หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 502
บทที่ 502
ท้ายที่สุดภายในลานเรือนเล็กๆ ก็กลับคืนสู่ความสงบ
เฉินกวงทิ้งตัวพิงกำแพงลูบอกพลางพูด “หวุดหวิดๆ”
เขาเดินลิ่วๆ ไปหาเซ่าหมิงยวน ถกชายเสื้อขึ้นเพ่งมองตรงท้องน้อยของผู้เป็นนายโดยไม่ละสายตา
เซ่าหมิงยวนลืมตาขึ้นยกมือฟาดเขาทีหนึ่ง “ดูอะไร”
เฉินกวงยื่นมือไปลูบท้องน้อยของท่านแม่ทัพอย่างห้ามใจไม่อยู่
ผู้เป็นท่านแม่ทัพหน้าบึ้งตึงทันใด “เฉินกวง เจ้ากินอิ่มเกินไปแล้วใช่หรือไม่”
หนอย บังอาจลูบหน้าท้องข้า!
“คุณหนูสาม ท่านใช้อะไรปิดบังบาดแผลของท่านแม่ทัพไว้หรือขอรับ”
เฉียวเจาสาวเท้าเข้าไปดึงบางอย่างเป็นแผ่นบางๆ ตรงหน้าท้องของชายหนุ่มออก เผยให้เห็นรอยแผลที่ตกสะเก็ดแล้ว
เฉินกวงมองอย่างพินิจแล้วอัศจรรย์ใจยกใหญ่อย่างช่วยไม่ได้ “กระดาษแผ่นหนึ่ง?”
เขามองดูกระดาษที่มีสีสันใกล้เคียงกับผิวกายตรงส่วนท้องของเซ่าหมิงยวน ทั้งยังมีลวดลายของเนื้อหนังที่เป็นธรรมชาติแล้วสีหน้าก็ฉายแววตะลึงพรึงเพริด “นี่ก็เป็นท่านวาดออกมาเช่นกันหรือขอรับ”
เฉียวเจาขยำกระดาษทิ้งลงกระโถนบ้วนน้ำลาย ตอนนี้จิตใจที่เขม็งเกลียวถึงผ่อนคลายลง มุมปากนางปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ข้าวาดเอง แต่ถ้าดูให้ดีๆ ก็มองออกได้นะ”
เฉินกวงตบหน้าผากตนเองอย่างหวาดผวา “หวุดหวิดไปๆ เคราะห์ดีที่เจ้าหน้าที่ทางการผู้นั้นกลัวติดโรค มองผ่านๆ แวบเดียวก็ออกไปแล้ว คุณหนูสาม ท่านฉลาดจริงๆ ข้าเป็นห่วงอยู่ตลอดว่าจะตบตาไม่สำเร็จ”
กระนั้นถึงจะความแตกเขาย่อมจัดการเจ้าหน้าที่ทางการสี่คนนั้นได้ แต่ก็จะยุ่งยากในภายหลัง
องครักษ์น้อยยิ่งคิดยิ่งหวาดผวา เขากล่าวอย่างทึ่งๆ “พวกเราโชคดีอีกด้วยขอรับ เจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นไม่เอาไหนเลย ซ้ำคนที่เข้าไปตรวจดูในเรือนคนสุดท้ายยังเป็นคนที่ไม่เอาไหนที่สุดด้วย”
เฉียวเจาหัวเราะ “มิใช่พวกเขาไม่เอาไหนหรอก แค่เป็นธรรมดาของปุถุชนเท่านั้น หลายวันมานี้พวกเขาตรวจค้นไปทั่วทุกหนแห่งไม่หยุดหย่อนก็ไม่พบตัวเสียที ความจริงลึกๆ ในใจพวกเขาก็ไม่คิดว่าจะเจอพวกเราที่นี่ ประกอบกับในเรือนนี้มีคนป่วยที่ดูท่าทางจะแพร่โรคได้ ใครเล่าจะเต็มใจเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ในสถานการณ์ที่ไม่มีคนยอมเสี่ยง คนที่ถูกส่งออกมาก็ต้องเป็นคนอ่อนแอที่สุดในหมู่คนพวกนั้น แล้วคนประเภทนี้โดยมากจะมีนิสัยขี้ขลาดไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ดังนั้นแทบจะแน่ใจได้เลยว่าตอนเข้าไปตรวจดูเขาต้องทำแบบขอไปทีอยู่แล้ว”
นางพูดจบแล้วหรี่ตาลงลอบถอนใจเบาๆ
ความโชคดีในสายตาของคนอื่นๆ รอบข้างมักเกิดจากการทุ่มเทความคิดให้มากขึ้นก็เท่านั้นเอง
ได้ยินคำอธิบายของเฉียวเจาแล้วดวงตาของเฉินกวงยิ่งเป็นประกายมากขึ้น สุดท้ายเขาอดหันหน้าไปมองผู้เป็นนายที่นอนอยู่บนเตียงไม่ได้
เซ่าหมิงยวนชายตามองเขา พลางกล่าวเสียงเย็นๆ “มองอะไร”
“ไม่ได้มองอะไรขอรับ ท่านแม่ทัพพักผ่อนให้มากๆ เถอะ ข้าจะไปป้อนยาให้ผู้ตรวจการสิงแล้ว”
ถึงที่สุดแล้วเฉินกวงมิได้บอกความคิดในใจออกมา เขาโคลงศีรษะเดินถอนใจเฮือกๆ ออกไป
คุณหนูสามฉลาดถึงเพียงนี้ ข้าสามารถทำนายชะตาชีวิตอันน่าเศร้าในอนาคตของท่านแม่ทัพได้แล้วว่า ขอเพียงพูดโกหกก็ต้องลงเอยด้วยการถูกจับได้อย่างหนีไม่พ้น!
