หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 492
บทที่ 492
อีกไม่นานก็จะฟ้ามืดแล้ว ทั้งสามนั่งล้อมวงกินอาหารเย็นด้วยกันเสร็จ เฉินกวงรีบหาข้ออ้างออกไป
ในห้องจุดตะเกียงไว้ดวงหนึ่งแผ่แสงไฟสลัวๆ ถึงแม้จะเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่ในนี้ยังทำให้คนรู้สึกร้อนอบอ้าวอยู่ดี
“เจาเจา พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ” เซ่าหมิงยวนเอ่ยชวน
เฉียวเจาลุกขึ้นยืน “ได้”
ตอนนี้เขากับนางจะนั่งมองหน้ากันไปจนถึงเวลาเข้านอนก็น่ากระอักกระอ่วนอยู่สักหน่อยจริงๆ
เมื่อก้าวเข้าสู่ลานเรือนก็เห็นความโปร่งโล่งสบายตาทันที ทิวทัศน์สวนหย่อมอันเป็นเอกลักษณ์ของแดนใต้สะท้อนเข้าคลองจักษุ ถึงจะเป็นโรงเตี๊ยมธรรมดาเช่นนี้ก็ยังคงแฝงความงามละมุนละไมไม่เหมือนที่ใด เพียงเสียดายที่มีเมฆดำลอยต่ำเป็นผืนหนาทึบราวกับจะแผ่คลุมลงมาถึงพื้นดินชวนให้รู้สึกอึดอัดในใจ
“ใกล้ฝนตกแล้ว” เซ่าหมิงยวนแหงนคอมองท้องฟ้ามืดครึ้มพลางกล่าวรำพึง
เฉียวเจาพลันเม้มปากยิ้ม “พี่ใหญ่ อาการปวดข้อในฤดูหนาวของท่านหายแล้วหรือ”
เขาไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้อยู่บ้าง “น้องรอง เจ้าอย่ากระเซ้าข้าเลย”
อาการปวดข้อในฤดูหนาวอะไรกัน เขามิใช่ตาเฒ่าสักหน่อย
ประเดี๋ยวก่อน หรือว่าเจาเจาจะติงว่าเขาอายุมาก
ชายหนุ่มก้มหน้ามองเด็กสาวอ่อนเยาว์ประหนึ่งดอกไม้ตูมแล้วรู้สึกถึงสัญญาณอันตรายได้รางๆ
ขณะนี้เจาเจายังไม่ย่างสิบสี่ อีกสองปีตบแต่งนางเข้าเรือน เขาก็อายุยี่สิบสามปีแล้ว
อายุยี่สิบสาม ถ้าเป็นเรือนอื่น ลูกเต้าก็อายุหกเจ็ดขวบ… เซ่าหมิงยวนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่เข้าที
หรือไม่รอกลับถึงเมืองหลวงแล้วเขาพยายามให้มากขึ้น รีบเร่งตบแต่งเจาเจาเข้าเรือนปีหน้าเลยเถอะ ดีชั่วปีหน้าเขาเพิ่งอายุยี่สิบสอง
ท่านแม่ทัพลอบตกลงใจอย่างเด็ดเดี่ยว
เฉียวเจาสังเกตเห็นคนบางคนจมอยู่ในภวังค์ความคิดกะทันหัน นางอดมองซ้ำๆ ไม่ได้ เห็นเขายังคงไม่รู้สึกตัวเลยเบนสายตามองไปที่ไกลๆ
ทีแรกนางแค่มองไปเรื่อยเปื่อย แต่จู่ๆ สายตาของนางก็นิ่งขึงไป รีบสะกิดเซ่าหมิงยวนพร้อมกับลดสุ้มเสียงลงกล่าว “พี่ใหญ่ ท่านดูคนที่ยืนอยู่ใต้ชายคาทางนั้นสิ เป็นข้าตาลายหรือไม่”
เขาดึงความคิดคืนมา มองไปตามสายตาของนางแล้วอึ้งงันไปเช่นกัน แววประหลาดใจผุดขึ้นบนใบหน้า
ห่างไปไม่ไกลมีเงาร่างในชุดสีดำสนิทสายหนึ่งยืนอยู่ โคมไฟที่แขวนอยู่ใต้ชายคาแผ่แสงเรื่อเรืองเห็นรูปโฉมของคนผู้นั้นเพียงเลือนราง
กระนั้นไม่ว่าจะเป็นเฉียวเจาหรือเซ่าหมิงยวนต่างจดจำได้ในแวบแรกว่าคนผู้นั้นคือเจียงหย่วนเฉา ท่านสิบสามของกององครักษ์จินหลินนั่นเอง!
