หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 490
บทที่ 490
เฉียวเจาเผยรอยยิ้มอย่างปลาบปลื้มยินดี “ข้าโชคดีอยู่สักหน่อยเจ้าค่ะ”
สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้วิชาสะกดจิตนั้นคือเสียงพูด สายตา รวมถึงการทำกิริยาซ้ำๆ บางอย่างของผู้สะกดจิต
คนใจคอคับแคบส่วนใหญ่จะโลภมาก ฉะนั้นนางใช้ถุงผ้าปักใบหนึ่งดึงดูดความสนใจของภรรยาสาวให้สบตากับนางได้อย่างราบรื่นมาก
แน่นอนว่าสภาพรอบด้านในตอนใช้วิชาสะกดจิตก็เป็นจุดสำคัญมาก ซึ่งแสงสลัวรางในตรอกเล็กช่วยเปิดทางสะดวกให้นางอย่างยิ่งยวด
“ไม่คิดจะเอาถุงผ้าปักใบนั้นคืนมาแล้วหรือ”
เฉียวเจาเหลียวมองไปทางตรอกเล็กแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ช่างเถอะเจ้าค่ะ เดิมเป็นถุงใส่เศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ทำจากผ้าพื้นไม่ได้ตกแต่งลวดลายเป็นพิเศษ ตอนแรกข้าตั้งใจจะเอาคืนมาตอนนางไม่ทันสังเกต ในเมื่อเด็กน้อยผู้นั้นเก็บได้ก็ให้เขาเก็บไว้ซื้อขนมถังหูลู่สองสามไม้แล้วกัน”
ถุงผ้าปักหล่นไปบนพื้นระหว่างที่ภรรยาสาวกับสามียื้อยุดฉุดดึงกัน ตอนนั้นเฉียวเจาเห็นเด็กชายก้มตัวไปเก็บก็เดินหนีออกมาเงียบๆ
ดูจากท่าทางที่เด็กน้อยผู้นั้นแสดงออกมา นางไม่คิดว่าเขาจะยกถุงเงินให้บิดามารดาคู่นั้น
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า “เช่นนี้ก็ได้ แต่แม่หนูเจาจงจำไว้ให้ดี เจ้าเป็นสตรี วันหน้าจะใช้วิชาสะกดจิตกับใครอีกก็ตาม ใช้ของพกติดกายจำพวกนี้ให้น้อยที่สุด จะได้ไม่ทิ้งร่องรอยให้คนสืบสาวได้ในภายหลัง”
“ท่านวางใจได้ ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ วันนี้เป็นการใช้วิชาครั้งแรก ข้าไร้ความมั่นใจถึงได้อาศัยของใช้ประจำตัวประเภทนี้ วันหน้าข้าจะพยายามหลีกเลี่ยงอย่างเต็มที่”
คำเตือนของท่านปู่หลี่ไม่ผิดเลยสักนิด ศาสตร์พิสดารนี้นางไม่มีทางนำมาใช้พร่ำเพรื่อเป็นแน่ เป้าหมายของนางในวันหน้าต้องมิใช่คนสามัญธรรมดา ฉะนั้นย่อมทิ้งสิ่งใดที่จะก่อปัญหาตามมาในภายหลังพรรค์นี้เอาไว้ไม่ได้
“ท่านหมอเทวดา คุณหนูหลี ท่านแม่ทัพให้ข้ามาบอกกล่าวให้ทราบว่าได้เวลาไปแล้วขอรับ” เยี่ยลั่วสาวเท้าเข้ามาหา
เฉียวเจาผงกศีรษะ ประคองแขนชายชราออกเดินไปข้างหน้า
เยี่ยลั่วติดตามอยู่ข้างหลังถูกเฉินกวงดึงตัวไว้
อะไรกัน
เยี่ยลั่วไม่ปริปาก แต่เลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย
เฉินกวงลากเขาไปที่มุมหนึ่ง กล่าวอย่างมีลับลมคมใน “ข้ารู้สึกว่าคุณหนูหลีมีบางอย่างแปลกๆ”
เยี่ยลั่วมุ่นคิ้วมองเขา
“เจ้าทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอะไร” เฉินกวงเอ่ยถามอย่างไม่ชอบใจ
เยี่ยลั่วกล่าวเสียงเรียบ “ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา วิพากษ์วิจารณ์ว่าที่ฮูหยินแม่ทัพลับหลังไม่ใคร่จะดีกระมัง”
เฉินกวงกลอกตาขึ้นอย่างเอือมระอา “วิพากษ์วิจารณ์อะไรกัน นี่ข้าจะคุยถกกับเจ้า คุยถกกันเข้าใจหรือไม่”
ช่างไม่คิดเสียเลยว่าคุณหนูหลีกลายมาเป็นว่าที่ฮูหยินแม่ทัพได้อย่างไร เป็นความดีความชอบของข้าทั้งนั้นนะ!
