ ความสามารถอย่างนี้ไม่คล้ายเป็นวิชาแพทย์ หากแต่เป็นศาสตร์ชั้นเทพเซียนแล้ว
ได้ยินเฉียวเจาถามคำนี้ หมอเทวดาหลี่เผยรอยยิ้มเป็นปริศนา “อยากควบคุมเวลาคลุ้มคลั่งของพวกเขา จำเป็นต้องกำหนดตัวเร่งเร้า”
“ตัวเร่งเร้า?” เฉียวเจาเชื่อว่าตนศึกษาเล่าเรียนมามาก แต่กลับไม่เคยได้ยินได้ฟังคำเรียกที่ได้ยินจากปากหมอเทวดาหลี่
ชายชราแจกแจงให้เด็กสาวตรงหน้าฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ใช่ ตัวเร่งเร้านั่นเอง ตอนที่ข้าทำแผลให้พวกเขา ไม่เพียงครอบงำจิตใจของพวกเขา แต่ยังกำหนดตัวเร่งเร้าเอาไว้ในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือนองเลือดกับสุนัขกัด พูดอีกนัยหนึ่งคือเมื่อเกิดเหตุการณ์ ‘นองเลือด’ กับปรากฏคำว่า ‘สุนัขกัด’ พร้อมกัน คนที่ถูกข้าครอบงำก็จะขาดสติสัมปชัญญะในพริบตา เปลี่ยนตนเองกลายเป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่ง…”
เมื่อหมอเทวดาหลี่อธิบายละเอียดยิ่งขึ้น เฉียวเจาก็ตบโต๊ะร้องชมอย่างสุดระงับ
‘นองเลือดกับสุนัขกัด’ พอเป็นไปตามเงื่อนไขสองข้อนี้ จะบ่งบอกว่าในหมู่ชาววอโค่วเกิดความระส่ำระสาย จำเป็นต้องสะสางด้วยวิธีการนองเลือด แล้วในเวลานี้ที่คนปกติส่วนหนึ่งเริ่มคลุ้มคลั่ง จะสร้างความแตกตื่นหวาดกลัวอย่างยิ่งยวดโดยไม่ต้องสงสัย แล้วท่ามกลางความโกลาหล ชาววอโค่วพวกนั้นจะตกอยู่ในสภาพเข่นฆ่ากันเองอย่างง่ายดายมาก
“เรื่องราวยังประจวบเหมาะกันจริงๆ ขณะที่พวกชาววอโค่วคลุ้มคลั่ง พวกแม่ทัพเซ่าก็มาถึงที่เกาะหมิงเฟิงพอดี”
หมอเทวดาหลี่ยิ้มเยาะ “นั่นมิใช่ประจวบเหมาะ แต่เป็นสวรรค์ที่เห็นเดรัจฉานพวกนั้นก่อกรรมทำชั่วสารพัด ไร้ความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงอยากรับตัวพวกเขาไปเข้าเฝ้าท่านพญายมแล้ว”
เฉียวเจาอมยิ้มน้อยๆ “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง สวรรค์ยังมีตาอยู่ ทำให้ท่านรอดพ้นอันตรายมาอย่างปลอดภัย และให้ชาววอโค่วพวกนั้นม้วยมรณา”
ได้ยินหลานสาวน้อยพูดเช่นนี้ หมอเทวดาก็ไม่ค่อยพอใจอีก เขากระแอมกระไอเบาๆ ก่อนกล่าว “ให้ข้ารอดพ้นอันตรายมาอย่างปลอดภัยเป็นเพราะสวรรค์มีตาก็จริง แต่ทำให้พวกชาววอโค่วม้วยมรณาต้องอาศัยฝีมือท่านปู่หลี่ของเจ้าเป็นสำคัญ”
ไม่แบ่งลำดับความสำคัญจะได้อย่างไรเล่า
เมื่อคิดถึงว่าทำให้เหล่าชาววอโค่วกัดกันเองได้อย่างราบรื่นโดยไม่เกิดข้อผิดพลาดแม้สักกระผีก เขาก็ภาคภูมิใจน่าดู
“ท่านปู่หลี่เก่งกาจที่สุดจริงๆ เจ้าค่ะ เทพเซียนจุติยังไม่มีความสามารถเท่าท่านเลย” ผู้อาวุโสที่เคารพนับถือรอดตายมาได้ อีกทั้งกระทำเรื่องที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เฉียวเจาย่อมไม่ตระหนี่คำชมแน่นอน
หมอเทวดาหลี่ลูบเคราฟังพร้อมกับยิ้มจนตาหยี หลังฟังจนพอใจแล้วเขาพลันมองเฉียวเจาอย่างพินิจ เอ่ยถามอย่างมีนัยลึกซึ้งว่า “แม่หนูเจา ศาสตร์พิสดารนี้เจ้าอยากเรียนหรือไม่”
เฉียวเจานิ่งอึ้งไป
