หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 501
บทที่ 501
สีหน้าของเฉียวเจาสุขุมเยือกเย็นดังเก่า “ถามดูว่าพวกเขาเป็นใคร”
เฉินกวงเดินไปถึงหน้าเรือน เสียงตบประตูด้านนอกยิ่งดังสนั่น เขายังไม่ทันได้ถามเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังขึ้น
“เปิดประตู! พวกข้าเป็นเจ้าหน้าที่ทางการมาค้นหาชาววอโค่ว”
เขาเปิดประตูแล้วย่อเข่าน้อยๆ โค้งกายต่ำ แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ใต้เท้า พวกข้าล้วนเป็นชาวบ้านทำมาหากินสุจริต มีชาววอโค่วที่ใดกันเล่าขอรับ”
นอกประตูมีคนยืนอยู่สี่คน เห็นประตูเปิดก็ผลักเฉินกวงออกแล้วก้าวเท้าเข้าเรือนก่อนพูดเยาะๆ “มีชาววอโค่วหรือไม่พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์พูด ต้องค้นดูถึงจะรู้”
เฉินกวงยังโค้งตัวต่ำเดินตามพวกเจ้าหน้าที่ทางการไปทางด้านในด้วยท่าทางพินอบพิเทา “ขอรับ ใต้เท้าทั้งหลายค้นได้เลย ค้นดูให้เต็มที่เลยขอรับ”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ส่งสายตาบอกอีกสามคน “พวกเจ้าแยกกันค้นให้ทั่วๆ ดูว่าเรือนนี้มีทั้งหมดกี่คน”
อีกสามคนแยกย้ายกันตรวจค้น ส่วนหัวหน้าเจ้าหน้าที่หันไปจ้องมองเฉียวเจา
นางก้มศีรษะงุดขยุ้มชายเสื้ออย่างอึดอัด
“นี่เป็นคุณชายน้อยของข้า กลัวคนแปลกหน้าตั้งแต่วัยเยาว์แล้วขอรับ” เฉินกวงรีบบอกขึ้น
หัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบเท้าสองก้าวไปหยุดตรงหน้าเฉียวเจา ก้มศีรษะลงมองนางอย่างสำรวจตรวจตรา
นางกัดริมฝีปากพลางถอยหลังสองก้าว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
เมื่อเห็นความสูงของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าแล้วเขาก็หมดความสนใจ
คนทางเบื้องบนบอกกล่าวว่าคนที่ต้องการจับกุมเป็นบุรุษเรือนกายสูงใหญ่ เจ้าหนุ่มหัวโตตัวเล็กเหมือนถั่วงอกผู้นี้ต้องไม่ใช่คนที่พวกเขาตามหาเป็นแน่
เขาคิดถึงตรงนี้แล้วเลื่อนสายตาไปที่เฉินกวง
เฉินกวงโค้งกายแย้มยิ้มเต็มหน้า “ใต้เท้า…”
“ยืนตัวตรงสิ!”
เฉินกวงใจกระตุกวูบ ทว่าไม่กล้าแสดงพิรุธทางสีหน้าแม้สักนิด เขายืดตัวขึ้นอย่างเชื่อฟัง
ดวงตาของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทอแววเครียด เขาจ้องเฉินกวงเขม็งอย่างปึ่งชา “ตัวสูงดีนี่”
เฉินกวงยิ้มกว้างอวดไรฟันขาวทั้งปาก “ข้ากินจุแต่เด็กขอรับ คนอื่นกินข้าวหนึ่งชาม ข้ากินสามชาม ก็เลยเป็นคนร่างสูงใหญ่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว พ่อข้ายังติงว่าข้ากินจุ…”
“ไม่ต้องพูดมาก ถกชายเสื้อขึ้น”
“อะไรนะขอรับ” แววแตกตื่นจุดขึ้นในดวงตาเฉินกวงวูบหนึ่ง แต่เขายังทำหน้าไขสือเอ่ยถามขึ้น
“หูหนวกใช่หรือไม่ ข้าบอกให้เจ้าถกชายเสื้อขึ้น”
เฉินกวงยกมือกอดอกแน่นๆ “ใต้เท้า นี่…นี่ไม่ดีกระมัง บุรุษด้วยกันจะสร้างความลำบากใจให้กันไปไย…”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่เดือดดาลอย่างหนัก “อย่าพูดพล่าม ถ้าไม่ถกชายเสื้อให้ข้าดูก็ตามพวกข้าไป!”
