หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 478
บทที่ 478
เฉียวเจาตามเซี่ยเซิงเซียวรุดไปยังห้องที่จัดให้สตรีสองนางนั้นพำนัก
นางเพิ่งสืบเท้าเข้าไปก้าวเดียว ทั้งสองคนก็เอามือกุมศีรษะวิ่งไปหลบที่ข้างผนังทันที
เฉียวเจาหันไปมองเซี่ยเซิงเซียว
“พวกนางฟื้นขึ้นมาก็เป็นอย่างนี้แล้ว ข้ากลัว…กลัวพวกนางเป็นโรคเดียวกับชีเหนียงก่อนหน้านี้ ถึงได้เชิญท่านมาดู”
เฉียวเจาพิศดูสตรีสองนางนั้นอย่างละเอียด แต่อาศัยเพียงการมองเช่นนี้ย่อมดูอะไรไม่ออกเป็นธรรมดา นางจึงทอดน้ำเสียงอ่อนลง “พวกท่านไม่ต้องกลัวนะ พวกข้าช่วยพวกท่านมาจากมือของชาววอโค่ว ตอนนี้พวกท่านปลอดภัยแล้ว ข้าจะขอตรวจร่างกายของพวกท่านสักนิดได้หรือไม่”
พอเห็นพวกนางยังกุมศีรษะตัวสั่นเทาดุจเก่า เฉียวเจาลดสุ้มเสียงเบาลงอีก “ข้าจะเข้าไปใกล้ๆ แล้วนะ”
สตรีทั้งสองนางไม่ปริปาก
เฉียวเจารอครู่หนึ่งถึงก้าวขาเดินเข้าไปแล้วก้มตัวลงจับมือสตรีผู้หนึ่ง
ในเพลานี้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อสตรีผู้นั้นยื่นมือผลักเฉียวเจาสุดแรงอย่างกะทันหัน
นางเซล้มหงายไปข้างหลัง แต่มีมือคู่หนึ่งประคองไว้
“แม่นางเซี่ย ขอบคุณมาก”
ดวงหน้าของเซี่ยเซิงเซียวฉายแววขอลุแก่โทษ “คุณหนูหลี ขออภัยด้วย…”
เฉียวเจายืนทรงตัวได้มั่นคงแล้วส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวกับคุณหนูเซี่ย ในเมื่อพวกข้าช่วยพวกนางไว้ ก่อนที่พวกนางจะรอดพ้นอันตราย ย่อมต้องดูแลพวกนางให้ดีอย่างแน่นอน”
“อย่าเข้ามานะ พวกเจ้าอย่าเข้ามา!” สตรีผู้นั้นร้องตะโกนราวกับเสียสติแล้วกอดกันกลมกับสตรีอีกคน
เฉียวเจายืนอยู่ที่เดิมสังเกตอาการของสตรีทั้งสองคนพร้อมกับนึกโยงไปถึงชะตากรรมของพวกนางแล้วฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ จึงเอ่ยกับเซี่ยเซิงเซียวในชุดบุรุษ “คุณหนูเซี่ย ท่านออกไปรอข้างนอกดีกว่า ข้าจะพูดคุยกับพวกนางตามลำพัง”
เซี่ยเซิงเซียวปฏิเสธทันที “เช่นนี้จะได้อย่างไร ถ้าเกิดท่านถูกพวกนางทำร้ายจะทำฉันใด”
คุณหนูหลีมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็กสาวบอบบางอ่อนแอ ซ้ำยังตัวสูงไม่ถึงคิ้วของนางเลย นางไม่เชื่อหรอกว่าสาวน้อยร่างเล็กอ้อนแอ้นเฉกนี้จะมีกำลังปกป้องตนเองได้
“ตอนพวกนางหมดสติอยู่ คุณหนูเซี่ยน่าจะตรวจดูแล้วกระมัง”
เซี่ยเซิงเซียวพยักหน้าตอบรับ
“แล้วบนตัวพวกนางมีของมีคมหรือไม่”
“นี่กลับไม่มี แต่ว่า…”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ไม่มีของมีคมก็วางใจได้แล้วมิใช่หรือ ถ้าเกิดอะไรขึ้นท่านค่อยเข้ามาช่วยข้าก็สิ้นเรื่อง”
เซี่ยเซิงเซียวอดกลอกตาขึ้นไม่ได้ “ท่านกลับรู้จักปล่อยวาง”
