หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 49
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหน้าถอดสีอย่างช้าๆ
หลังจากที่รอบด้านเงียบงันไปในทีแรก เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นกะทันหัน คลับคล้ายแมลงนับไม่ถ้วนบินวนเวียนอยู่ข้างใบหูหญิงชรา
นางพยายามลืมตาขึ้น แต่นัยน์ตาข้างขวาที่พร่ามัวอย่างหนักทำให้นางหงุดหงิดงุ่นง่านมากขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงใช้ตาซ้ายที่เห็นได้ชัดมองไปทางหลานสาว
หลีเจียวรู้สึกหนังศีรษะชาวาบๆ นางฝืนข่มความหวาดกลัวแตกตื่นไว้ พูดอธิบายอย่างตะกุกตะกัก ท่านซือไท่ให้ข้า…เขียนกลอน…
ดวงตาเรียวงามที่เบิกกว้างมากของเด็กสาวเต็มไปด้วยแวววิงวอนแกมกระวนกระวาย ท่านย่าเป็นคนให้นางก้าวออกมา ท่านย่าก็ต้องมีวิธีกระมัง
คำพูดของหลีเจียวทำให้ในโถงรับรองเงียบลงชั่วอึดใจ ก่อนเสียงซุบซิบจะดังยิ่งขึ้นจนได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยได้ชัดถนัดถนี่แล้ว
ตรงขมับของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเต้นตุบๆ ไม่หยุด นางปวดศีรษะแทบแตก
เจ้าเด็กอับปัญญา พูดเช่นนี้มิเท่ากับเปิดโปงแผนสวมรอยต่อหน้าธารกำนัลเองหรือไร!
นางส่งเสียงไอทีหนึ่งแล้วปั้นหน้าเคร่งเครียดดุดัน เจียวเจียว ท่านย่าสายตาไม่ดี ตอนนั้นเห็นคัมภีร์พระธรรมเล่มนั้นวางอยู่ด้านบนเลยนึกว่าเป็นของเจ้า เด็กคนนี้ก็ช่างกระไร ตอนท่านซือฟู่ถามไถ่ก่อนหน้านี้ ไยไม่ดูให้ดีก็ผลีผลามตามท่านไป กลับกลายเป็นทำเรื่องน่าขายหน้าเยี่ยงนี้!
ในหัวสมองของหลีเจียวอึงอลไป ท่านย่าพูดอะไรอยู่ ไฉนนางฟังไม่เข้าใจสักน้อยนิด
ไม่ดูให้ดีหมายความว่าอะไร ทั้งๆ ที่ท่านย่าเป็นคน…
หลีเจียวหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าเจียงโดยไม่รู้ตัว เห็นในดวงตาของท่านย่าผู้เมตตาปรานีเป็นนิจเย็นเยียบปานน้ำแข็ง ปราศจากแววอบอุ่นสักเศษเสี้ยว นางสะท้านเยือก เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรได้ในบัดดล
เจียวเจียว เจ้ารู้ตัวว่าผิดแล้วหรือไม่! ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงตบโต๊ะเต็มแรง
ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะสั่นสะเทือนบังเกิดเสียงดังไม่น้อย
หลีเจียวเบนสายตาไปทางอื่น เห็นสีหน้าสะท้อนใจของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ยังปะทะเข้ากับสายตาสาแก่ใจของหลิวซื่อนายหญิงรองแห่งจวนตะวันตก
เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบด้านดังอื้ออึงสุดจะเปรียบ หลีเจียวไม่อาจต้านทานแรงบีบคั้นหนักอึ้งที่มองไม่เห็นเฉกนี้ได้ไหวอีกต่อไป นางทิ้งตัวลงคุกเข่า ท่านย่า ข้า…ข้าผิดไปแล้ว…
ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเจียงผ่อนคลายลงทันใด
รู้จักแบกความรับผิดชอบไว้เอง เด็กผู้นี้เริ่มรู้ความในที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งซึ่งนิ่งเฉยมองดูอยู่ด้านข้างลอบถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง
เจียงซื่อพูดเช่นนี้ หลังจากนี้ชื่อเสียงของหลานเจียวก็หมดสิ้นไปแล้ว!