ตอนนี้เจ้าลูกเต่าพวกนี้พากันเรียกขานฮูหยินแม่ทัพไม่หยุดปาก ชุบมือเปิบเช่นนี้ละอายแก่ใจบ้างหรือไม่
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากจะคุยถกเรื่องอะไร” เยี่ยลั่วไต่ถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เมื่อครู่มีบุรุษผู้หนึ่งดุด่าตบหน้าบุตรชายอยู่ในตรอก คุณหนูหลีเดินเข้าไปพูดไม่กี่คำ ผลปรากฏว่าบุรุษผู้นั้นไม่ดุด่าตบหน้าบุตรชายเด็กแล้วยังหันไปทุบตีด่าทอภรรยาแทน เจ้าว่านี่แปลกมากใช่หรือไม่” เฉินกวงลูบปลายคางพลางทำสีหน้าแคลงใจ “คุณหนูหลีก็มิได้พูดอะไรเป็นพิเศษด้วยนะ”
ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งทำหน้าที่อารักขาเจ้านาย เฉินกวงย่อมไม่แอบฟังเวลาเฉียวเจากับหมอเทวดาหลี่พูดคุยกระซิบกระซาบกัน ทว่าตอนเฉียวเจาเดินออกไปพบปะกับคนแปลกหน้า เขาก็ไม่กล้าชะล่าใจ จำเป็นต้องตั้งใจจับสังเกตความเคลื่อนไหวของนางอย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจำได้ชัดเจนว่าขณะนั้นนางพูดว่าอะไรบ้าง
เพราะเหตุนี้เององครักษ์น้อยซึ่งเห็นเพียงผลลัพธ์โดยไม่รู้ที่มาที่ไปถึงได้งุนงงไปหมด
“เจ้าพูดสิ” เฉินกวงผลักเยี่ยลั่ว
เขาทำหน้าเฉยเมยดังเก่า “ไม่มีอะไรน่าพูด แปลกหรือไม่แปลกมันเรื่องอะไรของเจ้า ขอแค่ท่านแม่ทัพของเราชมชอบก็พอแล้วมิใช่หรือ”
เฉินกวงอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้า “จริงของเจ้า”
ดังนั้นข้าไม่ต้องรายงานให้ท่านแม่ทัพทราบหรือนี่
โอ๊ย ช่างเป็นปัญหาน่ากลุ้มใจจริงๆ
นายอำเภอผางตามไปส่งพวกเซ่าหมิงยวนตลอดทางจนถึงท่าเรือ เมื่อเห็นทุกคนขึ้นเรือจากไปกับตาถึงยกขบวนกลับ
เมื่อกลับถึงที่ว่าการเขาเขียนสารด่วนฉบับหนึ่งประทับครั่งส่งไปให้สิงอู่หยางทันทีทันควัน
“ในที่สุดก็อัญเชิญเทพเวินเสิน* พวกนี้กลับไปได้เสียที”
เสมียนหลี่ประสานมือคารวะพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า “ขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าด้วยขอรับ ส่งเทพเวินเสินพวกนั้นกลับไป พวกเราก็นอนหลับอย่างสบายใจได้แล้ว ข้าน้อยบอกแล้วว่าคุณชายสูงศักดิ์จากเมืองหลวงพวกนั้นปฏิบัติภารกิจเสร็จ ต้องไม่เต็มใจรั้งอยู่ในอำเภอกันดารห่างไกลของเราพรรค์นี้อย่างแน่นอน”
นายอำเภอผางชายหางตามองเขา “พูดอะไรของเจ้า”
“นี่ข้าดีใจกับใต้เท้ามิใช่หรือขอรับ” ใบหน้าของเสมียนหลี่ฉาบด้วยรอยยิ้ม ทว่าในใจกลับพูดเยาะหยัน
ยังไม่ยอมให้พูดว่าอาณาเขตในอาณัติตนเป็นที่กันดารห่างไกลอีกรึ ถ้ารู้สึกว่าที่แห่งนี้ดีนัก ไฉนมอบตนอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายสิงอู่หยางทางนั้นแต่แรก สิงอู่หยางบอกให้ไปทางขวา ผางเซิ่งก็ไม่กล้าไปทางซ้าย!