หมอเทวดาหลี่ยกมือเขกหน้าผากนางทีหนึ่ง พูดอย่างไม่พึงใจ “ไฉนแม่เด็กน้อยผู้นี้ยิ่งมายิ่งโง่เขลาแล้วเล่า ไปติดมาจากเจ้าหนุ่มผู้นั้นใช่หรือไม่”
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “ท่านปู่หลี่ ท่านพูดไปถึงที่ใดกัน ได้ยินท่านพูดว่าข้าร่ำเรียนศาสตร์พิสดารนี้ได้ ข้าเลยตกตะลึงเกินไป”
หมอเทวดาถึงพยักหน้าอย่างพึงใจ “จริงของเจ้า ไม่ตกตะลึงถึงไม่ปกติต่างหาก เช่นนั้นตกลงแม่เด็กน้อยอยากเรียนหรือไม่”
นางพยักหน้าเอ่ย “ย่อมอยากเรียนเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”
ศาสตร์พิสดารเช่นนี้จะเป็นประโยชน์อย่างล้นเหลือในภาวะคับขัน นางแบกรับความแค้นฝังลึกของครอบครัวไว้บนบ่า แน่นอนว่าเก่งรอบด้านไม่เป็นผลเสียต่อตนเอง
“ถ้าอย่างนั้นท่านปู่หลี่ขอบอกไว้แต่เนิ่นๆ ว่าถึงแม้ข้าจะจัดให้ศาสตร์พิสดารนี้เป็นแขนงหนึ่งในวิชาแพทย์ชั่วคราว แต่กับคนที่จะร่ำเรียนมันข้าให้ความสำคัญเรื่องพรสวรรค์ที่สุด จะเรียนได้สำเร็จหรือไม่หรือเรียนได้ถึงขั้นใด ต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของเจ้าเอง ท่านปู่หลี่ศึกษามาสิบกว่าปียังทำสำเร็จเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ได้เรียนเพียงผิวเผินข้าก็เพียงพอแล้ว”
หมอเทวดาหลี่เล่าเรื่องของตนจบ เขาเริ่มไต่ถามเหตุการณ์ที่เฉียวเจาประสบพบเจอในช่วงที่ผ่านมา นางก็บอกกล่าวเล่าสิบทุกอย่าง
หลังฟังเฉียวเจาเล่าจบ เขาเอ่ยถามคำหนึ่ง “ตาเฒ่าเฉียนเข้าเมืองหลวงไปแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ เข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับพยานอย่างลับๆ ไว้ท่านกลับไปถึงก็จะได้ดื่มสุรากับท่านปู่เฉียน”
หมอเทวดาหลี่ส่ายหน้า “ข้าไม่ตั้งใจจะกลับเมืองหลวงแล้ว”
“ท่านปู่หลี่?” เฉียวเจาอึ้งงันไป
หมอเทวดาตกลงใจไว้แต่แรกอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เรื่องราวในเมืองหลวงซับซ้อนยุ่งยากเกินไป ข้าไม่มีเวลาเข้าไปพัวพันด้วย ข้ายังมีสิ่งต่างๆ มากมายที่อยากศึกษาเรียนรู้”
สีหน้าของเฉียวเจาฉายแววอาลัยอาวรณ์ แต่นางมิได้พูดเกลี้ยกล่อมต่อ
แต่ละคนล้วนมีสิทธิ์เลือกเส้นทางชีวิตของตน ถึงแม้จะอาลัยอาวรณ์อย่างมาก แต่สิ่งเดียวที่นางทำได้คือเคารพให้เกียรติ
หมอเทวดาหลี่ยกมือยีหัวนาง “เอาล่ะ ท่านปู่หลี่ให้สัญญากับเจ้าว่าจะกลับไปตอนเจ้าออกเรือนแน่”
“ท่านปู่หลี่จะผิดคำพูดไม่ได้นะเจ้าคะ แล้วท่านตั้งใจจะเร้นกายอยู่ที่ใด ชายทะเลแถบนี้ก็วุ่นวายเกินไปเพราะมีชาววอโค่วออกอาละวาดอยู่”
“ข้าอาศัยอยู่ในจยาเฟิงจนคุ้นชิน ก็กลับไปที่นั่นจะดีกว่า ไว้กลับไปแล้วจ้างชาวบ้านหลายคนสร้างกระท่อมสักหลัง วันหน้าเจ้ากลับไปเยี่ยมเรือนสกุลเดิมจะได้มีที่พำนัก” หมอเทวดาหลี่พูดอย่างสบายอารมณ์
ฝ่ายเฉียวเจากลับทำตาแดงๆ นางเอ่ยเสียงพึมพำ “ข้าจะกลับไปบ่อยๆ เจ้าค่ะ”
หมอเทวดาชายตามองนางพลางกล่าวยิ้มๆ “ก่อนออกเรือน เด็กสาวผู้หนึ่งเช่นเจ้าคิดจะกลับไปอีกคงเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่รอหลังจากเจ้าแต่งงาน ด้วยความรักใคร่เอ็นดูที่เจ้าหนุ่มนั่นมีต่อเจ้า บางทีอาจกลับไปได้หลายครั้ง”
