หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 483
บทที่ 483
“ชาวบ้านในฝูตงก่อจลาจลหรือ” เซ่าหมิงยวนฟังนางเล่าจบแล้วสีหน้านิ่งขรึมลงเล็กน้อย
“ใช่น่ะสิ เกิดเหตุราษฎรลุกฮือแต่ทางเมืองหลวงกลับไม่ระแคะระคายเลยสักนิด สิงอู่หยางก็เป็นพวกตัวฉกาจผู้หนึ่งเช่นกัน” เฉียวเจาพูดอย่างเยาะหยัน
เซ่าหมิงยวนยักคิ้วล้อเลียน “พวกตัวฉกาจ?”
เฉียวเจาผลักเขาแล้วพูดดุ “เพิ่งพูดเป็นการเป็นงานได้สองคำ อย่าเถลไถลออกนอกเรื่องนะ”
เมื่อคิดไปถึงความเกเรของเขาเมื่อครู่นี้ แม่นางเฉียวก็ลอบขัดเขินอยู่ในใจ
เจ้าคนทึ่มใจกล้าบ้าบิ่นผู้นี้นับวันชักเอาใหญ่แล้ว
เซ่าหมิงยวนทำหน้าน้อยใจ “ข้าเป็นคนจริงจังมากมาโดยตลอดแท้ๆ นะ”
เขาพลันเปลี่ยนน้ำเสียงพูดอย่างปึ่งชา “ดูทีว่าสิงอู่หยางอยู่ในฝูตงนานเกินไปแล้วจริงๆ นานเสียจนลืมเลือนภาระหน้าที่ตน บอกว่าคนพรรค์นี้เป็นหนอนบ่อนทำลายแผ่นดินยังนับว่าปรานีเขา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าสตรีที่พากลับมาสองนางนั้นจะเป็นถึงบุตรสาวของผู้ตรวจการประจำเขตฝูตง”
“บางทีแม้แต่สวรรค์ยังทนดูต่อไปไม่ได้ถึงได้ช่วยพวกเราอีกแรงหนึ่ง ถิงเฉวียน ท่านว่าถ้าพวกเราช่วยบิดาของเจินเหนียงออกมาแล้วส่งตัวไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ สมควรโค่นล้มสิงอู่หยางได้กระมัง”
เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ตามหลักแล้วไม่น่ามีปัญหา แต่ข้าอยู่ที่แดนเหนือนานหลายปี แทบจะหยั่งพระทัยฮ่องเต้พระองค์นี้ไม่ออก เรื่องนี้มิสู้ถามความเห็นของสือซีจะดีกว่า”
“ก็ดี”
เซ่าหมิงยวนหันศีรษะมองไปทางหน้าประตู ตั้งท่าจะเอ่ยสั่งเฉินกวงที่อยู่ข้างนอก เฉียวเจาฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ นางกระตุกแขนเสื้อเขาทีหนึ่ง ถามอย่างกระดากกระเดื่อง “ท่านยังปกติดีกระมัง”
สายตาของชายหนุ่มมองกวาดกลีบปากแดงอิ่มของเด็กสาวช้าๆ ก่อนพูดกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ “ปกติดี”
เฉียวเจาเม้มปากมองค้อนเขาวงหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนตะโกนบอก “เฉินกวง เชิญคุณชายฉือกับหยางซื่อจื่อมาที่นี่”
จากนั้นไม่นานนักชายหนุ่มสองคนก็รุดมาถึงไล่ๆ กัน
ทันทีที่ได้ยินว่าดวงตาของเซ่าหมิงยวนกลับมามองเห็นแล้ว หยางโฮ่วเฉิงดีอกดีใจยกใหญ่ “ดีเหลือเกิน ท่านหมอเทวดาเป็นเทพเซียนมาจุติจริงๆ โชคดีที่เขายังไม่ตาย!”
