หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 489
บทที่ 489
เฉียวเจาหลากใจเล็กน้อย นางหันไปมองหมอเทวดาหลี่
เขากล่าวเสียงเบา “อำนาจจิตของสตรีกับเด็กจะอ่อนแอกว่า เจ้าก็ลองกับเด็กคนนี้ดูว่าตกลงความจริงเป็นเช่นไรกันแน่”
“เด็กน้อยผู้นั้นหรือเจ้าคะ”
หมอเทวดาทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เหตุใดรึ กระดากใจที่จะลงมือกับเด็ก?”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ข้าไม่ค่อยถนัดเรื่องพูดคุยกับเด็กเจ้าค่ะ ท่านปู่หลี่ ข้าลองกับสตรีนางนั้นเป็นอย่างไร”
“สตรีนางนั้นมีลักษณะของคนใจแคบ ไม่ใช่สตรีหัวอ่อนพรรค์นั้น สตรีเยี่ยงนี้มักมีความคิดเป็นของตนเองอยู่บ้าง เจ้าลงมือครั้งแรกก็เลือกเป้าหมายเช่นนี้ ท่านปู่หลี่กลัวเจ้าจะเสียกำลังใจ” หมอเทวดาหลี่พูดยิ้มๆ
มาตรว่าเขาจะกล่าวเช่นนี้ แต่เห็นเฉียวเจาขันอาสาเอง ในใจเขากลับบังเกิดความคาดหวังอยู่หลายส่วน
ถึงจะสอนวิชาสะกดจิตให้หลานสาวน้อยเป็นเวลาสั้นมาก ทว่าศาสตร์พิสดารประเภทนี้อาจารย์มักทำได้เพียงชี้แนะแนวทาง การฝึกฝนให้ก้าวหน้าขึ้นอยู่กับตนเอง เขาก็อยากเห็นเชาวน์ปัญญาของแม่เด็กน้อยจริงๆ
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “ท่านปู่ ข้าไม่กลัวเสียกำลังใจ ถึงอย่างไรล้มเหลวแล้วไม่โดนไล่ตีก็พอ”
มีเฉินกวงอยู่ทั้งคน นางย่อมไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเป็นอันตราย
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า “เช่นนั้นไปลองดูเถอะ มัวแต่ชักช้าครอบครัวนั้นคงกลับเข้าเรือนแล้ว”
“ข้าไปเลยนะเจ้าคะ” เฉียวเจาผงกศีรษะเล็กน้อย ยกชายกระโปรงเดินออกจากหลังประตูที่ซ่อนตัวอยู่ สาวเท้าเนิบนาบไปหาครอบครัวนั้น
หมอเทวดาหลี่ตาเป็นประกาย
แม่เด็กน้อยผู้นี้ฉลาดหลักแหลมเกินคนจริงๆ นี่นางเข้าถึงเคล็ดวิชาสะกดจิตได้แล้ว
หมายจะให้เป้าหมายถูกสะกดจิตโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผู้สะกดจิตจะต้องใช้ทุกอย่างที่ใช้ได้ให้เป็นประโยชน์ สามารถชักพาผู้ถูกสะกดจิตเข้าสู่ภวังค์ที่ตนสร้างขึ้นได้ยิ่งแนบเนียนยิ่งดี
เฉียวเจานั้นตั้งแต่เสี้ยวขณะที่เดินออกไป จังหวะก้าวเท้าก็แตกต่างไปจากปกติแล้ว
หมอเทวดาหลี่ศึกษาวิชาสะกดจิตมาสิบกว่าปีย่อมดูวี่แววออกได้ในชั่วแวบเดียว
เฮ้อ…หลานสาวของข้าหลี่เจินเฮ่อก็ไม่เหมือนใครอย่างนี้นี่เอง
เฉียวเจาเดินไปหาครอบครัวนั้นด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะ สีหน้านางดูเยือกเย็นละมุนละไม หากในใจกลับตื่นเต้น
นี่เป็นคราแรกที่จะลองวิชาสะกดจิต จะสำเร็จหรือไม่นางไม่มีความมั่นใจแม้แต่สามส่วน
แต่ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ถึงล้มเหลวอย่างมากก็เรียกให้เฉินกวงรีบมาสกัดอยู่ข้างหน้าเท่านั้นเอง
เฉียวเจาลอบให้กำลังใจตนเองขณะเดินเข้าไปใกล้ครอบครัวนั้นทีละน้อย