เฉียวเจาพยักหน้า เป็นคราครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าการออกเรือนอาจจะดีกว่าที่นึกภาพไว้
หมอเทวดาหลี่ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ข้าจะไปตรวจดวงตาให้เจ้าหนุ่มนั่น แม่หนูเจา เจ้าจงจำไว้ว่าศาสตร์พิสดารที่ข้าเอ่ยกับเจ้านั้นจะแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ไม่ได้แม้แต่คำเดียว”
พอกล่าวถึงตรงนี้เขามองเฉียวเจาอย่างพินิจและกล่าวย้ำ “ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดทั้งนั้น แม้ข้าคิดว่าศาสตร์พิสดารนั่นยังจัดอยู่ในขอบเขตของวิชาแพทย์ เพียงแต่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของคนทั่วไป กระนั้นคนใต้หล้าต้องเห็นว่ามันเป็นวิชามาร และทันทีที่ให้ผู้อื่นค้นพบว่าเจ้าใช้ ‘วิชามาร’ คนที่ปกติดูเหมือนซื่อสัตย์ขลาดเขลาน่ะสามารถทำอะไรๆ ได้ทุกเรื่องนะ”
“ท่านวางใจได้ ข้าไม่มีวันเอ่ยถึงมันกับผู้ใดเจ้าค่ะ” เฉียวเจาพูดอย่างขึงขังจริงจังยิ่ง
หมอเทวดาหลี่ออกเดินไปทางหน้าห้องได้สองก้าวแล้วหันหน้ามา “กับเจ้าหนุ่มนั่นเล่า”
“ไม่บอกเช่นกันเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่หัวเราะชอบใจ ก่อนจะรีบก้าวขาเดินออกไป
บุรุษทั้งสามที่รับลมทะเลอยู่เห็นหมอเทวดาหลี่ออกมาก็เข้าไปห้อมล้อมไว้ทันควัน
เขาเหลือบเปลือกตาขึ้น “ท่านโหวตามข้ามา”
เซ่าหมิงยวนรีบกุลีกุจอเดินตามหลังหมอเทวดาหลี่ไป ทิ้งให้ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงมองหน้ากันไปมาอยู่ที่เดิม
“นี่หมายความว่ามีเพียงพวกเราสองคนที่ไม่รู้เรื่องแล้วใช่หรือไม่” หยางโฮ่วเฉิงถามอย่างทอดอาลัย
ฉือชั่นทำหน้าตึงเดินไปหาเฉียวเจา “หลีซาน หมอเทวดาหลี่ชอบทำลับลมคมในนัก ตกลงเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่”
เฉียวเจาพูดอย่างเคร่งขรึม “เหตุผลที่คนพวกนั้นกลายเป็นอย่างนั้นเพราะโดนพิษประหลาดที่ท่านปู่หลี่สกัดขึ้นซึ่งทำให้คนเกิดภาพหลอนได้ชนิดหนึ่ง ส่วนที่ลึกลงไปกว่านี้พวกท่านอย่าถามจะดีกว่า”
“เพราะอะไร” หยางโฮ่วเฉิงไม่เข้าใจ
นางมองเขานิ่งๆ ก่อนบอกด้วยน้ำเสียงแกมตักเตือน “ท่านปู่หลี่ยังอยู่ในระหว่างศึกษาพิษประหลาดชนิดนั้นอยู่ กำลังกลัดกลุ้มที่หาคนมาทดสอบต่อไม่ได้ ถ้าเขารู้ว่าพวกท่านรู้เรื่องแล้วเกิดไม่ชอบใจขึ้นมา ไม่แน่ว่าจะใช้มันกับตัวพวกท่านก็เป็นได้”
พอคิดถึงนิสัยคุ้มดีคุ้มร้ายของหมอเทวดาหลี่ ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงถึงตัดใจได้
เวลานี้เองมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เป็นเซี่ยเซิงเซียววิ่งเข้ามา
“คุณหนูหลี แม่นางสองคนที่พามาจากเกาะหมิงเฟิงฟื้นแล้ว พวกนางไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เลย ข้าก็ไม่แน่ใจว่าพวกนางมีปัญหาหรือไม่กันแน่ ท่านไปดูเถอะ”