หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 500
บทที่ 500
เซ่าหมิงยวนตามเฉียวเจาไปที่ห้องของนางอย่างสงบเสงี่ยม
นางจุดตะเกียงส่องแสงสว่างทำให้เห็นใบหน้าขาวซีดของอีกฝ่ายได้ชัดถนัดตาขึ้น
“นอนลง”
เขาเอนกายลงนอนราบตามคำบอก
เฉียวเจาเลิกชายเสื้อของชายหนุ่มขึ้นเป็นคำรบที่สอง ยื่นนิ้วไปลูบผ่านท้องน้อยของเขาแล้วเอาเข้าปาก
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจาเจา นี่เจ้าทำอะไร”
นางหลับตาลงไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ทำปากขมุบขมิบจากนั้นลืมตาขึ้นกล่าวว่า “เป็นพิษนกเจิ้น*”
“พิษนกเจิ้น?”
“อย่าเพิ่งพูด พิษนกเจิ้นมีฤทธิ์รุนแรง ท่านแบกคนกลับมาเป็นการเร่งให้มันแพร่กระจายเร็วขึ้น ยาถอนพิษที่ท่านกินไปต้านทานไว้ได้ไม่นาน ข้าต้องถอนพิษให้ท่านทันที”
เฉียวเจาไม่ได้นำสมุนไพรติดไม้ติดมือมามากนัก ได้แต่ใช้วิธีฝังเข็มถอนพิษเฉพาะตัวที่หมอเทวดาหลี่สอนให้ขับพิษในตัวเซ่าหมิงยวนออกมา
วิชาถอนพิษด้วยการฝังเข็มนี้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนยุ่งยากเป็นพิเศษ ไม่นานนักบนหน้าผากเนียนเกลี้ยงของเด็กสาวก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายจนทั่ว
ยามเม็ดเหงื่อหยดลงบนแผงอกกว้างของชายหนุ่มทำให้เขาปวดใจสุดจะกล่าว
เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งในอกเสื้อออกมาแล้วยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อให้นาง
เวลาไหลเลื่อนผ่านไปทีละน้อยทีละนิดจนกระทั่งแสงขาวจับขอบฟ้า เทียนไขลุกไหม้จนหมดแท่งเหลือเพียงน้ำตาเทียนกองหนึ่ง เฉียวเจาถึงถอนใจอย่างโล่งอกและเผยรอยยิ้มจากใจจริง “ในที่สุดก็ขับพิษออกได้แล้ว”
เซ่าหมิงยวนกำผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชื้นไว้ในมือ ดวงตาเขาทอประกายลึกซึ้งขณะกล่าวเสียงเบา “เจาเจา ชีวิตข้าเป็นของเจ้า”
เฉียวเจามองค้อนเขา นางดื่มน้ำเร็วๆ อึกหนึ่งก่อนพูด “ข้าจะเอาชีวิตของท่านไปเพื่ออันใด ท่านมีชีวิตอยู่ดีๆ ทำให้ข้าเหนื่อยใจน้อยลงสักนิดล้วนดีกว่าอะไรทั้งสิ้น”
เขาจับมือนางไว้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้อมรับคำสั่งขอรับ ฮูหยินแม่ทัพของข้า”
ท่าทีของเฉียวเจายังคงไม่ผ่อนคลายลง นางยื่นมือไปอังหน้าผากเขาทีหนึ่ง ยังจับตามแขนขาและแผ่นหลังของเขา สีหน้าของนางเคร่งขรึมลงทุกทีๆ
“ถิงเฉวียน ท่านรู้สึกหนาวไปทั้งตัวหรือไม่”
เขาพยักหน้าอย่างลังเล “หนาวกว่าปกติอยู่บ้าง”
เขามีพิษไอเย็นอยู่ในตัวจึงคุ้นชินกับอาการหนาวทั่วสรรพางค์กายเป็นประจำ ส่งผลให้เขาไม่ค่อยรู้สึกถึงความหนาวเย็นได้เฉียบไวนักจริงๆ
“เช่นนั้นปวดเมื่อยตามข้อกระดูกหรือปวดศีรษะหรือไม่” เฉียวเจาซักถามต่อ
เขามองนางอย่างพินิจแล้วเอ่ยขึ้น “สาเหตุที่ข้าหลบมีดสั้นที่อาบยาพิษเล่มนั้นไม่ทัน เพราะตอนนั้นจู่ๆ ก็ปวดเมื่อยหนาวสั่นกะทันหันจนควบคุมตัวได้ไม่เต็มที่”
เฉียวเจาทำสีหน้าไม่สู้ดี
