หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 482
บทที่ 482
ยามเฉียวเจาเดินมาที่หน้าประตูห้องของเซ่าหมิงยวน เฉินกวงซึ่งยืนเซื่องซึมอยู่ตรงนั้นกล่าวเสียงเฉื่อยชา “คุณหนูสามมาแล้วหรือขอรับ ท่านหมอเทวดากำลังประคบยาฝังเข็มให้ท่านแม่ทัพอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นข้ารอก่อนสักครู่ได้” เฉียวเจาคลี่ยิ้มมองเขาแล้วอดถามเรื่องที่สงสัยมาตลอดหลายวันนี้ไม่ได้ “เฉินกวง เจ้าเป็นอะไรไป มีความในใจใช่หรือไม่”
เฉินกวงแทบน้ำตารินด้วยความตื้นตันใจ เศร้าโศกเสียใจอยู่ตั้งนานหลายวัน ในที่สุดก็มีคนห่วงใยเขาแล้ว
องครักษ์น้อยถอนใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง “คุณหนูสาม เรื่องนี้มันยาวขอรับ”
เฉียวเจาอมยิ้ม “ไหนๆ ก็อยู่ว่างๆ เจ้าค่อยๆ เล่าให้ฟังก็ได้”
เฉินกวงยกมือลูบตาก่อนกล่าวด้วยสีหน้าปวดร้าว “ตอนที่ท่านแม่ทัพปรับเงินข้าหนึ่งพันตำลึงหนนั้น คุณหนูสามยังจำได้กระมัง”
“ดูเหมือนจะมีเรื่องเช่นนี้อยู่”
“อย่าดูเหมือนสิขอรับ เรื่องน่าช้ำใจถึงเพียงนี้ จะดูเหมือนได้อย่างไรกัน”
เฉียวเจาหัวเราะ “มีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงๆ แต่มันผ่านไปแล้วมิใช่หรือ”
ตอนนี้เพิ่งมาทำหน้าม่อยคอตกจะช้าไปสักนิดหรือไม่
เฉินกวงถอนใจเฮือก “ตอนแรกข้าก็นึกว่าผ่านไปแล้ว ใครจะรู้ว่ายังไม่ผ่านไปน่ะสิขอรับ! การกวาดล้างชาววอโค่วที่เกาะหมิงเฟิงหนนี้ พวกพี่น้องที่ไปกับท่านแม่ทัพต่างได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ มีเงินทองมากพอจะตบแต่งภรรยาได้ตั้งหลายคนแล้ว”
“ตบแต่งภรรยาหลายคน?” แม่นางเฉียวเลิกคิ้วสูง
องครักษ์น้อยนับนิ้วมือ “คนหนึ่งรินน้ำยกน้ำชา คนหนึ่งปูเตียงพับผ้าห่ม คนหนึ่งเข้าครัวทำอาหาร ถ้าได้หญิงงามเป็นเพื่อนท่องตำราอีกสักคนก็จะดีที่สุด…”
“มีปณิธานน่าชื่นชมจริงนะ” เฉียวเจากล่าวเสียงเย็นๆ
“มีปณิธานยิ่งใหญ่ไปก็เปล่าประโยชน์ เงินสินสอดแทบจะถูกท่านแม่ทัพริบไปจนเกลี้ยงแล้ว ตอนนี้จะตบแต่งภรรยาสักคนยังน่าเป็นห่วง ท่านว่าข้าคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วจะไม่ชอกช้ำระกำใจได้หรือ” เฉินกวงกุมอกส่ายหน้าไม่หยุด “มันเหมือนโดนมีดกรีดหัวใจ เจ็บปวดแทบอยากตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยทีเดียว”
แม่นางเฉียวทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เช่นนั้นข้าช่วยขอร้องแม่ทัพเซ่าให้เจ้าเถอะ ดีชั่วซื้อสาวใช้กลับมาเป็นภรรยาให้เจ้าสักคนแก้ขัด”
“ข้าไม่ต้องการสาวใช้ที่ซื้อมา ข้าอยากได้ปิง…” เฉินกวงพูดไปได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็กัดปลายลิ้นตนเองกะทันหัน เขามองเฉียวเจาแล้วอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
ข้าเบาปัญญาใช่หรือไม่ เมื่อครู่นี้พูดจาอะไรส่งเดชไปบ้างนี่!
คุณหนูสามรู้ว่าข้าอิจฉาที่คนอื่นตบแต่งภรรยาได้สี่คนแล้วยอมยกปิงลวี่ให้ข้าสิแปลก!