อันที่จริงพอเฉียวเจาปรากฏกายขึ้น สายตาของสามีภรรยาคู่นั้นก็จับอยู่ที่ตัวนางแล้ว
เด็กสาวผมสีดำสวมชุดสีเรียบโผล่มากะทันหัน ซ้ำยังมีท่วงทีสง่าโดดเด่นไม่คล้ายผู้คนซึ่งพบเจอได้ในตรอกเล็กที่สกปรกทึมทึบสายนี้
ท่าเดินของนางชวนมองจริงๆ
สองสามีภรรยาคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เมื่อเห็นว่าดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้แล้ว เฉียวเจาลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
ใช้วิธีดึงดูดความสนใจของเป้าหมายได้อย่างแนบเนียนที่สุดคือเงื่อนไขสำคัญที่จะลงมือสะกดจิตได้อย่างราบรื่น ยังดีที่ตรอกสายนี้ค่อนข้างมืด แสงสลัวๆ เช่นนี้เป็นผลดีต่อการใช้วิชาสะกดจิตอย่างยิ่งยวด
“ท่านเป็นใคร” เห็นเฉียวเจาเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ภรรยาสาวเอาตัวบังสายตาของสามีไว้ตามสัญชาตญาณพลางเปล่งเสียงถามขึ้น
เฉียวเจายื่นมือไปแล้วแบฝ่ามือ บนนั้นวางถุงผ้าปักเล็กๆ ใบหนึ่งไว้ เสียงพูดของนางอ่อนนุ่มแผ่วเบา “พี่สะใภ้ท่านนี้ เมื่อครู่ข้าผ่านมาทางตรอกนี้แล้วเก็บถุงผ้าปักได้ใบหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นของท่านใช่หรือไม่”
ถุงผ้าปักใบนั้นมีขนาดเล็กกะทัดรัดฝีมือประณีต ข้างในมีของใส่ไว้อย่างเห็นได้ชัด
ภรรยาสาวตวัดสายตามองปราดหนึ่ง แววละโมบผุดขึ้นในดวงตานางขณะยื่นมือไปพลางกล่าว “ข้าขอดูหน่อย…”
เฉียวเจาหดมือกลับ
ภรรยาสาวมองสบตานางอย่างประหลาดใจ
นัยน์ตาของเด็กสาวดำขลับใสบริสุทธิ์ดุจบึงน้ำลึก ยามแพขนตาดกหนาของนางกระพือขึ้นลงเป็นจังหวะ คลับคล้ายว่ามันเริ่มแผ่กลิ่นอายลึกลับออกมา
ด้านภรรยาสาวเพียงรู้สึกว่าดวงตาทั้งคู่ของอีกฝ่ายงดงามเหลือหลายจนลืมเบนสายตาออกไปชั่วขณะ
เฉียวเจาชูถุงผ้าปักขึ้นแกว่งไปมาเบื้องหน้าสายตานาง กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็ว “ข้าเห็นว่าสีสันเนื้อผ้าของถุงผ้าปักใบนี้เหมือนกับชุดกระโปรงบนตัวพี่สะใภ้ ดูทีว่าต้องเป็นของท่านอย่างไม่ต้องสงสัย”
นางวางถุงผ้าปักลงบนมืออีกฝ่ายเบาๆ แย้มยิ้มอ่อนหวาน
ภรรยาสาวกำถุงผ้าปักในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว นางจ้องมองรอยยิ้มบนริมฝีปากเด็กสาวพลางพูดพึมพำ “ใช่ เป็นของข้า”
“เช่นนั้นพี่สะใภ้เก็บไว้เถอะ”
ภรรยาสาวมองดวงตาของเฉียวเจาโดยไม่ละสายตา นางสอดถุงผ้าปักเข้าไปในแขนเสื้อตามความเคยชิน
มุมปากของเฉียวเจาประดับรอยยิ้มบางๆ ไว้ตลอด นางเอ่ยถามไปตามเรื่องตามราว “เมื่อครู่พี่สะใภ้เห็นเด็กสองคนทะเลาะกันหรือไม่”
“เห็นแล้ว” ภรรยาสาวตอบคำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ใดๆ
เฉียวเจายกมุมปากโค้งขึ้นพร้อมกับกะพริบตาเบาๆ “พี่สะใภ้มองเห็นอะไร”
“เห็นเอ้อร์วาหยิบดินเข้าปาก”
“โก่วเซิ่งเล่า”
“โก่วเซิ่ง?” ภรรยาสาวนิ่งขึงไป ลึกเข้าไปในดวงตานางฉายแววแข็งขืนวูบหนึ่ง