เฉียวเจานิ่งงันไปทันที “…”
ฉือชั่นเตะสหายรักทีหนึ่ง “พูดจาให้มันเข้าหูคนเป็นหรือไม่”
เจ้าคนปัญญาทึบผู้นี้จะพูดความจริงส่งเดชด้วยเหตุใดกันเล่า หลีซานฟังแล้วคงขัดข้องใจเป็นแน่
หยางโฮ่วเฉิงทำปากเบ้ “ก็นี่ข้าดีใจเกินไปมิใช่หรือ ปากไม่มีหูรูดๆ คุณหนูหลี ท่านอย่าถือสาเลยนะ”
เฉียวเจายิ้มอย่างอ่อนใจ
ฉือชั่นมองเซ่าหมิงยวน ยิ้มกริ่มพลางถามขึ้น “ตาหายดีแล้วจริงๆ หรือ”
“หายดีแล้ว”
“กลับมามองเห็นตั้งแต่เมื่อไร”
“เพิ่งเมื่อครู่นี้เอง หลังท่านหมอเทวดาประคบยาฝังเข็มให้ จู่ๆ ข้าก็พบว่าตนเองมองเห็นแล้ว”
“เป็นเช่นนี้ก็ดีเหลือเกินจริงๆ” ฉือชั่นพยักหน้าแล้วปรี่เข้าใส่กะทันหัน “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาคิดบัญชีก่อนหน้านี้กันได้แล้ว”
“บัญชีอะไร” เซ่าหมิงยวนยกมือขึ้นขวางหน้าเขา พร้อมเอ่ยถามอย่างงุนงงอยู่บ้าง
ฉือชั่นหน้าบึ้งพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ใครอนุญาตให้เจ้าดึงหูข้า วันนี้ข้าไม่ดึงคืน หยางเอ้อร์ก็ไม่ใช้แซ่หยางแล้ว”
ตอนแรกหยางโฮ่วเฉิงกำลังรอชมเรื่องสนุกอยู่เฉยๆ ด้านข้าง ได้ยินคำนี้แล้วรอยยิ้มมุมปากนิ่งค้างไป ประเดี๋ยวก่อน เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย
“ฉือชั่น นี่คือเจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าสู้ถิงเฉวียนไม่ได้เลยให้ข้าเป็นแพะรับบาปกระมัง”
ฉือชั่นแค่นหัวเราะ “ไม่ให้เจ้าเป็นแพะรับบาปแล้วจะให้ใครเป็น วันนั้นทั้งที่ถิงเฉวียนก็ดึงหูเจ้าเหมือนกัน ลงท้ายตอนนั้นเจ้าไม่กล้าแม้แต่จะผายลม รู้ว่าสู้ไม่ได้ก็กล้ำกลืนฝืนทนไว้ เจ้ายังเป็นบุรุษหรือไม่”
หยางโฮ่วเฉิงนั่งนิ่งตัวตรง กล่าวด้วยสีหน้าไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “ข้าเป็นบุรุษที่รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีต่างหาก!”
เฉียวเจาอ้าปากพูดอย่างเหลืออด “พวกท่านสามคนเลิกก่อกวนได้แล้ว มีเรื่องสำคัญต้องหารือกันนะ”
เซ่าหมิงยวนกะพริบตาปริบๆ เขาก่อกวนเมื่อใดกัน สหายรักวัยเยาว์คู่นี้คอยเป็นตัวถ่วงโดยแท้
เซ่าหมิงยวนยกมือกดตัวฉือชั่นลงบนเก้าอี้ เอ่ยเสียงเรียบว่า “เลิกก่อกวนได้แล้ว ไว้คุยเรื่องสำคัญจบ เจ้าดึงหูข้าคืนก็ย่อมได้”
ฉือชั่นเอนหลังพิงพนักอย่างเอื่อยเฉื่อย “เช่นนี้ค่อยยังชั่ว ว่ามา เรื่องสำคัญอะไร”
เซ่าหมิงยวนเล่าเรื่องที่เฉียวเจาบอกให้พวกเขาฟังแล้วถามตบท้าย “ผู้ตรวจการฝูตงจะโค่นล้มสิงอู่หยางได้หรือไม่”
ฉือชั่นยกตัวขึ้นนั่งหลังตรงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สีหน้าฉายแววเคร่งเครียด เขาได้ยินสหายรักถามประโยคนี้ก็นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “ได้แน่นอน แม้ว่าผู้ตรวจการจะมีตำแหน่งเพียงขั้นเจ็ด แต่ปฏิบัติหน้าที่ตรวจราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ในการคัดสรรคนเป็นผู้ตรวจการทุกคน หลังจากได้รับเสนอชื่อจากหัวหน้าสำนักตรวจการกลางและเหล่าขุนนางในสังกัด ยังต้องส่งต่อไปให้กรมปกครองพิจารณาอย่างเข้มงวด สุดท้ายกราบทูลขอให้ฮ่องเต้ลงพระปรมาภิไธยถึงจะนับว่าสมบูรณ์ ดังนั้นผู้ตรวจการสามารถถวายฎีกาให้ทรงชี้ขาดในเรื่องใหญ่และตัดสินวินิจฉัยในเรื่องเล็กเองได้ ฮ่องเต้จึงไว้วางพระทัยพวกเขามากพอสมควร”