บรรดาคุณหนูและฮูหยินในที่นี้หาใช่คนโง่เขลา เมื่อได้ขบคิดให้ดี ใครจะเชื่อว่าตอนนั้นหลานเจียวไม่ทันดูให้ดีเล่า คงรู้เท่าทันกันหมดว่าหลานเจียวคิดสวมรอยแทนเพื่อกิตติศัพท์ชื่อเสียง
ด้วยเหตุนี้สายตาที่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงเย็นชามากขึ้น
กระทั่งหลานสาวที่เห็นเป็นดั่งไข่มุกกลางฝ่ามือมาโดยตลอดยังกระทำได้ลงคอเฉกนี้ ไม่ต้องตรองดูก็รู้ว่าคนผู้นี้แล้งน้ำใจปานใด วันหน้านางต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว
อมิตาภพุทธ… เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นตรงหน้า ภิกษุต้อนรับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่มาก เขากล่าวตัดบทหญิงชราที่ตั้งท่าจะเทศนาหลานสาว ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าคุณหนูท่านใดของจวนท่านเป็นผู้เขียนคัมภีร์พระธรรมเล่มนั้น ท่านซือไท่ของอารามซูอิ่งยังรอพบนางอยู่
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบสงบลง พวกฮูหยินลอบสบตากันไปมา
ที่แท้เป็นคุณหนูสกุลหลีคนใดคนหนึ่งที่เขียนจริงๆ แล้วเป็นคนใดกันแน่นะ
พวกนางอดหันไปมองหลีเจี่ยวตรงมุมห้องไม่ได้
เด็กสาวหลุบตาลงต่ำ หัวใจเริ่มเต้นถี่รัว หรือว่าคัมภีร์เล่มที่อู๋เหมยซือไท่ถูกตาต้องใจเป็นของนาง แต่โดนท่านย่าใหญ่บิดเบือนสวมรอยว่าเป็นของหลีเจียว ต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ นางนึกแปลกใจอยู่แล้วเชียวว่าปีนี้นางทุ่มเทสุดฝีมือแท้ๆ อักษรที่เขียนออกมาต้องสวยงามกว่าหลีเจียวอย่างไร้ข้อกังขา ผลกลับกลายเป็นว่าหลีเจียวได้รับเลือกไปได้อย่างไร
พี่เจี่ยว… ตู้เฟยเสวี่ยส่งเสียงเรียกเบาๆ พร้อมกับบีบมือหลีเจี่ยว
เทียบกับคุณหนูรองสกุลหลีที่มีไมตรีต่อกันอย่างผิวเผิน นางย่อมคาดหวังให้เรื่องดีๆ ตกเป็นของญาติผู้พี่ของตนอย่างแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงทำท่าเก้อกระดากอยู่บ้าง เรื่องนี้ข้าบอกได้ไม่แน่ชัดจริงๆ พักนี้ข้าหูตาฝ้าฟาง ดวงตาข้างหนึ่งก็มองไม่เห็นแล้ว หลังจากรวบรวมคัมภีร์พระธรรมที่พวกหลานๆ คัดลอกไว้แล้วเพียงกวาดตามองผ่านๆ มิได้ดูอย่างละเอียดถึงได้ทำพลาดไปจนกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของทุกท่านแล้ว
โถ เรื่องเช่นนี้ก็เลี่ยงได้ยาก ท่านเซียงจวินอย่าเก็บมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินหลี่รีบกล่าวคลี่คลายบรรยากาศ
คนอื่นๆ อาจไม่พูดอะไรมาก แต่สายตากลับวนเวียนอยู่ที่ตัวหลีเจี่ยว
ด้านหลีเจียวยังคุกเข่าอยู่บนพื้นโถงซึ่งแผ่ไอเย็นเฉียบชำแรกผ่านผิวกายนางชวนให้หนาวเหน็บจับกระดูก พาน้ำตาเอ่อคลอเบ้าในพริบตา
เสียงหัวเราะเยาะและสายตาหยามเหยียดเหล่านั้นเปรียบดั่งมีดบินนับไม่ถ้วนพุ่งใส่นาง ทำให้เด็กสาวที่ถูกประคบประหงมเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ผู้นี้เป็นแผลเหวอะหวะไปทั้งร่าง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลอบทอดถอนใจก่อนปริปากขึ้น ท่านซือฟู่ส่งคัมภีร์พระธรรมนั่นให้ข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่
ภิกษุต้อนรับกุลีกุจอยื่นส่งให้
หญิงชรามีคำตอบในใจแต่แรก ขณะนี้เพียงทำท่าทำทางให้ดูเท่านั้น นางกวาดตามองปราดหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น สลับกันดังคาด นี่เป็นของคุณหนูสามของจวนพวกข้าเอง ตอนนั้นข้าเห็นนางเขียนได้ดี ตั้งใจวางไว้ด้านบนสุดแล้วส่งไปที่จวนตะวันออก คิดไม่ถึงว่าหลานสะใภ้จะใจตรงกัน อยากให้ท่านเซียงจวินมองเห็นในแวบแรก ใครจะรู้ท่านกลับเข้าใจผิดเสียได้ เมื่อครู่ตอนท่านบอกว่าเป็นของคุณหนูรอง เด็กสาววัยเท่านี้กำลังตื่นเต้นแล้วจะไปดูให้ดีได้ที่ใดกันเล่า
ถ้อยคำนี้นับว่าช่วยกู้ชื่อเสียงของหลีเจียวได้เล็กๆ น้อยๆ