เฉียวเจาใจหล่นวูบแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า นางยกมือเสยปอยผมที่รุ่ยอยู่ข้างแก้มขึ้นเบาๆ
“ตอนแรกโก่วเซิ่งเล่นอยู่ตรงปากตรอก เห็นเอ้อร์วากินดินก็วิ่งมาห้ามไม่ให้เขากิน เอ้อร์วาก็ร้องไห้แล้ว…”
ภรรยาสาวพูดถึงตรงนี้เสียงด่าทออย่างโกรธาของสามีนางดังขึ้น “ฮุ่ยเหนียง! ไหนเจ้าบอกว่าโก่วเซิ่งหยิบดินยัดใส่ปากเอ้อร์วาไม่ใช่หรือ ตกลงเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่”
ภรรยาสาวทำหน้าเสีย นางเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน พูดละล่ำละลักขึ้น “เมื่อครู่ข้า…”
สามีจับแขนภรรยาสาวหมับ “เมื่อครู่เจ้าพูดกับปากว่าเอ้อร์วากินดินเอง”
ภรรยาสาวได้สติเต็มที่ นางกล่าวอย่างลุกลน “ไม่ใช่นะ โก่วเซิ่งแกล้งเอ้อร์วาจริงๆ ข้าเป็นคนจิตใจชั่วร้ายอย่างนั้นหรือถึงใส่ร้ายเด็กผู้หนึ่ง”
ภรรยาสาวจับแขนสามีแล้วเริ่มร่ำไห้คร่ำครวญ
“เจ้าพูดเองแล้วยังจะเป็นเท็จอีกหรือ”
“ข้าเปล่านะๆ เมื่อครู่ข้าโดนผีเข้าถึงพูดจาส่งเดช จริงสิ เป็นเพราะสตรีผู้นั้น…” ภรรยาสาวยกมือชี้
แต่พอนางหันหน้าไปกลับพบกว่าเด็กสาวผมสีดำชุดสีเรียบที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อครู่นี้หายไปแล้ว
เฉียวเจาซึ่งกลับไปหลบอยู่หลังประตูมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ ความสำเร็จจากการสำแดงฝีมือครั้งแรกนี้ทำให้นางอารมณ์ดีไม่เลวเลย
ไม่คิดว่าจะราบรื่นถึงเพียงนี้ สองสามีคู่นั้นเริ่มทุ่มเถียงกันเองจนไม่ทันสังเกตเห็นว่านางย่องหนีออกมาแล้ว
ครั้นเห็นเด็กชายที่โตกว่าจ้องมองประตูหลังของร้านสุราตาโตอยู่ตลอด เฉียวเจาก็หัวเราะออกมา
คนที่มองเห็นนางเดินจากมาเงียบๆ คงจะมีแต่เด็กที่โดนแม่เลี้ยงใส่ร้ายป้ายสีผู้นั้น
“นางอยู่ที่ใด” ภรรยาสาวกล่าวอย่างงุนงง จู่ๆ นางก็โวยวายเสียงแหลม “นางต้องเป็นนางปีศาจล่อลวงใจคนเป็นแน่”
“อย่าพูดจาเหลวไหล” สามีชักสีหน้าใส่ภรรยาสาว เขาก้มหน้าถามโก่วเซิ่ง “แม่นางน้อยคนเมื่อครู่ผู้นี้ เจ้าเห็นหรือไม่ว่าไปที่ใดแล้ว”
เด็กชายเม้มปากแน่น
บิดาเขาถลึงตา “ตอบคำถามข้า”
เด็กชายก้มหน้าตอบเสียงดัง “ข้าไม่รู้”
“เห็นหรือไม่ ไม่มีคนเห็นว่านางหายตัวไปอย่างไร นางต้องเป็นนางปีศาจที่ครอบงำจิตใจคนได้อย่างแน่นอน” ภรรยาสาวโอบตัวเด็กชายในอ้อมแขนพร้อมกล่าวอย่างหวาดผวา
สามีนางถลึงตา “นางตัวดี ถึงตอนนี้แล้วยังหลอกข้าเหมือนคนโง่งมอีกหรือ ต่อให้เป็นนางปีศาจครอบงำจิตใจคน แต่ก็ทำให้เจ้าพูดความจริงออกมา ไป! กลับเรือนแล้วค่อยคิดบัญชีนี้กัน”
เด็กน้อยในอ้อมแขนมารดาร้องไห้จ้า
เสียงตะคอกของบุรุษกับเสียงร้องแหลมสูงของหญิงสาวผสมผเสกับเสียงร้องไห้กระจองอแงเงียบหายไป หลังประตูลานเรือนบานหนึ่งปิดลงอย่างรวดเร็ว
เสียงหัวเราะของหมอเทวดาหลี่ดังขึ้น “แม่หนูเจา ทำได้ไม่เลว”