หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 496
บทที่ 496
เมื่อเห็นแววจริงใจบนใบหน้าของเซ่าหมิงยวน เฉียวเจาพยักหน้าอย่างแกนๆ พลางพูดเสียงเรียบ “ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ อย่าให้มีซ้ำสอง”
จากนั้นนางขยับตัวเข้าไปด้านใน พูดทอดถอนใจว่า “รีบนอนเถอะ”
“เจ้านอนก่อน ข้ารอเจ้าหลับแล้วค่อยนอน”
“นอนบนพื้นไม่ได้นะ”
“รับรองว่าไม่นอนบนพื้น”
เฉียวเจามองเขาแล้วหลุบเปลือกตาลงในที่สุด “ก็ได้ ข้านอนก่อนแล้ว”
ขืนพิรี้พิไรต่อไปก็จะฟ้าสางแล้ว
เซ่าหมิงยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้มองแผ่นหลังของเด็กสาวเงียบๆ จวบจนลมหายใจแผ่วเบาของนางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาถึงลุกขึ้นเดินไปหลังฉากกั้น
ผ่านไปหนึ่งเค่อ ชายหนุ่มซึ่งล้างหน้าด้วยน้ำเย็นยกหนึ่งถึงก้าวออกมาจากหลังฉากกั้นแล้วค่อยๆ เอนกายลงนอนตรงขอบเตียงด้านนอก
ตลอดราตรีไร้วาจาใด
ยามเช้าตรู่เฉินกวงกุลีกุจอเข้ามารายงาน
“ข้าลองสืบจากคนที่พักแรมอยู่ที่นี่ตามคำสั่งท่านว่าเพราะอะไรถึงมาที่นี่ ผลปรากฏว่าคนพวกนั้นมีสีหน้าตื่นตระหนก ถามไม่ได้ความใดเลยขอรับ”
“ไม่ต้องสืบต่อแล้ว”
เฉินกวงอึ้งงันไป
เซ่าหมิงยวนเอ่ยอธิบาย “เมื่อคืนพวกข้าเจอเจียงหย่วนเฉาของกององครักษ์จินหลิน ด้วยนิสัยระแวดระวังของเขา ถ้าจงใจสืบถามจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ก่อปัญหายุ่งยากโดยใช่เหตุ”
เฉินกวงเบิกตากว้างฉับพลัน เขากล่าวรำพึง “เจอเขาอีกแล้วหรือนี่ ตามหลอกหลอนไม่เลิกราจริงๆ”
ฮึ่ม เจ้าคนไร้ยางอายเจียงหย่วนเฉาผู้นั้นเคยแย่งหน้าที่สารถีของข้าไป ข้ายังจำได้นะ!
เซ่าหมิงยวนขมวดคิ้ว “จะพูดจะทำอะไรระวังสักหน่อย อย่าให้เจียงหย่วนเฉาจับพิรุธได้”
“ขอรับ”
เมื่อเห็นว่าพูดเรื่องงานจบ อีกทั้งเฉียวเจาเก็บของอยู่ยังไม่ออกมา เฉินกวงยักคิ้วหลิ่วตาพลางกล่าว “ท่านแม่ทัพ เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “อะไรเป็นอย่างไร”
เฉินกวงกระแอมกระไอทีหนึ่งก่อนเบาเสียงลงบอกว่า “ก็เมื่อวานตอนกลางคืนอย่างไรเล่าขอรับ”
เซ่าหมิงยวนรู้สึกร้อนวาบๆ ที่ใบหู เขาปั้นหน้าขรึมตะคอกดุ “ปากมาก!”
