หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 484
บทที่ 484
เฉียวเจาไปหาเซี่ยเซิงเซียวก่อน พออีกฝ่ายได้ยินว่าต้องกลับจยาเฟิงก็ปฏิเสธทันควัน
“ในเมื่อข้าออกจากเรือนมาแล้วก็ไม่คิดกลับไปตอนนี้ ก่อนหน้านี้ข้าไม่มีประสบการณ์ถึงไม่ระวังตัวจนตกอยู่ในมือคนชั่ว วันหน้าไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว”
“เช่นนั้นคุณหนูเซี่ยมีแผนการใดต่อไป”
แม้นเซี่ยเซิงเซียวจะเก่งวรยุทธ์ แต่แถบชายทะเลนี้มีคนชั่วช้าเลวทรามกลาดเกลื่อนทั่วทุกหนแห่ง ออกผาดโผนตามลำพังเป็นเรื่องอันตรายเกินไปจริงๆ
“แต่เดิมข้าคิดว่าจะสังหารชาววอโค่วให้มากขึ้น แต่พอได้รู้จักหญิงสาวพวกนั้นถึงรู้ว่าชาววอโค่วกำเริบเสิบสานในแถบนี้ได้เป็นฝีมือของขุนนางทุจริตคดโกงพวกนั้นอย่างปฏิเสธมิได้ คุณหนูหลี ข้าอยากไปฝูตงกับพวกท่าน ข้าจะทุ่มเทกำลังความสามารถอันน้อยนิดช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
พอเห็นเฉียวเจามีสีหน้าลังเลใจ เซี่ยเซิงเซียวก็หัวร่อออกมาอย่างไม่ยี่หระต่อสิ่งใด “แน่นอนว่าถ้าพวกท่านรู้สึกไม่สะดวกใจ ข้าก็ไม่ไป จะอยู่ที่นี่สังหารชาววอโค่วต่อ ถึงอย่างไรจะให้ข้ากลับจยาเฟิงนั้นเป็นไปไม่ได้”
เฉียวเจาใคร่ครวญแล้วเอ่ยขึ้น “รอข้าถามความต้องการของแม่นางคนอื่นๆ แล้ว พวกเราไปถามแม่ทัพเซ่าด้วยกันเถอะ”
เทียบกับเซี่ยเซิงเซียวอยู่ที่นี่สังหารชาววอโค่วตามลำพัง นางยอมให้อีกฝ่ายติดตามพวกตนไปฝูตงด้วยกันยังจะดีกว่า ทว่าการเดินทางไปฝูตงเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง เซ่าหมิงยวนเป็นผู้บัญชาการกองทัพมานาน ย่อมมีสายตาในการอ่านสถานการณ์ทั้งหมดได้กว้างไกลกว่า นางย่อมต้องไปขอความคิดเห็นจากเขา
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้าจะไปพบพวกนางเป็นเพื่อนท่านเอง” เซี่ยเซิงเซียวขันอาสา
“ได้อย่างนี้จะดีที่สุด พวกนางให้ความสนิทสนมกับคุณหนูเซี่ยมากกว่า”
คนที่ตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกันก็ต้องรู้สึกใกล้ชิดกันมากกว่า
ทั้งคู่ไปยังห้องที่พวกสตรีพำนักอยู่ก่อน
เมื่อสตรีทั้งหลายได้ยินเฉียวเจาบอกจุดประสงค์ที่มาหาก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เซี่ยเซิงเซียวกล่าวปลอบ “พวกท่านไม่ต้องกลัว มีความคิดอะไรก็พูดออกมาได้ พวกคุณหนูหลีจะพยายามช่วยจัดการให้พวกเราเท่าที่จะทำได้”
ครั้นเห็นทุกคนไม่ปริปากดังเก่า เซี่ยเซิงเซียวเอ่ยกับสตรีนางหนึ่ง “อู่เหนียง เรือนของเจ้าอยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลมิใช่หรือ อยากให้ส่งเจ้ากลับเรือนหรือไม่”
สตรีที่ถูกเรียกว่า ‘อู่เหนียง’ หน้าถอดสีฉับพลัน นางสั่นศีรษะอย่างตื่นกลัว “ข้าไม่อยากกลับไป”
นางพูดปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวจบ ก็มองเฉียวเจาอย่างขลาดๆ แวบหนึ่งแล้วเอ่ยอธิบายทั้งน้ำตา “แต่ก่อนครอบครัวข้าเปิดร้านขายผ้าอยู่ในอำเภอ มีฐานะพอกินพอใช้ แต่ภายหลังพวกชาววอโค่วมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งจะกวาดเอาข้าวของในร้านไปจนเกลี้ยง สุดท้ายก็เปิดร้านต่อไปไม่ไหวจึงย้ายครอบครัวกลับไปที่ตำบล เดิมทีคิดว่าความเป็นอยู่ลำบากขึ้น แต่คนปลอดภัยก็ดีแล้ว ใครจะรู้ว่า…”
หญิงสาวยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา “ใครจะรู้ว่าคนของทางการจะบังคับให้คนในตำบลส่งมอบหญิงสาวให้ตามกำหนด ท้ายที่สุดก็เวียนมาถึงครอบครัวข้า ข้าเป็นบุตรสาวของอนุเลยถูกท่านพ่อส่งตัวไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย คุณหนูหลี ขอร้องท่านล่ะ อย่าส่งข้ากลับไปนะ ถ้าพวกท่านส่งข้ากลับไปเท่ากับส่งข้าเข้ารังชาววอโค่วเป็นครั้งที่สอง”
นางกล่าวจบแล้วพลันคุกเข่าลงโขกศีรษะให้เฉียวเจา “พวกท่านได้โปรดอย่าส่งข้ากลับไปเลย ขอร้องล่ะ…”
ถึงแม้เฉียวเจาจะอ่อนใจที่สตรีพวกนี้เอะอะก็คุกเข่า แต่ก็เข้าใจจิตใจของพวกนางได้
หญิงสาวชาวบ้านที่อ่อนแอตกอยู่ในมือชาววอโค่วแล้วรอดตายมาได้ ส่งผลให้พวกนางกลายเป็นดั่งนกตื่นธนู ไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งทะนงตนในกาลก่อนให้เห็นอีก เมื่อคว้าขอนไม้ช่วยชีวิตไว้ได้จะให้พวกนางทำอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น
เฉียวเจาพยุงนางลุกขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อขอความเห็นของทุกท่าน มิใช่ว่าจะส่งพวกท่านกลับเรือนอย่างแน่นอน”
สตรีทั้งหลายถอนหายใจโล่งอก มีคนเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณหนูหลี ข้าขอติดตามท่านได้หรือไม่ เรื่องหุงหาอาหาร เย็บปักถักร้อย ปัดกวาดเช็ดถู หรือรดน้ำต้นไม้ข้าทำเป็นหมดทุกอย่าง”
“ติดตามข้า?” เฉียวเจาประหลาดใจอยู่บ้าง
สตรีนางนั้นพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ หวังว่าท่านจะรับข้าไว้เป็นสาวใช้ ขอแค่มีที่ให้พักพิงกาย จะให้ข้าทำอะไรก็ได้”
“พวกท่านล้วนเป็นสตรีในสกุลดี…”
สตรีนางนั้นยิ้มขื่นๆ “ยุคสมัยนี้ยังมีการแบ่งสตรีในสกุลดีอะไรอีก ตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่เหมือนมนุษย์คนหนึ่งได้ เป็นบ่าวไพร่ก็ยังดีกว่าเป็นสตรีในสกุลดีที่ถูกส่งไปให้ชาววอโค่วเป็นร้อยเท่า”
“ใช่แล้ว คุณหนูหลี ท่านก็รับพวกข้าไว้เถอะ พวกข้าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ” พวกนางพากันเอ่ยขึ้น
เฉียวเจาตรึกตรองชั่วครู่ก่อนกล่าว “หากพวกท่านอยากติดตามข้า เช่นนั้นก็ต้องไปเมืองหลวงนะ เมืองหลวงเป็นที่ที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก ไปคราวนี้เกรงว่าจะไม่มีโอกาสกลับมาอีกชั่วชีวิต”
สตรีทั้งหลายอึ้งงันไปเล็กน้อย แต่ก็ดึงสติคืนมาได้อย่างรวดเร็ว “พวกข้าเต็มใจไปเมืองหลวง”
เมืองหลวง…ที่นั่นคือที่ที่ไม่มีชาววอโค่ว
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้พวกท่านก็พำนักที่นี่อย่างสบายใจเถอะ อีกไม่นานพวกข้าก็จะกลับไปแล้ว”
สกุลหลีชุบเลี้ยงคนตั้งมากถึงเพียงนี้ไม่ไหว แต่จวนแม่ทัพใหญ่โตจะเลี้ยงดูสาวใช้หลายๆ คนยังคงไม่เป็นปัญหา
ขณะเฉียวเจาคิดคำนึงเช่นนี้นางมองไปทางสตรีนางหนึ่งซึ่งไม่ปริปากอยู่ตลอด “แม่นางท่านนี้มีความคิดต่างออกไปใช่หรือไม่”
“ข้า…ข้าอยากกลับเรือนมากกว่า” นางชั่งใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากบอก “ครอบครัวข้าไม่มีทางเลือก คนพวกนั้นใช้กำลังฉุดลากข้าไป ท่านแม่ข้าร้องไห้แทบตาบอด ข้าเป็นห่วงพวกเขา ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว…”