เฮ้อ…ความเป็นจริงที่โหดร้ายเฉกนี้ ข้าอย่าพูดออกมาให้ท่านแม่ทัพต้องสะเทือนใจจะดีกว่า แต่กลับต้องซื้อกระดานซักผ้าเตรียมไว้หลายๆ แผ่น รอมอบเป็นของขวัญอวยพรให้ท่านแม่ทัพในวันพิธีมงคลต่างหาก
พอเฉินกวงออกไปเฉียวเจาพลันรู้สึกละม้ายว่าภายในห้องไม่มีเสียงเป็ดนับร้อยตัวร้องดังระงมอีก นางส่งยิ้มละไมให้ชายหนุ่ม “ยังดีที่ผ่านด่านนี้ไปได้”
อันว่าแผนการอยู่ที่คน ผลสำเร็จอยู่ที่ฟ้า อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ ‘หนึ่งในหมื่น’ นั่นด้วย
เซ่าหมิงยวนมองนางด้วยสายตาที่ปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก
เฉียวเจาเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”
เขาเม้มเรียวปากบางแน่น “เจาเจา เมื่อครู่เจ้าเรียกขานคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ได้คล่องปากยิ่งนัก”
ตอนนั้นเขาหลับตาฟังเสียงอยู่ยังรู้สึกว่าตนมีบุตรสาวที่โตถึงเพียงนี้ผู้หนึ่งจริงๆ
ความคิดนี้ชวนให้ไม่สบอารมณ์ดีแท้ เขาอายุมากกว่าเจาเจาเพียงไม่กี่ปี ไฉนปลอมตัวเป็นพี่ใหญ่ของนางไม่ได้ จำเพาะต้องอ้างเป็นบิดาเล่า หรือส่วนลึกในใจของเจาเจารู้สึกว่าเขาอายุมากเกินไป
เฉียวเจามองค้อนเขาอย่างระอาใจ “เรื่องนี้ท่านก็ต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วยหรือ ครอบครัวมีปู่พ่อลูกสามรุ่นไม่เหมาะสมกว่าหรือไร”
เขาเพ่งมองนางนิ่งๆ แล้วหัวเราะออกมาในที่สุด “เจ้าไม่ติงว่าข้าอายุมากก็ดีแล้ว”
แม่นางเฉียวมองคนบางคนด้วยสายตาที่เหมือนมองคนปัญญาอ่อน “เซ่าหมิงยวน ท่านอย่าลืมว่าพวกเราอายุเท่ากัน”
หรือเขานึกว่านางอยากกลายเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ย่างวัยสิบสี่กันเล่า
เขาอมยิ้มพยักหน้า “ใช่ พวกเราอายุเท่ากัน”
“พรุ่งนี้ท่านแช่ตัวในน้ำสมุนไพรอีกครั้งอาการไข้ป่าก็จะหายสนิท ส่วนร่างกายของผู้ตรวจการสิงแข็งแรงขึ้นมากหลังจากได้ฟื้นฟูบำรุงมาหลายวัน แล้วพวกเราจะออกจากเมืองเมื่อไร”
ได้ยินนางถามเรื่องนี้เซ่าหมิงยวนนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “หลังเจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นตรวจค้นไปแล้ว ที่นี่อยู่ได้อย่างปลอดภัยชั่วคราว พรุ่งนี้ให้เฉินกวงออกไปดูลาดเลาก่อนค่อยว่ากันอีกที หากสถานการณ์ยังดีอยู่ มิสู้ออกจากเมืองช้าสักหน่อย ประการแรกเพื่อให้ร่างกายของผู้ตรวจการสิงแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ประการที่สองเวลาผ่านไปยิ่งนาน การตรวจตราที่ประตูเมืองก็จะยิ่งหละหลวม”
ตอนนี้เองเฉินกวงเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสาม ผู้ตรวจการสิงฟื้นแล้วขอรับ”
หลายวันมานี้ผู้ตรวจการสิงนอนสลบไสลเรื่อยมา หาใช่ว่าร่างกายเขาอ่อนแอจนถึงขั้นไม่ได้สติ หากแต่เป็นเฉียวเจาตั้งใจปรุงยาให้เขา เพราะการนอนหลับคือยาบำรุงขนานเอก
ถึงกระนั้นแน่นอนว่าไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องยึดถือความพอดีเป็นที่ตั้ง ผู้ตรวจการสิงนอนหลับรวดเดียวนานหลายวันก็สมควรแก่เวลาที่จะตื่นได้แล้ว
เซ่าหมิงยวนลุกลงจากเตียง “ไปเถอะ พวกเราไปพบผู้ตรวจการสิงด้วยกัน”
“ท่านไม่ไปล้างหน้าหรือ” เฉียวเจาเอ่ยเตือน
เขาชะงักฝีเท้าเล็กน้อยแล้วส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร”
มิใช่จะไปพบใต้เท้าหลีบิดาในตอนนี้ของเจาเจาเสียหน่อย เขาดูสูงวัยไปสักนิดจะเป็นไรไป
“ท่านแม่ทัพ ข้าพยุงท่านนะขอรับ”
เขาไม่ได้ปฏิเสธ ยอมให้เฉินกวงประคองเดินออกไปแต่โดยดี
ผู้ตรวจการสิงเพิ่งฟื้นสติ สีหน้าแววตายังดูงุนงงอยู่บ้าง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าก็กลอกตาไปมาพลางเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “พวกเจ้าเป็นใคร”
เซ่าหมิงยวนเดินเข้าไปแล้วบอกอย่างตรงไปตรงมา “ข้าคือแม่ทัพเป่ยเจิงกวนจวินโหว สองสามวันก่อนข้าช่วยใต้เท้าสิงออกมาจากจวนผู้ตรวจการ บัดนี้พวกเรายังอยู่ที่เรือนชาวบ้านในเมืองฝูซิง”
ผู้ตรวจการสิงพินิจดูเขา ถึงน้ำเสียงจะอ่อนระโหยแต่สายตาแจ่มใสแล้ว “แม่ทัพเป่ยเจิงกวนจวินโหว? หลานเขยของอาจารย์เฉียวจัวผู้โด่งดังทั่วหล้า?”
“เป็นข้าเอง” มุมปากของเซ่าหมิงยวนยกโค้งขึ้นอย่างสุดระงับ เขาเหลือบตามองเฉียวเจาแวบหนึ่งอย่างฉับไว
หลานเขยของอาจารย์เฉียวจัวหรือ คำเรียกขานนี้ฟังรื่นหูจริงๆ
ผู้ตรวจการสิงจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็งอย่างไม่วางตา พลันนั้นเขาทำหน้าบึ้งพร้อมกับพูดเยาะๆ “อย่ามาหลอกลวงข้า เจ้ามิใช่กวนจวินโหว!”
“เหตุใดข้าไม่ใช่กวนจวินโหว” เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไป
ผู้ตรวจการสิงแค่นเสียงกล่าว “พวกเจ้าช่างต่ำช้าเหลือเกิน พอถามเบาะแสของสมุดบัญชีอีกเล่มหนึ่งไม่ได้ถึงกับหาคนปลอมตัวเป็นกวนจวินโหวมาล้วงถามจากปากข้า ข้าเคยเห็นหลานสาวของอาจารย์เฉียวมาก่อน กวนจวินโหวรุ่นราวคราวเดียวกับนาง ยามนี้อย่างมากก็อายุยี่สิบเศษ จะมีสารรูปเยี่ยงเจ้าได้เช่นไร”
กล่าวถึงตรงนี้น้ำเสียงของผู้ตรวจการสิงแฝงรอยเย้ยหยันดูแคลน “ถ้าเจ้าเป็นหลานเขยของอาจารย์เฉียว ใครๆ คงติงว่าแก่ชราเกินไป”
เซ่าหมิงยวนเพียงรู้สึกเหมือนโดนลูกธนูเสียบกลางอก เขาอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
เฉียวเจาหยิบคันฉ่องบานเล็กๆ จากอกเสื้อยื่นไปตรงหน้าผู้ตรวจการสิง “ใต้เท้าสิงอย่าได้มีน้ำโห ท่านส่องคันฉ่องแล้วจะเข้าใจเองเจ้าค่ะ”
เขามองไปที่คันฉ่องแล้วนิ่งงันไปอย่างห้ามไม่อยู่
ในคันฉ่องปรากฏเงาสะท้อนของชายชราแปลกหน้าเรือนผมขาวโพลนผู้หนึ่ง ถึงจะเห็นเค้าหน้าคุ้นตาได้รางๆ แต่ขณะนี้เขายังอายุไม่ถึงสี่สิบนะ
กระนั้นผู้ตรวจการสิงซึ่งเป็นผู้รวบรวมหลักฐานพวกนั้นโดยที่ไม่มีใครรู้เห็นได้ ย่อมเป็นคนสุขุมรอบคอบอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดตามทันในเวลาอันสั้น “แปลงโฉม?”