“โธ่ ท่านแม่ทัพ เมื่อคืนออกจะฤกษ์งามยามดี ท่านมิได้ทำอะไรสักนิดเลยหรือ”
เซ่าหมิงยวนชำเลืองหางตาไปทางหน้าประตูอย่างฉับไวแล้วพูดเสียงเย็น “เมื่อคืนฝนตกหนักไม่ลืมหูลืมตา เป็นฤกษ์งามยามดีที่ใดกัน ขืนเจ้าพูดจาเหลวไหลอีกจะโดนลงโทษตามวินัยกองทัพ”
เฉินกวงเบิกตากว้างเป็นไข่ห่าน สีหน้าเขาบ่งบอกชัดว่าไม่สบอารมณ์กับความไม่เอาไหนของผู้เป็นนาย “ท่านแม่ทัพ หรือว่าท่านไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ”
ท่านทำอย่างนี้ไม่รู้สึกผิดต่อผู้ใต้บังคับบัญชาที่นอนอยู่กับพวกหนูในห้องเก็บฟืนทั้งคืนเลยหรือ
“ไสหัวไป!” เซ่าหมิงยวนเงื้อเท้าถีบเขาทีหนึ่งอย่างเหลืออด
ทั้งสามออกจากโรงเตี๊ยมแล้วซื้อลาตัวหนึ่งให้เฉียวเจาขี่ออกจากเมืองไปที่เมืองฝูซิง
จุดนี้อยู่ห่างจากเมืองฝูซิงไม่นับว่าไกลนัก เหตุผลที่ไม่ว่าจ้างรถม้าเพื่อกันมิให้ทิ้งร่องรอยไว้มากเกินไป สารถีรวมถึงรถม้าตกเป็นเป้าสายตาได้ง่ายกว่าลาตัวหนึ่งเป็นอันมาก
ระหว่างทางมีผู้คนขี่ลาเดินทางไม่น้อย เฉียวเจานั่งอยู่บนหลังลาแล้วนึกสะท้อนใจเหลือแสนในชั่วขณะ
เซ่าหมิงยวนที่จูงสายบังเหียนเบนหน้ามาถาม “ขี่ลาเป็นครั้งแรกกระมัง”
“ครั้งที่สอง”
เขาแปลกใจเล็กน้อย
นางคลี่ยิ้ม “หรือว่าพวกพี่ฉือไม่เคยเอ่ยถึงกับท่าน”
“เอ่ยถึงอะไร”
แม่นางเฉียวทำสีหน้านิ่งเฉย “ตอนข้าถูกล่อลวงไปขายก็ต้องขี่ลา”
เซ่าหมิงยวนลูบจมูกอย่างกระอักกระอ่วน ดูเหมือนเขาจะใช้วิธีทำคุณไถ่โทษไม่ถูกที่อีกแล้ว
เฉียวเจาเห็นท่าทางนี้ของเขาก็หัวเราะ “วางใจได้ ลาไม่ได้ทิ้งเงามืดอันใดในใจข้า”
นางตายแล้วฟื้นคืนชีพกลายเป็นหลีเจา เป็นความโชคดีของนาง หาใช่โชคร้ายไม่
“ท่านแม่ทัพ ท่านสังเกตเห็นหรือไม่ว่าคนเดินทางที่สวนผ่านมามีจำนวนมากกว่าคนที่มุ่งหน้าไปทางเมืองฝูซิงอย่างมาก”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “อื้อ เจ้าลองไปถามปู่หลานที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้คู่นั้นดูสิ”
เฉินกวงย่อมต้องเข้าใจความคิดของเซ่าหมิงยวน
คนเดินทางที่สวนผ่านมาดูท่าทางเป็นผู้มีอันจะกินทั้งสิ้น คนจำพวกนี้พบคนแปลกหน้าจะมีความหวาดระแวงสูง ยากจะถามได้ความใดจากพวกเขา ขณะที่ปู่หลานใต้ต้นไม้ใหญ่คู่นั้นแต่งกายธรรมดา อยากสืบถามข่าวคราวก็จะง่ายดายกว่ามาก
“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง พวกเราหยุดพักตรงนี้เถอะขอรับ!” เฉินกวงตะเบ็งเสียงดังขึ้นเล็กน้อยเพื่อดึงดูดความสนใจของสองปู่หลาน
เซ่าหมิงยวนยื่นมือพยุงเฉียวเจาลงจากหลังลา ส่วนเฉินกวงรับสายบังเหียนจูงลาไปผูกโยงไว้ใต้ต้นไม้
เด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบกลอกตามองสำรวจเจ้าลาที่ไม่มีสีอื่นแซมอยู่
เฉินกวงล้วงห่อกระดาษเคลือบมันจากอกเสื้อ แกะเปิดอย่างเชื่องช้าเผยให้เห็นขนมสายไหมรังนกสีเหลืองทอง
เด็กชายจ้องตาโต เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างสุดระงับ
เฉินกวงมองเขายิ้มๆ เอาผ้ารองมือหยิบขนมสายไหมรังนกชิ้นหนึ่งส่งให้เฉียวเจา “คุณชาย กินขนมสายไหมขอรับ”
เฉียวเจานึกอ่อนใจเต็มที แต่ใบหน้าไม่เผยความรู้สึกใดแม้แต่น้อยนิด นางรับขนมสายไหมรังนกไปกัดหนึ่งคำ