“อย่าๆ ข้ายอมแล้วๆ” เฉินกวงลุกลนถกชายเสื้อขึ้นเผยให้เห็นกล้ามท้องแข็งแน่นเรียบเนียน เขาตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่ง
คุณหนูสาม คนพวกนี้ถึงกับตรวจดูหน้าท้อง ประเดี๋ยวท่านแม่ทัพจะทำฉันใดเล่า
แย่แล้วๆ คราวนี้ดีไม่ดีจะหนีไม่พ้นจริงๆ
หัวหน้าเจ้าหน้าที่เห็นว่าบริเวณท้องของเฉินกวงเรียบเนียน สีหน้าถึงผ่อนคลายลง เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ปล่อยชายเสื้อลง”
เบื้องบนมีคำสั่งให้จับคนร้ายที่มีรอยแผลใหม่จากมีดตรงส่วนท้อง เขาจึงแน่ชัดแล้วว่าไม่ใช่คนผู้นี้
เวลานี้เองเจ้าหน้าที่ทางการอีกสามคนสาวเท้าออกมา “หัวหน้า ในเรือนยังมีอีกสองคน เป็นตาเฒ่าผู้หนึ่งกับลุงผู้หนึ่ง ล้วนนอนอยู่บนเตียงขอรับ”
“เข้าไปดูสิ”
เจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่งนำทางหัวหน้าไปยังห้องที่ผู้ตรวจการสิงพักอยู่
พอย่างเท้าเข้าไปก็ได้กลิ่นยาจางๆ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขามองไปทางเตียง
บนนั้นมีชายชราผมเผ้าหงอกขาว ใบหน้าเหลืองซีดเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น ดูท่าทางป่วยหนักร่อแร่
เขาล้วงภาพวาดคนจากอกเสื้อ คลี่เปิดออกเทียบดูอย่างละเอียด
เฉินกวงฉวยจังหวะเหลือบมอง เป็นภาพใบหน้าของผู้ตรวจการสิงซึ่งเซ่าหมิงยวนพากลับมาเมื่อราตรีก่อนอย่างเห็นได้ชัด
เขามองไปทางผู้ตรวจการสิงที่แก่ชรากว่าในภาพวาดราวยี่สิบสามสิบปีอีกครา ในใจอดเลื่อมใสเฉียวเจาสุดประมาณมิได้
รอยย่นบนใบหน้าของผู้ตรวจการสิงเป็นคุณหนูสามวาดออกมาทีละเส้นๆ แม้แต่เรือนผมหนวดเคราก็ล้วนเป็นนางที่ย้อมให้ ฝีมือในเชิงนี้ของนางเข้าขั้นล้ำเลิศโดยแท้
ครั้นเห็นรูปโฉมของตาเฒ่าที่ดูเหมือนจะสิ้นใจได้ทุกเมื่อบนเตียงไม่เหมือนกับภาพวาดโดยสิ้นเชิง หัวหน้าเจ้าหน้าที่เก็บภาพขึ้น เอ่ยถามด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “เขาเป็นอะไรกับเจ้า แล้วป่วยเป็นโรคอะไร”
เฉียวเจาอ้าปากพูดอย่างตกประหม่า “เขาเป็นท่านปู่ของข้า หมอบอกว่าท่านปู่เป็นไข้หัวลม”
“ไข้หัวลม? เหตุใดเป็นไข้หัวลมถึงอยู่ในสภาพใกล้ตายได้” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ไต่ถาม
เฉียวเจาก้มศีรษะลงราวกับหวาดกลัวมาก กระทั่งสุ้มเสียงยังสั่นเครือ “ข้า…ข้าไม่รู้…ท่านพ่อข้าคอยดูแลท่านปู่ก็ล้มป่วยตามไปด้วย…”
“พ่อเจ้า?”