เซ่าหมิงยวนเป็นคนฉลาดหลักแหลมชั้นใด เขาเห็นเช่นนี้ก็ฉุกใจได้จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ไข้ป่ากำเริบใช่หรือไม่”
นางผงกศีรษะรับ
“แล้วส่งผลต่อการเคลื่อนไหวร่างกายหรือไม่”
“ต้องนอนพักอย่างน้อยห้าวันและดื่มยาควบคู่กันถึงจะรักษาอาการไข้ป่าให้หายดีได้”
พอเห็นเขาทำหน้าเคร่งเครียด เฉียวเจารินน้ำร้อนถ้วยหนึ่งยื่นให้เขา “ต่อให้ไข้ป่าไม่กำเริบ บาดแผลตรงท้องท่านก็ต้องพักฟื้นหลายวัน ยังมีผู้ตรวจการสิงอีก คงเป็นเพราะโดนทารุณทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นเวลานาน สุขภาพของเขาจึงทรุดโทรมอ่อนแอถึงที่สุด เขาจำเป็นต้องพักรักษาตัวหลายวันเช่นกันถึงจะเริ่มเดินทางสมบุกสมบันได้ ฉะนั้นท่านพักผ่อนให้สบายใจเท่านั้นเป็นพอ”
“เกรงแต่ว่าทางสิงอู่หยางจะไม่ยอมรามือ เขาต้องออกตามหาตัวพวกเราขนานใหญ่”
“พวกเราพักอยู่ในเรือนชาวบ้านที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาอย่างนี้ น่าจะไม่โดนตรวจค้น”
เซ่าหมิงยวนยิ้มฝืดๆ “ตอนแรกข้าก็คิดเช่นนี้ แต่พอไปช่วยผู้ตรวจการสิงวันนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็นภายนอกเสียแล้ว”
เฉียวเจารับฟังเงียบๆ นางย่อมต้องรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายดายปานนั้น หาไม่แล้วเซ่าหมิงยวนคงไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ
“วันนี้ข้าได้พบผู้ตรวจการสิงตัวจริงและตัวปลอมสองคน ข้าเจอกับผู้ตรวจการสิงตัวปลอมที่รูปโฉมเหมือนกับภาพวาดทุกประการก่อน ตอนข้าอุ้มเขาขึ้น เขาหยิบมีดสั้นออกมาแทงใส่ข้ากะทันหัน…” เซ่าหมิงยวนเล่าสิ่งที่ประสบพบเจอมาในราตรีนี้
เขามองไปทางเฉียวเจา “เจาเจา พิษนกเจิ้นที่ทาอาบไว้บนมีดสั้นเช่นนี้จะอยู่ได้นานเพียงใด”
นางตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด “วิธีการอาบยาพิษบนมีดสั้นจะมีปริมาณพิษจำกัดและอยู่ได้ไม่นานนัก โดยมากผ่านไปวันสองวันก็ไม่หลงเหลือฤทธิ์อะไรแล้ว”
ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายเข้มขึ้น “เรื่องมันน่าประหลาดที่ตรงนี้เอง สิงอู่หยางเป็นคนระวังรอบคอบ จะหาคนปลอมตัวเป็นผู้ตรวจการสิงก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด ทว่าในอาณาเขตที่เขาใช้มือเดียวปิดฟ้าได้ ผู้ตรวจการสิงตัวปลอมผู้นี้จำเป็นต้องซุกมีดสั้นอาบยาพิษไว้ในอกเสื้อตลอดเวลาด้วยหรือ”
เฉียวเจาฟังแล้วทำท่าครุ่นคิด นางพูดพึมพำขึ้นว่า “เขากระทำเยี่ยงนี้กลับคล้ายรู้ล่วงหน้าว่าจะมีคนมาหา ดังนั้นถึงตั้งใจรอท่านอยู่”
“นั่นสิ การจัดวางกำลังในจวนผู้ตรวจการสิงเรียกได้ว่าแน่นหนาประหนึ่งแหฟ้าตาข่ายดิน ข้าพาตัวผู้ตรวจการสิงออกมาได้ก็เป็นความโชคดีเช่นกัน” เมื่อนึกไปถึงอันตรายทุกฝีก้าวในจวนผู้ตรวจการสิง เซ่าหมิงยวนก็สะท้านเยือกตรงกลางอก เขาจึงปิดบังเอาไว้ไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
เฉียวเจาจับแขนเสื้อของเขาไว้พลางพูดอย่างเคร่งขรึม “ถิงเฉวียน ร่องรอยของพวกเราอาจจะแพร่งพรายออกไปแล้ว หรือไม่ต่อให้ร่องรอยมิได้แพร่งพรายออกไป แต่มีผู้ไม่หวังดีล่วงรู้เป้าหมายของพวกเราแล้ว”