สายไหมรังนกรสชาติหวานหอมมาก นางอดไม่ได้ที่จะหวนประหวัดถึงตอนไปอารามซูอิ๋ง ปิงลวี่ชอบเอามันมาล่อหลอกเณรน้อยเสวียนจิ่ง
ทั้งที่เป็นเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อน บัดนี้คิดขึ้นมากลับรู้สึกคล้ายผ่านไปแล้วชาติหนึ่ง ไม่รู้ว่าฟันซี่หน้าของเณรน้อยขึ้นมาหรือยัง
ยามเฉียวเจาปล่อยความคิดลอยไปไกล พาให้ท่าทางกินขนมของนางจะเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ สายไหมรังนกนี้ก็ยิ่งดูน่าอร่อยมากขึ้น
เด็กชายกลืนน้ำลายอีกอึกหนึ่ง
ผู้เฒ่าลูบหัวเด็กชาย “พักเหนื่อยพอหรือยัง”
เด็กชายส่ายหน้า เขามองขนมในมือเฉินกวงโดยไม่ละสายตา “ท่านปู่ ข้ายังอยากพักอีกครู่หนึ่งขอรับ”
เฉินกวงยื่นขนมชิ้นหนึ่งไปให้พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มตาหยี “น้องชาย พี่ชายแบ่งขนมให้เจ้ากินนะ”
ผู้เฒ่ารีบกล่าวขึ้น “ไม่ได้ๆ”
เฉินกวงยัดขนมใส่มือเด็กชายทันที เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะสดใส “มีวาสนาถึงได้พานพบกัน ขนมชิ้นเดียวเท่านั้น มิได้มีค่ามากมายอะไร จริงสิ ท่านลุง นี่พวกท่านมาจากที่ใดกันหรือ มีทั้งผู้อาวุโสและผู้เยาว์ ไฉนไม่ว่าจ้างรถม้าเล่า”
ผู้เฒ่าเห็นหลานตัวน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ไม่บอกปัดอีก เขากล่าวอย่างกระดากอายพอดู “เด็กผู้นี้ตะกละเหลือเกิน พวกข้ามาจากเมืองฝูซิง รถม้าของที่นั่นข้าว่าจ้างไม่ไหวหรอก”
“เอ๊ะ รถม้าทางนั้นคิดค่าจ้างแพงกว่าที่อื่นหรือขอรับ”
“ที่อื่นแพงหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่รถม้าของเมืองฝูซิง คนอย่างพวกข้าไม่มีปัญญาว่าจ้างได้ไหว อีกทั้งหลายวันมานี้ก็มีคนว่าจ้างรถม้าเยอะแยะเหลือเกิน”
“มิน่าพวกข้าเห็นคนมากมายล้วนมาจากทางเมืองฝูซิง ท่านลุง เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เมืองฝูซิงใช่หรือไม่”
สายตาของผู้เฒ่าไหววูบหนึ่ง เขาย้อนถามว่า “พ่อหนุ่มจะไปที่เมืองฝูซิงหรือ”
“ใช่ขอรับ คุณชายสองท่านของข้าจะไปที่นั่นตามหานายท่าน”
ผู้เฒ่าไม่ปริปากพูดแล้ว เขาหยิบกระบอกน้ำขึ้นดื่มพรวดๆ หลายคำ
“เฮ้อ…นายท่านของข้าออกมานานหลายเดือนแล้วไม่ได้ข่าวคราวใดมาโดยตลอด นายหญิงอยู่ที่เรือนร้อนใจจนล้มป่วยถึงได้ส่งคุณชายสองท่านมา ท่านลุง เกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองฝูซิงจริงๆ ใช่หรือไม่ ถ้ามีจุดใดที่ต้องระวังท่านช่วยชี้แนะพวกข้าด้วย พวกข้าล้วนเยาว์วัยนัก เดินทางมาต่างเมืองกลัวจะก่อปัญหาขึ้นขอรับ”
เฉินกวงพูดพร้อมกับเอาสายไหมรังนกทั้งห่อยัดเยียดให้เด็กชายน้อย
เขากินอย่างดีอกดีใจยิ่ง
“กินได้กินดี รู้จักแต่กินนี่ล่ะ” ผู้เฒ่าพูดดุ แต่เห็นหลานชายกินแก้มตุ่ยอย่างติดอกติดใจก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง เขาลดสุ้มเสียงลงกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม ข้าขอเตือนพวกท่านว่าอย่าไปเมืองฝูซิงเลย”
“ท่านลุง ท่านบอกเพียงครึ่งๆ กลางๆ ทำให้พวกข้าไม่แน่ใจมากขึ้นอีกนะ” เฉินกวงหยิบก้อนเงินเล็กๆ ยัดใส่มือเขา พูดอย่างเกรงอกเกรงใจ “ท่านลุงช่วยพวกข้าหน่อยนะ”
ผู้เฒ่าชั่งใจเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงเบา “เมืองฝูซิงไม่ค่อยสงบสุข”