นางพูดถึงตอนท้ายก็ร่ำไห้สุดเสียง
“เรือนของท่านตั้งอยู่ที่ใด”
“เรือนข้าอยู่ที่ตำบลไป๋อวี๋”
เฉียวเจาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้น “ตกลง รอเมื่อเรือเทียบท่าปากทะเล ข้าจะจัดคนสองคนพาท่านส่งกลับเรือน”
เมื่อสตรีทุกคนมีจุดหมายปลายทางกันแล้ว เฉียวเจายังไปที่ห้องของเจินเหนียงกับน้องสาว
เซี่ยเซิงเซียวหยุดยืนหน้าประตูก่อนกล่าวว่า “พวกนางเห็นอาภรณ์บุรุษไม่ได้ ข้าไม่เข้าไปแล้วกัน ข้าไปที่ห้องกวนจวินโหวถามไถ่ความเห็นของเขาก่อน”
เฉียวเจาพยักหน้า นางเคาะประตูเบาๆ “พี่เจินเหนียง ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
ชั่วครู่ต่อมาประตูห้องเปิดออก เจินเหนียงซึ่งผ่ายผอมแทบรับน้ำหนักอาภรณ์ไม่ไหวยืนอยู่ข้างใน “เข้ามาสิ”
เฉียวเจาบอกจุดประสงค์ที่มาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเล่าเรื่องของบิดาท่านให้พวกเขาฟังแล้ว และตัดสินใจว่าจะแบ่งกำลังส่วนหนึ่งลักลอบเข้าฝูตงช่วยบิดาท่านออกมา”
“จริงหรือ” เจินเหนียงยินดีจนออกนอกหน้า นางจับมือเฉียวเจาไว้พลางกล่าว “ข้าจะไปพร้อมกับพวกท่าน”
“พี่เจินเหนียงติดตามคนอีกกลุ่มหนึ่งของพวกข้าไปยังที่ปลอดภัยรอคอยอย่างใจเย็นก่อนดีกว่านะ”
“เช่นนี้จะได้อย่างไรกัน ข้าต้องไปด้วย พวกท่านไม่เคยพบบิดามารดาและคนในครอบครัวข้า อีกทั้งไม่เคยไปฝูตงมาก่อน ดุ่มๆ ไปอย่างนี้ย่อมไม่รู้เหนือรู้ใต้” เจินเหนียงกล่าวอย่างร้อนใจ
เฉียวเจากล่าวยิ้มๆ “ท่านเพียงบรรยายรูปโฉมโนมพรรณของบิดาท่านและคนอื่นๆ รวมถึงสถานที่ที่บิดาท่านโดนกักขังอยู่ให้ข้าฟังก็พอ”
“แต่ว่า…”
“สิงอู่หยางใช้มือเดียวปิดฟ้าอยู่ในฝูตงได้ พวกข้าไม่คิดจะปะทะกับเขาซึ่งๆ หน้า การลักลอบเข้าฝูตงไปช่วยคนหนนี้ถือการเผด็จศึกโดยไวเป็นสำคัญ ดีที่สุดคือสามารถพาบิดาท่านออกจากฝูตงได้ก่อนที่เขาจะไหวตัวทัน ดังนั้นยิ่งคนน้อยยิ่งดี”
เจินเหนียงรับฟังนิ่งๆ ไม่เปล่งเสียงพูดอีก
เฉียวเจาถอนใจแล้วกล่าวขึ้น “นอกเหนือจากนี้มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่าน เพราะว่าเรื่องนี้ยิ่งถ่วงเวลายิ่งยุ่งยาก”
“ท่านว่ามาสิ”
“จิ้งเหนียงตั้งครรภ์แล้ว”
“อะไรนะ” เจินเหนียงหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา
เฉียวเจาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าตรวจพบตอนจับชีพจรให้นางก่อนหน้านี้ แต่ด้วยสภาพร่างกายของนางไม่ดี ไม่ว่าจะอยากได้ทารกคนนี้หรือไม่ก็เก็บไว้ไม่ได้…”
“เก็บไว้ไม่ได้แน่นอน” เจินเหนียงตัดบทเฉียวเจาเสียงกร้าว
เฉียวเจาตบแขนของนางเบาๆ “อาการของนางอาจแท้งลูกได้ทุกเมื่อ หากเป็นเช่นนั้นจะตกเลือดได้ง่ายขึ้น ประเดี๋ยวข้าจะจัดยาต้มฤทธิ์อ่อนให้เทียบหนึ่ง วันหน้าค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกายก็ไม่เป็นไรแล้ว พี่เจินเหนียงอยู่ที่นี่คอยดูแลจิ้งเหนียงดีกว่า”
“ตกลง ข้าเชื่อท่าน”
เมื่อเตรียมการเรื่องต่างๆ เหล่านี้เสร็จ เฉียวเจารีบเร่งไปที่ห้องของหมอเทวดาหลี่
พอชายชราได้ยินว่าพวกนางจะลักลอบเข้าฝูตงก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นี่อาจจะมีปัญหาเล็กน้อย”