เซ่าหมิงยวนเอานิ้วเคาะโต๊ะด้านข้างเบาๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราไปที่ฝูตงก็มีเป้าหมายชัดเจนแล้วคือ ช่วยผู้ตรวจการฝูตงออกมาและส่งเขากลับไปยังเมืองหลวงอย่างปลอดภัย”
หยางโฮ่วเฉิงยิ้มออกแล้ว “นี่เป็นเรื่องดีนะ อย่างไรก็ดีกว่าไปฝูตงแบบมืดแปดด้าน พวกเราจะเปลี่ยนเส้นทางเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้า “ไม่ ยังคงไปที่ท่าปากทะเลตามเดิม ถึงตอนนั้นพวกเจ้าใช้ทางน้ำตรงกลับไปยังจยาเฟิง ข้ากับเจาเจาจะเปลี่ยนเป็นใช้ทางบกลักลอบเข้าสู่ฝูตง”
ฉือชั่นไม่คัดค้าน เขาพูดเรียบๆ ว่า “ให้กลับจยาเฟิงรอพวกเจ้าก็ได้ องครักษ์จินหลินกับทหารประจำการที่นั่นล้วนยืนอยู่ข้างเดียวกับพวกเรา ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่สตรีที่ช่วยกลับมาเหล่านั้นเล่าพวกเจ้าตั้งใจจะให้อยู่ที่ใด หรือว่าจะให้ตามพวกข้าไปจยาเฟิงด้วย”
“เรื่องนี้…” เซ่าหมิงยวนมองไปทางเฉียวเจา “เจาเจา เจ้ามิสู้ไปถามไถ่ดูว่าสตรีพวกนั้นตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไปจะดีกว่า”
“ได้ ข้าไปถามประเดี๋ยวนี้เลย”
รอเฉียวเจาไปแล้ว หยางโฮ่วเฉิงก็ร้องประท้วงทันที “ถิงเฉวียน ข้าไม่กลับจยาเฟิง ข้าจะไปฝูตงพร้อมกับเจ้า”
พอเห็นเซ่าหมิงยวนเหลือบตามอง หยางโฮ่วเฉิงลุกลนเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าข้ามีวรยุทธ์ด้อยกว่าเจ้าหลายขุม แต่ข้าคนเดียวก็เอาชนะคนแบบคุณหนูหลีได้ยี่สิบคน เจ้ายังพานางไปด้วยเลย ไฉนพาข้าไปอีกคนไม่ได้”
ฉือชั่นแค่นเสียงเยาะ “ชนะคนแบบหลีซานได้ยี่สิบคน เจ้าช่างมีอนาคตไกลจริงๆ”
“ข้าแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น” คนแบบเจ้าข้าก็เอาชนะได้ตั้งหลายคนแล้วกัน
แต่เพื่อมิให้วิวาทกันอีก หยางโฮ่วเฉิงจึงเพียงแต่คิดอยู่ในใจ
เซ่าหมิงยวนชายตามองเขา “เจ้าอย่าลืมว่าพิษไอเย็นในตัวข้ายังขับออกไม่หมดสิ้น จำเป็นต้องให้เจาเจาฝังเข็มให้อยู่”
หยางโฮ่วเฉิงห่อเหี่ยวลงทันใด เขาพูดขอร้องอย่างน่าสงสาร “ถิงเฉวียน เจ้าให้ข้าไปเถอะนะ ข้าเป็นบุรุษเช่นกัน ข้าไม่สนใจตำรับตำราแม้สักนิด ในยุคสมัยเฉกนี้หากข้ายังอยู่แต่ในเมืองหลวงอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมายไปวันๆ ถึงมีชีวิตอยู่จนแก่ชราอายุเจ็ดแปดสิบแล้วจะมีอันใด กระทั่งข้ายังดูแคลนตนเอง”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงพยักหน้า “ได้”
หยางโฮ่วเฉิงดีใจมาก ยื่นมือไปโอบไหล่เขา “ถิงเฉวียน ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าน่ะจิตใจดี”
ฉือชั่นเคาะโต๊ะ “ประเดี๋ยวพวกเจ้าค่อยแสดงความรักกันฉันพี่น้องอีกที ถิงเฉวียน ตอนนี้คุยเรื่องสำคัญจบแล้ว เจ้าสมควรยื่นหูมาได้แล้วกระมัง”
เซ่าหมิงยวนถามด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “เพราะอะไรข้าต้องยื่นหูไปด้วย”
ฉือชั่นถูไม้ถูมือ “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกเองว่ารอคุยเรื่องสำคัญจบ ข้าดึงหูเจ้าคืนได้”
เซ่าหมิงยวนยิ้มเอื่อยๆ “ข้าบอกว่าเจ้าดึงหูข้าคืนได้ก็จริง ข้อแม้คือเจ้ามีปัญญาดึงคืนเอง”
ฉือชั่นทำหน้าบูดบึ้งอย่างโมโหโกรธา เขาชี้หน้าสหายรักพลางพูด “เซ่าหมิงยวน หลีซานรู้หรือไม่ว่าเจ้าไร้ยางอายถึงเพียงนี้”