“ข้าคิดเช่นนี้เหมือนกัน” อาการปวดศีรษะจู่โจมมาเป็นระลอก เซ่าหมิงยวนปรือตาลง “เจาเจา ข้าเพียงเป็นห่วงเจ้า…”
นางเห็นใบหน้าซีดขาวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก็แจ่มแจ้งแก่ใจว่าเขาเริ่มจับไข้แล้ว
“ท่านนอนพักก่อน ข้าจะไปต้มยา” เฉียวเจาดึงผ้าห่มมาห่มให้เขาแล้วลุกขึ้นจะออกไป ทว่ากลับถูกเขารั้งไว้
“เจาเจา เรียกเฉินกวงเข้ามา”
“ได้” นางตอบตกลงแล้ว ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่ปล่อยมือดุจเก่า
“ถิงเฉวียน ท่านอย่ากังวลใจนะ เพราะข้าเตรียมป้องกันเรื่องไข้ป่ากำเริบให้ท่านไว้ล่วงหน้าเลยนำสมุนไพรที่ต้องใช้มาด้วย เมื่อวานเฉินกวงก็ซื้อข้าวสารอาหารแห้งไว้เรียบร้อยแล้ว หลายวันนี้พวกเราไม่ต้องออกนอกเรือน คนของสิงอู่หยางคงสืบหาที่พำนักของพวกเราไม่เจอในเร็ววันนี้หรอก”
เซ่าหมิงยวนถึงยอมปล่อยมือออก
ไม่นานนักเฉินกวงก็เดินเข้ามา พอเห็นท่าทางของผู้เป็นนาย เขาใจหายวาบๆ ทันที “ท่านแม่ทัพ ข้ามาแล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนฝืนลืมตาขึ้นพูดกำชับ “เฉินกวง หากถึงคราวคับขัน เจ้าพาคุณหนูหลีหนีไป คุ้มครองนางให้ปลอดภัยแทนข้าด้วย”
“ท่านแม่ทัพ…”
“นี่เป็นคำสั่ง” สุ้มเสียงของเซ่าหมิงยวนอ่อนระโหยอย่างมาก แต่ยังแฝงอำนาจบารมีอย่างไม่เปิดช่องให้ขัดขืน
เฉินกวงกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “น้อมรับคำสั่ง”
ขณะที่ภายในเรือนชาวบ้านไม่โดดเด่นสะดุดตาอบอวลไปด้วยกลิ่นยาหอมฟุ้ง ถนนใหญ่ของเมืองฝูซิงกลับตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เฉินกวงซึ่งออกไปสังเกตการณ์อย่างลับๆ กลับมาถึงแล้วเอ่ยกับเฉียวเจา “โชคดีที่ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้าเช่าเรือนชาวบ้านหลังนี้ไว้ เมื่อครู่ข้าออกไปสืบข่าว มีทหารเป็นกลุ่มๆ กำลังไล่ค้นตามโรงเตี๊ยมไปทีละแห่งอยู่ขอรับ”
หญิงสาวมิได้มองไปในด้านดี
หากสิงอู่หยางได้รับข่าวมาจากทางใดทางหนึ่งว่ามีคนจะมาช่วยผู้ตรวจการสิงออกไป ไม่แน่ว่าอาจสืบได้เลาๆ แล้วว่าพวกนางเป็นใคร
เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นกวนจวินโหว สิงอู่หยางจะชะล่าใจได้เช่นไร เมื่อไม่พบเบาะแสจากโรงเตี๊ยม ก้าวต่อไปก็ต้องขยายวงค้นหาให้กว้างขึ้นอย่างแน่นอน
“แล้วท่านแม่ทัพจะหายดีได้เมื่อไรขอรับ” มาตรว่าปกติเฉินกวงจะเป็นคนโผงผางร่าเริง เพลานี้ยังกลัดกลุ้มหนักอกดุจเดียวกัน
คำสั่งของท่านแม่ทัพเขาย่อมปฏิบัติตามเป็นธรรมดา แต่ถึงเวลาถ้าให้ทอดทิ้งท่านแม่ทัพจริงๆ อย่างนั้นคงทุกข์ทรมานยิ่งกว่าสังหารเขาทั้งเป็นเสียอีก
“อย่างน้อยก็ต้องสี่ห้าวัน”
ต่อจากนั้นบรรยากาศในเมืองฝูซิงนับวันยิ่งตึงเครียดขึ้นตามลำดับ วันที่สามหลังจากเฉียวเจากล่าวคำนี้ จู่ๆ ก็มีคนเคาะประตูลานเรือน
ดวงตาของเฉินกวงทอประกายกร้าววูบหนึ่ง เขาอดมองไปทางนางไม่ได้
* นกเจิ้น เป็นนกในตำนาน กินงูพิษเป็นอาหาร ขนจึงมีพิษรุนแรง เพียงนำขนแช่ในเหล้าก็จะกลายเป็นเหล้าพิษสังหารคนได้