นางพูดจบก็เริ่มเก้อกระดากอย่างช่วยไม่ได้ นางกับคุณหนูหลีรู้จักกันไม่กี่วัน เหตุใดเมื่อครู่ถึงพูดกระเซ้าคุณหนูหลีเหมือนเป็นสหายที่คุ้นเคยกันได้นะ เช่นนี้ดูเสียมารยาทเป็นอันมาก
เฉียวเจาเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางเก้อกระดากก็คลี่ยิ้มละไม พูดคลี่คลายบรรยากาศขึ้นว่า “คุณหนูเซี่ยอ่านคนได้แม่นยำนัก ข้ารู้จักปล่อยวางมาโดยตลอด ในความเห็นข้าเกิดเป็นสตรีต้องปล่อยวางมากกว่าบุรุษถึงจะอยู่อย่างมีความสุข”
เซี่ยเซิงเซียวนิ่งงันไป ถ้อยคำนี้เมื่อก่อนอาชูก็เคยพูดไว้ และนางเห็นพ้องด้วยอย่างมาก
โลกนี้วางกรอบให้สตรีอย่างเข้มงวดเพียงนี้ หากสตรียังไม่รู้จักปล่อยวาง มัวห่วงนั่นกังวลนี่ เอาแต่อดทนข่มกลั้นอย่างเดียวก็ทำให้ตนเองอึดอัดคับใจตายได้แล้ว
“เอาล่ะ คุณหนูเซี่ยรีบออกไปเถอะ ข้ายังต้องดูอาการให้พวกนางนะ” เฉียวเจาพูดด้วยน้ำเสียงสนิทสนมคุ้นเคยดุจเดียวกัน
เซี่ยเซิงเซียวเดินออกไปอย่างใจลอยอยู่บ้าง
เฉียวเจาเบนสายตากลับไปหยุดที่ตัวสตรีสองนางนั้นอีกครา
ใบหน้าของพวกนางไม่มีน้ำมีนวล ปลายคางเรียวแหลม ขับเน้นให้นัยน์ตาดูโตมาก แต่กลับไร้ประกายจนน่าใจหายอยู่บ้าง
พวกนางผลัดเปลี่ยนเสื้อกระโปรงชุดใหม่แล้ว ดูจากแบบและลวดลายเฉียวเจาจำได้ว่าเป็นอาภรณ์ของอาจู บนลำคอที่โผล่พ้นร่มผ้าเต็มไปด้วยรอยเลือดเป็นริ้วๆ
เฉียวเจาลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง นางเข้าไปใกล้คนทั้งสองพลางกล่าวเสียงนุ่ม “พวกท่านไม่ต้องกลัว ตอนนี้มีข้าอยู่คนเดียวแล้ว ข้าเป็นสตรีเหมือนกับพวกท่าน”
สตรีสองคนมีอาการตอบสนองในที่สุด เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างหวาดระแวง
เฉียวเจายิ้มอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ข้าอยากตรวจร่างกายพวกท่านสักหน่อยได้หรือไม่”
สตรีทั้งสองต่างไม่กล่าววาจา
“ถ้าอย่างนั้นข้าถือว่าพวกท่านตอบตกลงนะ ตอนนี้ข้าจะจับชีพจรให้พวกท่านก่อน แค่จำเป็นต้องแตะข้อมือพวกท่านเท่านั้น จะไม่สัมผัสส่วนอื่นๆ เข้าใจหรือไม่”
พวกนางไม่ขยับเขยื้อนดุจเดิม
เฉียวเจาพยายามไม่ให้พวกนางบังเกิดความรู้สึกต่อต้านด้วยการทอดน้ำเสียงอ่อนลงอีก “ข้าจะจับชีพจรให้พี่สาวที่อยู่ใกล้ข้าที่สุดก่อนนะ”
นางยื่นมือช้าๆ ไปจับข้อมือเด็กสาวคนที่อยู่ใกล้ตนมากกว่า ตอนปลายนิ้ววางทาบลงบนข้อมืออีกฝ่ายได้แล้วถึงโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง นางเริ่มตั้งสมาธิตรวจชีพจร
แต่ทันใดนั้นเองเด็กสาวคนนั้นจับข้อมือของเฉียวเจาไว้แน่นและกัดที่แขนนางเต็มแรงทีหนึ่ง
เฉียวเจาร้องครางในลำคอด้วยความเจ็บอย่างห้ามไม่อยู่
เซี่ยเซิงเซียวเปิดประตูผลัวะเข้ามาแล้วหน้าถอดสีไปถนัดตา “คุณหนูหลี!”
นางเดินรี่เข้าไปจะดึงตัวเด็กสาวคนนั้นออก แต่หญิงสาวอีกคนพลันเอาตัวบังอยู่ข้างหน้า แล้วตะโกนเสียงแหลม “ไปให้พ้น!”