“คุณหนูสาม ท่านฟังข้าอธิบายก่อน…”
เวลานี้เองประตูห้องเปิดออกดังเอี๊ยด หมอเทวดาหลี่ก้าวออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาเห็นเฉียวเจาแล้วชะงักฝีเท้า “แม่หนูเจา เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้ามีเรื่องหารือกับแม่ทัพเซ่าเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องหารือเล็กน้อย?” หมอเทวดาหลี่เหล่ตามองนางแล้วเบี่ยงกายออก “เข้าไปสิ ประเดี๋ยวอย่าลืมไปที่ห้องข้านะ”
หลายวันมานี้เฉียวเจาปลีกเวลาไปร่ำเรียนศาสตร์พิสดารกับหมอเทวดาหลี่ทุกวัน แม้นรุดหน้าไม่มากแต่นางให้ความสนอกสนใจเต็มที่
“เจ้าค่ะ อีกครู่เดียวข้าก็จะตามไป” เฉียวเจารอเขาไปแล้วค่อยหมุนกายเข้าห้อง
เฉินกวงเอื้อมมือไปหาแผ่นหลังของเฉียวเจา เกาะกรอบประตูไว้ร้องไห้แทบเป็นลม สงสัยว่าเขาคงถ่ายทอดพลังฝีมือในการเกี้ยวสตรีให้แก่ท่านแม่ทัพไปจนหมด เหลือไว้เพียงเศษซากให้แก่ตนเอง บัดนี้เขาขุดหลุมฝังตนเองไปแล้ว เดือนใดปีใดถึงจะได้ตบแต่งภรรยาเสียทีเล่า!
“เฉินกวงจะอธิบายอะไรหรือ” เซ่าหมิงยวนถามยิ้มๆ
“คงอยากจะบอกให้ชัดเจนว่าเขายังไม่อยากตบแต่งภรรยากระมัง” เฉียวเจาทำหน้าเรียบเฉยกล่าวขึ้น
เจ้าชู้เช่นนี้ยังคิดจะแต่งงานกับปิงลวี่ของข้ารึ ไปให้ไกลๆ เลย
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” เฉียวเจาเดินเข้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“แถวๆ ดวงตาสบายมาก ข้ารู้สึกดีอย่างยิ่ง”
“เป็นอย่างนั้นก็ดี แม้ว่ายาน้ำตากระจ่างที่ปรุงจากไข่มุกชนิดนั้นจะมีสรรพคุณชั้นเลิศ แต่การทะลวงจุดชีพจรต้องใช้เวลา ไม่ต้องใจร้อน”
เซ่าหมิงยวนมองไปทางเฉียวเจา เขาอมยิ้มกล่าวขึ้น “ข้าไม่ใจร้อน”
เฉียวเจาไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไป หมู่นี้มองสบดวงตากระจ่างใสแวววาวคู่นี้ หัวใจจะเต้นแรงขึ้นอย่างไร้สาเหตุ
หรือว่าดวงตาของเซ่าหมิงยวนมีเวทมนตร์มหัศจรรย์อันใด
นางโน้มตัวไปใกล้ๆ บุรุษตรงหน้าอย่างห้ามใจไม่อยู่ แต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ นางจงใจกลั้นลมหายใจ เพ่งมองนัยน์ตาดุจหินนิลดำคู่นั้นอย่างไม่วางตา
อืม ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่างามนัก แม่นางเฉียวคิดคำนึงอย่างพึงพอใจ
เฉียวเจาได้รับการอบรมสั่งสอนจากอาจารย์เฉียว ทำให้เป็นคนที่พึงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่เสมอ มาตรว่าก่อนหน้านี้นางอยากเป็นอิสระจึงไม่เต็มใจออกเรือนอีก แต่นับจากตกลงปลงใจแต่งงานแล้ว นางก็ไม่ไปนึกถึงเรื่องน่ากลัดกลุ้มพรรค์นั้นอีก เพียงอยากคิดถึงแต่เรื่องที่ชวนให้เบิกบานใจมากกว่า
“เจาเจา?” เซ่าหมิงยวนงุนงงอยู่บ้าง
เฉียวเจาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว “ข้ากลั้นลมหายใจ ท่านก็รู้สึกได้ด้วยหรือ”
ประสาทสัมผัสของคนผู้นี้เฉียบไวเกินไป บางครั้งน่าหงุดหงิดอย่างมาก
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มสดใส “พออยู่ใกล้ๆ ข้า กลิ่นหอมจะแรงขึ้น”
สองแก้มของเฉียวเจาร้อนซู่ นางปั้นหน้าตึงกล่าวว่า “ข้าเห็นเม็ดข้าวติดอยู่บนอาภรณ์ของท่านเลยช่วยเอาออกให้”
แม่นางเฉียวยื่นมือไปดีดเบาๆ ตรงหัวไหล่เขาทีหนึ่งด้วยสีหน้าเยือกเย็น จากนั้นถอยตัวออกห่าง “เสร็จแล้ว”
ถึงอย่างไรเขาก็มองไม่เห็น ย่อมจะไม่มีทางรู้ว่านางทำเรื่องเบาปัญญาเมื่อครู่นี้
เซ่าหมิงยวนกำมือยกขึ้นปิดปากหัวเราะขลุกขลัก
“หัวเราะอะไร”
เขาหยุดหัวเราะ มองดวงหน้างามพริ้มเพราของเด็กสาวอย่างพินิจพลางพูดเสียงแผ่วเบา “แน่นอนว่ายังมีเหตุผลที่สำคัญกว่านี้”
“อะไรหรือ”
“ข้ามองเห็นแล้ว” ชายหนุ่มเปล่งเสียงพูดสี่คำนี้ช้าๆ
เฉียวเจาลุกพรวดขึ้นยืน ดวงตาฉายแววประหลาดใจแกมยินดี “จริงหรือ! ท่านมองเห็นแล้ว?”