ต่อให้พวกฮูหยินในที่นี้รู้แก่ใจดีว่าเวลานั้นหลีเจียวบังเกิดความคิดที่ไม่พึงมี ก็ไม่อาจครหาจวนสกุลหลีในเรื่องนี้ได้จริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นคนใจจืดใจดำ คิดจะปฏิเสธว่าตนไม่เกี่ยวข้องทันที เผอิญว่าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่อยากให้นางสมใจหมาย
นางมีหลานสาวสี่คน คุณหนูรองเสียชื่อเสียงไปแล้ว คุณหนูคนอื่นๆ จะได้รับผลดีอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอึ้งงันไป แต่ติดขัดที่สถานการณ์ยามนี้กระอักกระอ่วนมากพอแล้ว จึงไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดอีก ถือว่ายอมรับคำอธิบายของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
หลีเจียวก้มหน้าน้ำตาไหลริน
ที่แท้เป็นลายมือคุณหนูสามของจวนท่าน ไม่ทราบว่าตอนนี้สีกาน้อยท่านนี้อยู่ที่ใด ภิกษุต้อนรับไต่ถามเสียงดัง
ขณะที่คนข้างในนิ่งเงียบ คนด้านนอกกลับพูดวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงดังจนลอยเข้ามาถึงด้านในเป็นระลอก
คุณหนูสามของจวนสกุลหลี? มิใช่คนที่ถูกล่อลวงไปเมื่อพักก่อนหรือ
ไม่ผิด ภายหลังถูกส่งตัวกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ จริงสิ ข้าได้ว่ายินเป็นหมอเทวดาหลี่ที่พานางมาส่งด้วยนะ
ไม่ถูกต้องสิ ข้าเคยพบคุณหนูท่านนี้ ดูท่าทางไม่เหมือนคนที่เขียนอักษรได้ดี
คิกๆ เขียนอักษรได้ดีหรือไม่ ใช่ว่าจะมองออกกันได้
ตู้เฟยเสวี่ยทำหน้าตึงกล่าวขึ้น พี่เจี่ยว ปีที่ท่านลุงจวนตะวันออกของท่านฉลองวันคล้ายวันเกิด หลีซานมอบภาพอักษรเป็นของขวัญอวยพรมิใช่รึ ข้าจำได้ว่าตัวอักษรนั่นไม่เข้าขั้นนำมาอวดใครได้เลยสักนิด
นางจงใจทำเสียงดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ทันควัน
หลีเจี่ยวยืนในท่วงท่าผึ่งผาย คลี่ยิ้มกล่าวอย่างสุภาพนุ่มนวล บางทีน้องเจาอาจจะฝึกคัดอักษรอย่างมานะบากบั่นในภายหลัง ฝีมือจึงก้าวหน้าขึ้นแล้วกระมัง
ตู้เฟยเสวี่ยเบะปาก เพิ่งผ่านไปสองปีก็ก้าวหน้าทีเดียวได้มากถึงเพียงนี้เชียว ลายมือของคุณหนูทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนเทียบนางไม่ติด มิหนำซ้ำท่านซือไท่ของอารามซูอิ่งยังเรียกตัวเข้าพบเป็นพิเศษน่ะหรือ
ท่ามกลางสายตาผู้คนที่จับจ้องอยู่ มุมปากของหลีเจี่ยวประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่ตลอด น้องเจาอาจจะมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ หมู่นี้นางเริ่มเป็นผู้ใหญ่รู้จักขยันหมั่นเพียรแล้ว ถึงได้ฝีมือรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
หากหลีเจามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ นั่นต่างหากเป็นเรื่องเหลวไหลน่าขัน ทว่าอยู่ต่อหน้าคนนอก นางไม่มีทางพูดจาว่าร้ายพี่น้องตนเองอย่างเด็ดขาด
ไม่รู้ว่าคัมภีร์เล่มนั้นมาจากที่ใดกัน ท่านย่าใหญ่ถึงรับสมอ้างว่าเป็นของหลีเจียวอย่างห้ามใจไม่อยู่ ส่วนท่านย่าก็อยากรับสมอ้างให้หลีเจา
ตู้เฟยเสวี่ยเห็นหลีเจี่ยวแก้ต่างแทนหลีเจาไปเสียทุกเรื่อง อดกล่าวหยันๆ ไม่ได้ หากนางมีพรสวรรค์ล้ำเลิศจนฝีมือรุดหน้าอย่างรวดเร็วได้ล่ะก็ เว้นเสียแต่ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกนะสิ
คนไม่น้อยพยักหน้ากับตนเอง
ภิกษุต้อนรับได้ยินกับหูแล้วใจคอไม่ดีตลอด นี่ถ้าทำพลาดอีกครั้งก็จะหมดคำแก้ตัวแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่า?
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่สะทกสะท้านกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นแม้แต่น้อยนิด นางกล่าวอย่างสงบเยือกเย็น วันนี้หลานเจาของข้าไม่ได้มาด้วย แต่ในเมื่อท่านซือไท่ของอารามซูอิ่งอยากพบนาง นั่นเป็นบุญวาสนาของนาง ข้าจะส่งคนไปรับนางมาเดี๋ยวนี้เลย
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงด้านข้างยิ้มเยาะในใจ นางกลับอยากดูนักว่าหลานเจามีเทวดาจากที่ใดคอยช่วยอยู่ถึงเนรมิตคัมภีร์พระธรรมเล่มนั้นขึ้นมาได้