“ท่านพ่อข้าอยู่ห้องติดกัน” เฉียวเจาเหลือบมองไปทางห้องที่เซ่าหมิงยวนอยู่ปราดหนึ่งอย่างฉับไว
เฉินกวงทั้งใจเต้นระทึกทั้งอยากหัวร่อ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคุณหนูสามจะเรียกท่านแม่ทัพว่า ‘ท่านพ่อ’ ได้คล่องปากถึงเพียงนี้
หัวหน้าเจ้าหน้าที่เดินไปตรงหน้าประตูห้องของเซ่าหมิงยวนแล้วมองเข้าไปด้านใน
บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงมีวัยราวสามสิบเศษ สีหน้ายังย่ำแย่กว่าตาเฒ่าห้องติดกัน ถ้าพูดว่าตาเฒ่านั้นดูท่าทางป่วยหนักร่อแร่ เช่นนั้นชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าโลงศพแล้ว
หัวหน้าเจ้าหน้าที่นึกฉงนในใจอย่างสุดระงับ
สองพ่อลูกล้วนเป็นไข้หัวลม ซ้ำยังอาการหนักเช่นนี้ รู้สึกไม่วายว่าไม่เข้าทีอยู่บ้าง
“พ่อเจ้าเป็นไข้หัวลมเหมือนกันหรือ”
เฉียวเจาพยักหน้าพลางพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “อื้อ ตอนแรกท่านพ่อข้ายังดีๆ อยู่ ใครจะรู้ว่าดูแลท่านปู่ได้สองวันก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว พวกข้าเชิญหมอมาตรวจ หมอบอกว่าท่านปู่ข้าเป็นไข้หัวลมที่แพร่ต่อให้คนอื่นได้ง่ายมากชนิดหนึ่ง ให้พวกข้าเตรียมจัดงานศพได้เลย…ฮือๆๆ…”
พอนางกล่าวถ้อยคำนี้ออกมาหัวหน้าเจ้าหน้าที่ก็หน้าถอดสีไปถนัดตา เขารีบถอยออกไปที่ลานเรือน พวกเจ้าหน้าที่ทางการอีกสามคนก็วิ่งตามออกมาด้วยสีหน้าไม่ดีไปตามๆ กัน
“พวกเจ้าใครก็ได้เข้าไปตรวจดูสิ” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ออกคำสั่ง
เจ้าหน้าที่ทางการสามคนมองหน้ากันไปมา ไม่มีคนใดปริปาก
“ใต้เท้าทั้งหลายสั่งกำชับไว้แล้วว่าจะปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยหลุดรอดไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว”
เจ้าหน้าที่ทางการสามคนแอบเบะปาก
ถ้าปล่อยให้หลุดรอดไปไม่ได้ เจ้าก็ไปเองสิ โรคที่ติดแล้วอาจถึงตายได้พรรค์นี้ ใครจะเต็มใจไปเสี่ยงเล่า
พวกเขาต่างตกลงใจแน่วแน่ไม่ปริปาก หัวหน้าเจ้าหน้าที่ยกนิ้วชี้ “เอ้อร์หู่ เจ้าไปแล้วกัน”
เจ้าหน้าที่คนที่โดนขานชื่อทำหน้าตะลึงงัน “หัวหน้า ข้าๆๆ…”
“เจ้าๆๆ อะไร รีบไปสิ!”
แม้ว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นมีนามว่า ‘เอ้อร์หู่’* แต่เรือนกายกลับผอมแห้งดุจไก่ป่วย ท่ามกลางสายตาของหัวหน้ากับเจ้าหน้าที่ทางการอีกสองคนที่จับจ้องมองอยู่ เขาทำหน้าม่อยพยักหน้าในที่สุด “ข้าไปเอง”
เจ้าหน้าที่ทางการผู้นั้นออกเดินพลางมองเหลียวหลังเป็นระยะ สุดท้ายเผยสีหน้าไม่พรั่นพรึงต่อความตาย ก้าวเท้าเข้าไปอย่างเด็ดเดี่ยว
เฉียวเจาตามเข้าไปเงียบๆ นางหยุดยืนที่ข้างเตียงแล้วเอ่ยถาม “ใต้เท้า ท่านอยากตรวจดูอะไรขอรับ โปรดเบามือสักหน่อย ร่างกายท่านพ่อข้าทนไม่ไหว”
แพขนตาของเซ่าหมิงยวนที่หลับตาแกล้งนอนอยู่สั่นระริกเบาๆ
เจ้าหน้าที่ทางการแสดงสีหน้ารังเกียจ เขายกมือปิดปากพลางบอก “ถกชายเสื้อเขาขึ้น”
เฉินกวงยืนอยู่หน้าประตูหายใจไม่ทั่วท้องทันใด ใจเขาเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ
ฝ่ายเฉียวเจากลับมีสีหน้าเป็นปกติ ถกชายเสื้อเซ่าหมิงยวนขึ้นตามคำบอกของเจ้าหน้าที่ทางการ
เขาชำเลืองมองแวบเดียว เห็นตรงท้องน้อยของบุรุษที่นอนป่วยบนเตียงไม่มีรอยแผลจากมีดใดๆ ก็ไม่แม้แต่คิดจะดูซ้ำอีกครั้งจึงถอยออกจากห้องไปอย่างลุกลี้ลุกลน เขาสั่นศีรษะพลางกล่าวว่า “หัวหน้า ไม่ใช่คนผู้นั้นขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ถ่มน้ำลายลงพื้น “อัปมงคลจริงๆ”
* หู่ หมายถึงเสือ