เฉียวเจาทนเจ็บกล่าวขึ้น “คุณหนูเซี่ย ท่านออกไปดีกว่า พวกนางคงจะเห็นท่านเป็นบุรุษเลยรู้สึกหวาดกลัว”
“แต่ว่า…”
เฉียวเจายิ้มอย่างจนใจ “ถึงอย่างไรก็โดนกัดไปแล้ว จะให้เสียเปล่าไม่ได้”
“ไม่กลัวพวกนางเป็นโรคนั้นแล้วถ่ายทอดให้ท่านหรือ” ยามเซี่ยเซิงเซียวกล่าวถ้อยคำนี้ สีหน้านางถมึงทึงไปหมด
รู้แต่แรกนางไม่สมควรเรียกคุณหนูหลีมาที่นี่ ถ้าเกิดเรื่องใดขึ้นกับคุณหนูหลี ถึงนางรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตก็ไม่อาจชดเชยได้
“อาการไม่กำเริบยังมีวิธีแก้ไข คุณหนูเซี่ย ท่านรีบออกไปเถอะ” แม่นางเฉียวพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า ขืนกัดไปเรื่อยๆ นางคงเจ็บแทบตายจริงๆ แล้ว
เซี่ยเซิงเซียวพยักหน้าแรงๆ “ได้ ข้าออกไป แต่ถ้าพวกนางทำอะไรเลยเถิดมากกว่านี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องยับยั้งพวกนาง!” ว่าแล้วก็เดินลงส้นเท้าดังตึงๆ ออกไป
เฉียวเจาเอ่ยถามด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มดังเก่า “พวกท่านเป็นพี่น้องกันกระมัง”
“ท่านรู้ได้อย่างไร” สตรีอีกคนจ้องเฉียวเจาตาเขม็งพลางพูดอย่างงุนงง
“ข้าเห็นพวกท่านผูกพันกันมาก เมื่อครู่ท่านปกป้องแม่นางท่านนี้อย่างเด็ดเดี่ยว ข้าคิดว่ามีเพียงพี่น้องแท้ๆ ถึงจะห่วงใยอีกฝ่ายถึงเพียงนี้” เฉียวเจาพูดอธิบายเสียงอ่อนโยน มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ อยู่ตลอด ราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แขนแม้สักน้อยนิด สุ้มเสียงของนางคล้ายมีพลังปลอบประโลมจิตใจคน
นางสังเกตเห็นได้ชัดว่าหลังสตรีนางนั้นฟังคำพูดของนางแล้วจิตใจที่ตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลง
เสี้ยวขณะนี้แม่นางเฉียวอดคิดไม่ได้ว่า ชะรอยข้าจะมีพรสวรรค์ในการเรียนศาสตร์พิสดารของท่านปู่หลี่อยู่บ้างจริงๆ
ภายในห้องเงียบงันไปเป็นเวลาสั้นๆ
เฉียวเจาก็ไม่ร้อนใจ นางอยู่นิ่งๆ รอคอย
“น้องพี่ เจ้าปล่อยนางเถอะ นางเป็นเหมือนกับพวกเรา” สตรีอีกนางเอ่ยปากพูดในที่สุด
เฉียวเจาลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง นางชนะเดิมพันแล้ว พวกนางเป็นพี่น้องกันดังคาด
คำกล่าวเมื่อครู่นี้ของนางเป็นการปลอบอารมณ์ของสตรีสองนางนี้แต่เพียงประการเดียว เหตุผลที่นางปักใจว่าพวกนางเป็นพี่น้องกัน เพราะพบว่าทั้งคู่ประพิมพ์ประพายคล้ายกันหลายส่วน
เด็กสาวที่กัดแขนเฉียวเจาไว้ตลอดดูเหมือนจะเชื่อฟังคำพูดของสตรีอีกคนมาก นางคลายปากออกเงยหน้าขึ้นก็เห็นโลหิตเปรอะทั่วริมฝีปาก จากนั้นตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบเดียวก็ซุกตัวเข้าไปอยู่ในอกของสตรีอีกนาง
เฉียวเจาหัวเราะฝืดๆ ในใจ
ทั้งที่นางเป็นฝ่ายที่ถูกกัดต่างหาก แล้วตอนนี้ก็เจ็บจนอยากร้องไห้ขี้มูกโป่งใจจะขาด ไฉนกลับคล้ายนางรังแกคนอื่นอยู่นะ
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากดปากแผลไว้ก่อนจะส่งยิ้มให้หญิงสาวอีกคน
“พวกท่านเป็นใครมาจากที่ใด” นางอ้าปากถาม
“ความจริงผู้ดูแลเรื่องต่างๆ บนเรือลำนี้เป็นข้าราชสำนัก…”
เฉียวเจายังพูดไม่จบ สตรีสองนางที่สงบลงแล้วในทีแรกพลันอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง