หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 507
บทที่ 507
ยามแสงสนธยาทาทาบผิวน้ำ เฉินกวงตั้งเตาไฟเล็กๆ ต้มน้ำแกงปลาอยู่ท้ายเรือ
“คนที่มาเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน” ผู้ตรวจการสิงเดินลอดออกจากท้องเรือมายืนอยู่ข้างๆ เฉินกวงแล้วไต่ถามขึ้น
เฉินกวงมองไปทางเฉียวเจา
การสวมหน้ากากหนังมนุษย์ไว้นานๆ ทำให้อึดอัดไม่สบายตัว เฉียวเจาเลยลอกมันออกเผยรูปโฉมแท้จริง “เขาเป็นคนของกององครักษ์จินหลินเจ้าค่ะ”
นับแต่เห็นว่าเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสนิทสนมกันผิดสามัญ อีกทั้งรู้ว่านางเป็นสตรี ผู้ตรวจการสิงเริ่มวางตัวห่างเหินกับนางอย่างเห็นได้ชัด เขาได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยก่อนจะแค่นเสียงกล่าว “สุนัขจิ้งจอกเทือกเดียวกัน!” ว่าแล้วก็เดินเอามือไพล่หลังเข้าไปข้างใน
เฉียวเจาไม่ว่ากระไร ก้มหน้าเพ่งสายตามองน้ำแกงปลาที่เดือดปุดๆ ในหม้อพลางขบคิดถึงจุดประสงค์ของเจียงหย่วนเฉา
เขาจะพาตัวผู้ตรวจการสิงไป เป็นความประสงค์ของกององครักษ์จินหลิน หรือความต้องการของเขาเอง
ถ้าเป็นความประสงค์ของกององครักษ์จินหลิน เจียงถังหมายจะใช้ผู้ตรวจการสิงโค่นล้มหลันซาน หรือว่าจะขัดขวางไม่ให้ผู้ตรวจการสิงเข้าเมืองหลวงเพื่อแสดงไมตรีต่อหลันซานนะ
แต่ถ้าเป็นความต้องการของเขาเอง นั่นก็น่าฉงนใจยิ่งขึ้น นางคิดไม่ออกว่าเขาทำอย่างนี้มีประโยชน์อันใด
“คุณหนูสาม…”
เฉียวเจาหยุดความคิดในหัว ช้อนตาขึ้นมองเฉินกวง
“ดื่มน้ำแกงปลาขอรับ” เขายื่นน้ำแกงปลาส่งควันกรุ่นๆ ชามหนึ่งมาให้พร้อมรอยยิ้ม
นางดื่มคำหนึ่งแล้วทำหน้าเบ้น้อยๆ
“คุณหนูสาม อร่อยหรือไม่ขอรับ” เฉินกวงทำสีหน้าเป็นเชิงทวงคำชม
“เจ้ายกไปให้ผู้ตรวจการสิงดื่มหรือยัง” เฉียวเจาถามด้วยสีหน้าเป็นปกติ
เฉินกวงฉีกปากยิ้ม “ยังขอรับ นี่ข้าต้มปลาเป็นหนแรก อยากให้ท่านช่วยติชมด้วย”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริกๆ ที่แท้อยากให้นางช่วยติชมหรือ นางยังนึกว่าเขาฉวยโอกาสเอาคืนเสียอีก
“คุณหนูสาม?”
เฉียวเจามองเขาอย่างพินิจก่อนกล่าวทอดถอนใจ “ข้าไม่มีความเห็นอื่นใด แต่คราวหน้าจะขอดเกล็ดปลาออกได้หรือไม่”
เฉินกวงอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นตีศีรษะตนเองทีหนึ่งเป็นเชิงแจ่มแจ้งในบัดดล “ข้าว่าแล้วเชียวว่าลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง ที่แท้ลืมขอดเกล็ดนั่นเอง”
เขากล่าวจบแล้วทำหน้าม่อยพลางชำเลืองมองไปทางท้องเรืออย่างยุ่งยากใจ
เฉียวเจาพูดเรียบๆ “ยกเข้าไปเถอะ เกล็ดปลาบำรุงสุขภาพได้”
เฉินกวงถึงระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งพลางยกน้ำแกงปลาไปให้ผู้ตรวจการสิง
ลำน้ำยามรัตติกาลหนาวเหน็บมากขึ้น กระทั่งดวงดาวเต็มผืนนภายังเปล่งประกายเย็นยะเยือก ตอนอาหารเย็นเฉินกวงดื่มน้ำแกงปลาไปมาก ถึงกลางดึกเขาก็เดินลอดออกจากท้องเรือมาจัดการธุระส่วนตัว
เขาเพิ่งคลายสายคาดเอวออก จู่ๆ รู้สึกได้ว่าไม่ค่อยชอบมาพากลจึงรีบรัดสายคาดเอวดังเดิมแล้วกลับเข้าไปข้างในเรือ
เฉียวเจาที่สะลึมสะลือได้ยินเสียงปลุกอย่างเร่งเร้าของเฉินกวง “คุณหนูสาม ตื่นเร็วเข้าขอรับ”
นางลุกพรวดขึ้นนั่ง เดิมทีนางเข้านอนทั้งอาภรณ์ชุดเดิมอยู่แล้ว ขณะนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น นางก้าวฉับๆ ออกไปทันทีแล้วถามเสียงเบา “มีอะไรหรือ”
“ท่านดูข้างหน้าโน่นสิขอรับ” เฉินกวงเอ่ยบอก
นางอาศัยแสงจันทร์สุกสกาวกับแสงดาวเกลื่อนฟ้าแลมองไปทางเบื้องหน้า
เหนือพื้นน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาในม่านราตรี เรือเล็กหลายลำเคลื่อนตัวเข้ามาหาพวกนางอย่างเงียบเชียบดุจสัตว์ป่าอันตราย
เรือเหล่านั้นล้วนมีขนาดไม่ใหญ่เริ่มกระจายตัวกันเป็นวงโอบล้อมไว้สกัดกั้นทิศทางที่เรือของพวกเฉียวเจาจะหลบหนีได้
“คุณหนูสาม เรือพวกนั้นน่าจะมุ่งหน้ามาหาพวกเรา” สุ้มเสียงของเฉินกวงแข็งกร้าว เขาลอบกำมือเป็นหมัดแน่น
“หรือว่าเป็นคนของเจียงหย่วนเฉา” เฉียวเจานึกถึงเจียงหย่วนเฉาเป็นคนแรก
“ไม่กระมังขอรับ เจียงหย่วนเฉาถูกท่านทำร้ายไปแล้ว ยังตามอยู่ข้างหลังพวกเราชัดๆ” เฉินกวงเพ่งสายตามองเรือที่เข้ามาใกล้ขึ้นๆ แล้วทำสีหน้าดุดัน “จะเป็นใครก็ช่าง แต่ต้องมาหาเรื่องพวกเราเป็นแน่”
เขาก้มหน้ามองเฉียวเจานิ่งๆ พร้อมกับพูดอย่างขึงขัง “คุณหนูสาม ข้าไม่รู้ว่าวันนี้ยังจะคุ้มครองท่านให้หนีรอดไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ แต่ท่านวางใจได้ ถ้าพวกนั้นคิดจะทำร้ายท่าน ต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
“เป้าหมายของพวกเขามิใช่ข้า ทว่าเป็นผู้ตรวจการสิง”
เฉินกวงคิดถึงคำสั่งกำชับของเซ่าหมิงยวน เขาพูดเสียงห้วนว่า “เช่นนั้นก็มอบผู้ตรวจการสิงให้พวกเขา”
สำหรับท่านแม่ทัพแล้ว ผู้ตรวจการสิงร้อยคนก็ไม่สำคัญเท่ากับคุณหนูสามคนเดียว
ผู้ตรวจการสิงตกอยู่ในมือคนอื่นอย่างมากการเดินทางมาคราวนี้ก็เสียแรงเปล่าเท่านั้น แต่ถ้าคุณหนูสามมีอันเป็นไป นั่นต่างหากที่เอาชีวิตของท่านแม่ทัพได้
เฉินกวงกระจ่างแจ้งในจุดนี้ดีและจดจำคำสั่งกำชับของเซ่าหมิงยวนได้แม่นยำ สีหน้าเขาทอแววเด็ดเดี่ยว
“เทียบฝั่ง” เฉียวเจากล่าวเสียงกระด้าง
เฉินกวงนิ่งขึงไป “คุณหนูสาม?”
“ข้าบอกให้เทียบฝั่ง” เฉียวเจาชี้เยื้องๆ ไปทางเบื้องหลัง ดวงตาของนางเปล่งประกายวาววามกลางความมืดมิด “ทางนั้นเป็นป่า พวกเราสละเรือเข้าไปซ่อนตัวในนั้น อาจจะหนีพ้นก็ได้”
ไม่ดิ้นรนถึงเฮือกสุดท้าย นางไม่มีวันยอมรับชะตากรรมหรอก
ทันทีที่โดนปิดล้อมทุกด้าน หากทั้งสามอยู่กลางน้ำก็จะจนมุมหมดทางหนีได้แต่นั่งรอให้จับแล้ว แต่หากไปที่ป่าทึบในเวลาค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้อาจหาที่เหมาะๆ หลบซ่อนจนหนีรอดจากคนพวกนั้นก็เป็นได้
เฉินกวงชั่งใจเล็กน้อยก็พยักหน้า “ได้ คุณหนูสามรอสักครู่ ข้าไปตามผู้ตรวจการสิง”
เฉียวเจาใช้เวลาระหว่างที่เขาไปเรียกผู้ตรวจการสิงรีบเร่งหยิบห่อผ้าที่วางไว้ข้างหมอนมา นางนิ่งคิดแล้วเอาคันธนูเล็กกะทัดรัดคันนั้นออกมาสะพายหลังแล้วยังลูบๆ มีดสั้นในอกเสื้อถึงอุ่นใจขึ้นบ้าง จากนั้นสาวเท้าเร็วรี่ออกไป
พวกนางสละเรือขึ้นฝั่งแล้วหนีเข้าไปในป่า
ร่างกายของผู้ตรวจการสิงยังไม่แข็งแรงเป็นปกติ ซ้ำถูกปลุกให้ตื่นกลางดึก ใบหน้าเขาซีดขาวราวกระดาษ วิ่งตามเฉียวเจากับเฉินกวงไปครู่เดียวก็เริ่มหอบหายใจแฮกๆ
เฉินกวงหยุดฝีเท้า ภายในป่าที่มืดสนิทดุจน้ำหมึกเพียงได้ยินเสียงของเขาที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “เช่นนี้ไม่ได้”
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน จู่ๆ ก็ใช้มือข้างเดียวอุ้มผู้ตรวจการสิงแล้วกระโจนตัวขึ้นก่อนใช้มืออีกข้างหนึ่งจับกิ่งไม้หนาๆ ไว้แน่น จากนั้นปีนป่ายขึ้นไปละม้ายวานรที่ว่องไวปราดเปรียวตัวหนึ่ง
เฉียวเจาแหงนคอมอง ใต้แสงดาวริบหรี่นางเห็นคนทั้งคู่ลับร่างไปในยอดไม้หนาทึบอย่างรวดเร็ว
อึดใจต่อมาเงาร่างบึกบึนล่ำสันสายหนึ่งทิ้งตัวลงมาจากกลางหาว เหยียบลงบนพื้นดินแน่นแข็งที่ปูลาดด้วยใบไม้ร่วงกลาดเกลื่อนจนนุ่มหยุ่นขึ้น บังเกิดเสียงเพียงแผ่วเบาเท่านั้น
“คุณหนูสาม ล่วงเกินแล้ว” เฉินกวงยื่นมือไปจับตัวเฉียวเจา
นางยุดมือเขาไว้ “ไม่ใช่ตรงนี้ พวกเราไปข้างหน้าต่อ”
ทั้งสองวิ่งต่อไปอีกระยะหนึ่ง เฉินกวงถึงอุ้มนางขึ้นไปวางบนคาคบไม้สูงๆ
“คุณหนูสาม ท่านอยู่ตรงนี้เฉยๆ อย่าไปที่ใดนะขอรับ รอข้ากำจัดคนพวกนั้นได้แล้วจะมารับท่าน” เฉินกวงพูดกำชับคำหนึ่งอย่างไม่วางใจ
พอเห็นเขาจะกระโดดลงจากต้นไม้ เฉียวเจารีบพูดขึ้น “เฉินกวง อย่าฝืนตนเองนะ…”
เฉินกวงโบกมือไปมา “คุณหนูสามสบายใจเถอะขอรับ ข้ายังไม่ได้ตบแต่งภรรยาเลย ข้าจะทะนุถนอมชีวิตเอาไว้”
เขาพูดจบแล้วกระโดดลงไปอย่างคล่องแคล่วประเปรียว จากนั้นก้าวขาวิ่งย้อนกลับไป
ใบไม้รกทึบบดบังสายตาของเฉียวเจาไว้ นางแหวกกิ่งไม้ออก เบิกตากว้างๆ มองไปยังทิศทางที่เฉินกวงจากไป แต่น่าเสียดายที่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น