เจียงหย่วนเฉาคล้ายรับรู้ได้ เขาหันหน้าขวับมองมาทางนี้
เซ่าหมิงยวนดึงสายตากลับอย่างเยือกเย็น ก้มหน้าบอกกับเฉียวเจา “กลับห้องเถอะ”
“อื้อ” นางพยักหน้าด้วยท่าทางเป็นปกติ
เจียงหย่วนเฉาผู้นั้นมีเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำ ไม่ว่าเขาปรากฏตัวที่นี่จะน่าตกใจปานใดก็จะแสดงออกมาทางสีหน้าไม่ได้แม้สักเศษเสี้ยว หาไม่แล้วเกิดถูกเขาจับได้ ใครจะรู้ว่าจะเผยพิรุธใดออกมาหรือไม่
พอทั้งคู่ตัดสินใจกลับห้อง คาดไม่ถึงว่าเจียงหย่วนเฉากลับขยับตัวกะทันหัน สาวเท้าก้าวยาวๆ ตรงมาหาคนทั้งคู่
เพื่อไม่ก่อให้เกิดความสงสัย เขากับนางจำต้องหยุดฝีเท้า
เจียงหย่วนเฉาเดินมาถึงตรงหน้าอย่างว่องไว อมยิ้มประสานมือคำนับเซ่าหมิงยวน “ท่านเพิ่งเข้ามาพักที่นี่หรือ”
เฉียวเจาหลุบตายืนอยู่ข้างกายเซ่าหมิงยวน นางหายใจไม่ทั่วท้องด้วยความวิตกแทนเขาอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งนางและเซ่าหมิงยวนล้วนเคยพบปะวิสาสะกับเจียงหย่วนเฉามาไม่น้อย นางไม่คิดว่าคนสำคัญลำดับที่สองรองจากเจียงถังของกององครักษ์จินหลินจะจำเสียงเซ่าหมิงยวนไม่ได้
“ใช่แล้ว” เซ่าหมิงยวนกล่าวตอบ
แต่พอได้ยินเขาเอ่ยปากคำแรก เฉียวเจาก็อดระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งไม่ได้
นางไม่รู้เลยว่าคนผู้นี้ถึงกับมีความสามารถในการดัดเสียงด้วย หากขณะนี้ไม่ได้มองเห็นกับตาแล้วได้ยินแต่เสียง นางยังฟังไม่ออกว่าเสียงพูดทุ้มต่ำแฝงความซื่อๆ ไว้ในทีเสียงนี้เป็นของเซ่าหมิงยวน
เฉียวเจาคิดถึงตรงนี้แล้วใจกระตุกวูบ
แย่แล้ว สุ้มเสียงเปิดโปงฐานะได้ กลิ่นก็ทำได้ดุจเดียวกัน เป็นไปได้มากว่าสร้อยประคำไม้กฤษณาที่นางสวมบนข้อมืออยู่ตลอดเส้นนั้นอาจทำให้เจียงหย่วนเฉาจดจำนางได้!
นางก้มหน้าถอยไปหลบหลังเซ่าหมิงยวน
เจียงหย่วนเฉาหลุบตาลงน้อยๆ ตวัดมองไปที่ตัวเฉียวเจา
เซ่าหมิงยวนขยับตัวเล็กน้อยบังสายตาเขาไว้ พูดอธิบายยิ้มๆ ว่า “น้องชายข้าใจเสาะและค่อนข้างกลัวคนแปลกหน้า หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษ”
“จะถือโทษได้อย่างไรกัน” เจียงหย่วนเฉาแย้มปากยิ้ม เขาพลันมองเซ่าหมิงยวนปราดหนึ่งก่อนถามเป็นนัยๆ “ท่านมาจากทิศเหนือกระมัง”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วสูง “เหตุใดพี่ชายถามเช่นนี้”
ริมฝีปากของเจียงหย่วนเฉาประดับรอยยิ้มจางๆ “ฟังสำเนียงท่านไม่เหมือนคนทางนี้ อีกทั้งคนที่นี่มีคนตัวสูงอย่างท่านน้อยมาก”
เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงหัวร่อ “ฮ่าๆ ท่านตาแหลมยิ่งนัก ข้ากับน้องชายไม่ใช่คนที่นี่จริงๆ”
“อ้อ แล้วท่านพาน้องชายมาทำอะไรที่นี่หรือ”
เฉียวเจาได้ยินเจียงหย่วนเฉาถามไล่เลียงแล้วลอบขมวดคิ้ว
สมแล้วที่มาจากกององครักษ์จินหลิน ไปถึงที่ใดก็ไม่ทิ้งนิสัยช่างซักช่างถาม
หากเป็นคนทั่วไปเอ่ยถาม พวกนางสามารถไม่แยแสสนใจได้ ทว่าเป็นคำถามของเจียงหย่วนเฉา พวกนางจะไม่ตอบก็ไม่เป็นการดี มิเช่นนั้นถ้ากระตุ้นความสนใจของเขาขึ้นมาแล้วส่งคนมาจับตาดูพวกนาง ถึงตอนนั้นต่างหากที่จะสร้างความรำคาญใจให้สุดจะทน