เซ่าหมิงยวนจับมือนางไว้ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความแช่มชื่นเบิกบาน “อื้อ มองเห็นได้อย่างชัดเจน”
มุมปากของนางยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างก่อนจะนิ่งค้างไปทันทีทันใด
เช่นนี้แสดงว่า…เมื่อครู่นี้เขามองเห็นหมดแล้ว?
เซ่าหมิงยวนย่อมต้องแจ่มแจ้งว่าเฉียวเจานึกอะไรขึ้นได้ เขาเปล่งเสียงหัวร่อเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ “เจาเจา ที่แท้เจ้าชอบมองข้าถึงเพียงนี้”
“หุบปากนะ!” เฉียวเจาหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก
ชมดูบุรุษที่เจริญตาเจริญใจมิใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถูกจับได้คาหนังคาเขาก็น่าพิพักพิพ่วนแล้ว
เซ่าหมิงยวนกุมมือเฉียวเจาแน่นๆ มุมปากแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มลึกซึ้ง “เจาเจา เจ้าเต็มใจมองข้า ข้าดีใจมาก ข้าเพิ่งรู้ว่าที่แท้บุรุษมีรูปสมบัติก็นับเป็นข้อดี…”
เฉียวเจาอับอายจนพาลโกรธ นางเอามือปิดปากเขาไว้เสียเลย “เซ่าหมิงยวน ขืนท่านพูดอีกข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ ลมหายใจอุ่นร้อนพ่นรดใส่มือเรียวบางนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกของเด็กสาว เขายิ้มกริ่มถามขึ้น “จะไม่เกรงใจเช่นไรหรือ ข้ารับรองว่าพร้อมรับทุกอย่าง”
“เซ่าหมิงยวน!”
“ขอรับ” เขาขานตอบเสียงก้องกังวาน จากนั้นดึงมือของเด็กสาวออกแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “เจาเจา ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
แม้ว่าเขาจะพูดอยู่ตลอดว่าตามองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แต่มีเพียงตัวเขาเองที่รู้ว่าถ้าหากชั่วชีวิตนี้ไม่ได้เห็นใบหน้าที่แสดงอารมณ์ต่างๆ ของสตรีเบื้องหน้าอีก เขาจะต้องเสียดายปานใด
เมื่อรู้ว่าดวงตาของเซ่าหมิงยวนหายเป็นปกติ ความกระดากอายมากเพียงใดก็ไม่อาจกลบทับความปีติยินดีในเสี้ยวขณะนี้ของเฉียวเจาได้ นางหลุบเปลือกตาลงปล่อยให้บุรุษตรงหน้าพิศดูตนโดยไม่ละสายตา
“เจาเจา”
“หือ?”
“ข้ารู้สึกว่าเจ้างามกว่าข้า”
“เซ่าหมิงยวน ขืนท่านพูดเรื่องนี้อีกข้าจะไปแล้ว”
นางแค่มองเขานานกว่าเดิม เขาก็จะล้อเลียนนางไปทั้งชาติใช่หรือไม่
เซ่าหมิงยวนได้ยินแล้วสงบเสงี่ยมทันที “อย่าไป ข้ายังมองไม่พอ…”
เฉียวเจาเตะหน้าแข้งเขาทีหนึ่ง
ตามองเห็นแล้ว มือก็หายดีแล้ว คนผู้นี้เลยได้ใจจนลืมตัวกระมัง…