ผางเซิ่งเป็นนายอำเภอที่มีตำแหน่งบัณฑิตจิ้นซื่อติดตัว หากผลการพิจารณาความดีความชอบออกมาดีก็สามารถโยกย้ายไปที่อื่นได้ ขณะที่เสมียนหลี่มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องอยู่ที่นี่จนแก่ชรา ด้วยเป็นห่วงว่าหลังเกษียณราชการในวันหน้าจะอยู่ในไห่เหมินไม่ได้ เขาถึงลอบคับแค้นใจที่ผู้บังคับบัญชารีดนาทาเร้นชาวบ้านของไห่เหมินจนได้รับความเดือดร้อนแสนเข็ญ
“เอาล่ะ วันนี้สำราญใจ พวกเราก็ไปดื่มสุราที่หอวั่นชุนกันสักจอก อาหารในร้านสุราที่ท่าปากทะเลนั่นจะกินลงที่ใดกัน”
นายอำเภอผางชักชวนคนสนิทหลายคนไปที่หอวั่นชุน
เมื่อเรือของพวกเฉียวเจาแล่นห่างจากท่าปากทะเลทีละน้อย สตรีที่ช่วยกลับมาพวกนั้นต่างห้อมล้อมอยู่ข้างกายหญิงสาวที่ร่ำไห้ไม่หยุดนางหนึ่ง อยากพูดเกลี้ยกล่อมก็ไม่รู้จะเอ่ยปากเช่นไร
ทุกคนได้ฟังคำบอกเล่าขององครักษ์ที่ส่งหญิงสาวนางนี้กลับเรือนแล้ว ขณะนี้ได้ยินเสียงร้องไห้ของนางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีไปตามๆ กัน
หญิงสาวผู้นั้นลุกพรวดขึ้นวิ่งฝ่าวงล้อมของสตรีรอบตัวถลันไปที่กราบเรือ
พวกสตรีส่งเสียงร้องอุทานกันระงม
องครักษ์ซึ่งอยู่ใกล้พวกนางที่สุดทะยานกายไปดึงหญิงสาวที่ยื่นตัวออกนอกราวรั้วเรือครึ่งหนึ่งกลับมาแล้วพาไปตรงหน้าพวกเซ่าหมิงยวน
นางล้มพับลงกับพื้นปิดหน้าร่ำไห้เสียงดัง “พวกท่านช่วยข้ากลับมาด้วยเหตุใด ปล่อยให้ข้าตายเถอะ เป็นความผิดของข้าคนเดียว ถ้าไม่มีข้า พ่อแม่พี่น้องของข้าก็คงไม่จบชีวิตลง…”
“พอได้แล้ว!” เซี่ยเซิงเซียวที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จามาโดยตลอดตวาดเสียงห้วนกะทันหัน
เสียงร้องไห้ของหญิงสาวผู้นั้นหยุดชะงัก นางมองไปทางเซี่ยเซิงเซียวผ่านม่านน้ำตาพร่าพราย
เพราะว่าเซี่ยเซิงเซียวเป็นคนพาพวกนางออกมาจากที่กบดานของชาววอโค่ว ส่งผลให้สตรีเหล่านี้เห็นนางเป็นที่พึ่งพิงมากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยามนี้เห็นนางบันดาลโทสะ หญิงสาวผู้นั้นส่งเสียงร้องไห้ไม่ออกอีก มีเพียงหัวไหล่ที่สั่นกระเพื่อมอย่างไร้สุ้มเสียง
เซี่ยเซิงเซียวลอบสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนไต่ถามเสียงเฉยเมย “ตอนนั้นข้าพาพวกท่านหลบหนีจากรังชาววอโค่ว ต้องพานพบกับอุปสรรคขวากหนามมามากเท่าไรท่านลืมไปหมดแล้วหรือ เพื่อเร่งความเร็วในการพายเรือมือใครบ้างที่ไม่ถลอกเป็นแผล ไม่มีน้ำดื่ม ริมฝีปากใครบ้างที่ไม่แห้งแตกจนดูไม่ได้ หากมิใช่เจอกับพวกคุณหนูหลี พวกเราให้สัญญากันไว้ว่าแทนที่จะโดนชาววอโค่วจับตัวกลับไป มิสู้รอถึงเสี้ยวขณะสุดท้ายค่อยโดดทะเลไปเสียเลยใช่หรือไม่”
เซี่ยเซิงเซียวกล่าวถึงตรงนี้ก็มีน้ำตาคลอเบ้าแล้ว นางทะนงตนเกินกว่าจะร้องไห้เลยหลับตาลงกลั้นน้ำตาไว้ พูดเสียงแตกพร่าว่า “พวกเราตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่กลัวตาย มิใช่ให้ท่านคิดสั้นในตอนนี้! ครอบครัวของท่านไปทวงความเป็นธรรมกับคนที่ฉุดคร่าท่านไปจนต้องประสบเคราะห์ร้าย แล้วท่านจบชีวิตตนเองเป็นการตอบแทนพวกเขาหรือ ท่านเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ!”
คำพูดติเตียนเพื่อเตือนสติของเซี่ยเซิงเซียวทำให้หญิงสาวผู้นั้นหยุดร้องไห้ในที่สุด แววสิ้นหวังในดวงตานางค่อยๆ แทนที่ด้วยความแน่วแน่ จู่ๆ นางก็โขกศีรษะให้เฉียวเจาพลางกล่าว “คุณหนูหลี โปรดรับข้าไว้ด้วยเถอะ ข้าจะไปเมืองหลวงพร้อมกับพี่น้องทั้งหลาย ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีๆ”
* เทพเวินเสิน ตามความเชื่อของชาวจีนหมายถึงเทพดาวหายนะ นำพาภัยพิบัติหรือโรคระบาดมาสู่มนุษย์