เซ่าหมิงยวนคิดไปในทางเดียวกับนางอย่างเห็นได้ชัด เขาได้ยินเจียงหย่วนเฉาถามคำถามนี้ก็ตอบโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ “ตอนต้นปีบิดาข้ามาเจรจาค้าขายที่ฝูตง คิดไม่ถึงว่าหลังจากเรือนมาก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ครอบครัวข้าส่งคนมาเสาะหาที่ทิศใต้ ผลปรากฏว่าคนที่ส่งมาก็มิได้กลับไปเช่นกัน มารดาข้าไม่วางใจ ด้วยเหตุนี้จึงสั่งให้ข้ามาตามหาบิดา”
“อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง” เจียงหย่วนเฉาเผยรอยยิ้มจางๆ “ในเมื่อท่านเดินทางไกลมาต่างเมือง ไฉนยังพาน้องชายวัยเยาว์มาด้วย”
เฉียวเจาลอบถอนใจเฮือก
เจียงหย่วนเฉาผู้นี้มิใช่จะหลอกได้ง่ายๆ ดังคาด ไม่เพียงเท่านั้นยังน่ารังเกียจถึงที่สุด พบคนแปลกหน้าก็ถามโน่นถามนี่ ไม่คิดเสียเลยว่าเป็นกงการอะไรของเขาด้วย!
เซ่าหมิงยวนหาได้จนมุมกับคำถามของอีกฝ่าย เขาอมยิ้มกล่าวอธิบาย “น้องรองของข้าแค่ตัวเตี้ยเท่านั้น ความจริงอายุเขาย่างสิบห้าแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แต่เป็นคนขี้อายเกินไป ปกติชอบเอาแต่หมกตัวอยู่กับหนังสือตำรา ข้ามีความคิดว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่มมิสู้เดินทางพันลี้ ถึงได้อยากพาเขาออกมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจแก้นิสัยใจคอเยี่ยงอิสตรีนี้ของเขาได้ ข้าจึงพูดเกลี้ยกล่อมมารดาขอพาเขามาพร้อมกัน พวกข้าสองพี่น้องก็ต่างมีคนเป็นเพื่อนด้วย”
ยามนี้เฉียวเจาหลบอยู่ข้างหลังเซ่าหมิงยวน ตัวนางถูกเขาบดบังไว้เกินครึ่ง
สายตาของเจียงหย่วนเฉาหยุดอยู่ที่ศีรษะนาง เขากลั้นยิ้มไม่อยู่ “ถ้าดูจากน้องชายท่านกลับมีส่วนคลับคล้ายคนทางนี้อยู่บ้าง”
แม่นางเฉียวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในใจ นางตัวเตี้ยแล้วมีอันใดรึ ทำผิดอาญาบ้านเมืองข้อใดหรือไม่ น้ำเสียงของเจียงหย่วนเฉาเจือรอยเย้าหยอกชัดเจนเกินไปแล้ว!
เพลานี้พลันมีเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ มาจากขอบฟ้าทำลายความสงบเงียบของยามราตรี
เซ่าหมิงยวนเงยหน้ามองสีท้องฟ้า กล่าวขอตัวอย่างแนบเนียน “กำลังจะฝนตกแล้ว ข้าจะพาน้องชายกลับห้อง ไว้พบกันใหม่”
เจียงหย่วนเฉาประสานมือคำนับอย่างสง่างาม “ไว้พบกันใหม่”
เซ่าหมิงยวนจูงมือเฉียวเจาด้วยสีหน้าเป็นปกติ “น้องรอง ไปกันเถอะ”
จวบจนแผ่นหลังของคนทั้งสองหายลับไปตรงหน้าประตู เจียงหย่วนเฉายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ด้านนอกยังไม่มีฝนตกลงมา ในห้องมืดสลัวอบอ้าว แต่เฉียวเจาเริ่มขุ่นใจที่ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์เมื่อครู่นี้ นางเดินไปปิดหน้าต่างอย่างว่องไว
พอนั่งลงแล้วเรื่องแรกที่นางทำคือถกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นท่อนแขนขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะน้ำค้างแข็ง
เซ่าหมิงยวนเห็นแล้วใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง