หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 508
บทที่ 508
มีคนทั้งหมดราวหกเจ็ดคนทยอยขึ้นฝั่งมาสมทบกัน
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “พวกนั้นวิ่งเข้าป่าไปแล้ว ไปเถอะ!”
พวกเขาเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
“สามคนนั้นน่าจะไปได้ไม่ไกล…” เขายังพูดไม่จบก็ร้องโหยหวนเสียงดังลั่น ทำให้ฝูงนกในห้วงนิทรานับไม่ถ้วนตื่นตกใจบินหนีไป
คนผู้นั้นมีมีดบินเล่มหนึ่งปักมิดคาอก เหลือเพียงพู่ห้อยสีแดงตรงปลายด้าม
“ทางนั้น!” หนึ่งในนั้นชี้บอกตำแหน่งที่เฉินกวงเร้นกายอยู่ได้จากทิศทางที่มีดบินพุ่งมา
คนกลุ่มนี้หาใช่มือชั้นสามัญ นอกจากเจ้าคนดวงตกที่ต้องจบชีวิตลงด้วยมีดบินตั้งแต่ต้นเพราะไม่ทันตั้งตัว ตอนคนที่เหลือพุ่งทะยานไปยังทิศทางที่เฉินกวงอยู่ล้วนเริ่มวิ่งแบบสลับฟันปลา
ดวงตาของเฉินกวงซึ่งซ่อนอยู่ในที่ลับทอแววเคร่งเครียด
คนกลุ่มนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดา!
ยามบุกโจมตีในสนามรบ ท่านแม่ทัพเคยสอนพวกเขาว่าจะวิ่งตรงไปข้างหน้าตลอดไม่ได้ เช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับเป็นเป้านิ่ง จะต้องเคลื่อนกายไปทางซ้ายทีขวาทีโดยไร้แบบแผน ศัตรูที่ถือคันธนูหอกยาวอยู่ในที่ลับถึงยากจะเล็งใส่พวกเขาได้
เจ้าพวกนี้ถึงกับมีทักษะเหล่านี้ เห็นได้ว่ามิใช่โจรป่าเร่ร่อนอันใดอย่างเด็ดขาด
เฉินกวงกำมีดบินในมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดจางๆ เขาไม่รู้ว่าฝีมือของคนพวกนี้เป็นอย่างไร ทว่าตอนนี้มีเขาเพียงคนเดียว ส่วนอีกฝ่ายมีกันหกคน เขาไม่กล้าผลีผลามเข้าปะทะซึ่งๆ หน้า
เสียงพูดของเซ่าหมิงยวนดังขึ้นในหัวเฉินกวง
‘เวลาฝ่ายศัตรูมีกำลังมากกว่า อย่าได้หวาดกลัวไปเองก่อนเพราะอีกฝ่ายได้เปรียบ จะทำให้สถานการณ์ที่ตกเป็นรองอยู่แล้วส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเจ้า จงรวมพลังทั้งหมดกำจัดศัตรูทีละคน เมื่อฝ่ายตรงข้ามน้อยลงหนึ่งคน ฝ่ายเราก็จะแข็งแกร่งขึ้นหนึ่งส่วน เข้าตำราที่ว่าฝ่ายหนึ่งอ่อนแอลง อีกฝ่ายย่อมเข้มแข็งขึ้น ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์’
“หกคน…” เฉินกวงพูดพึมพำ เขาหลบอยู่ที่เดิมนิ่งๆ โดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
เขารู้ว่าคนพวกนั้นจะต้องมาถึงจุดที่เขาอยู่ในไม่ช้า ทว่าเขาขยับไม่ได้
เฉินกวงจับจ้องหนึ่งในหกคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เมื่อคนผู้นั้นเข้ามาใกล้ขึ้นๆ เขาก็จับแบบแผนการเคลื่อนกายสลับทิศทางไปมาของคนผู้นั้นได้ทีละน้อย
ซ้ายสองขวาสาม ช่วงเว้นจังหวะ…
เฉินกวงทบทวนอยู่ในใจรอบหนึ่งก่อนซัดมีดบินที่กำอยู่ในมือตลอดออกไปอย่างเฉียบขาด
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น มีดบินเสียบเข้ากลางอกเขาอย่างแม่นยำ
คนผู้นั้นล้มหน้าคว่ำจนเกือบซบลงแทบเท้าเฉินกวง
ยังเหลืออีกห้าคน!
ขณะความคิดผุดขึ้นในหัวสมอง เขาพลันกระถดตัวถอยไปหลบอยู่ข้างหลัง
“อยู่ตรงนี้!” ห้าคนที่เหลือเข้าไปล้อมไว้ทันที
ในป่าเงียบสงัดเฉียวเจาซึ่งซ่อนอยู่บนต้นไม้ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกัน รวมถึงเสียงหัวใจเต้นของตนเองอย่างชัดเจน
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดคุ้นหูดังลอยมา เฉียวเจากำมือที่จับกิ่งไม้ไว้จนแน่นสุดแรง
เฉินกวงได้รับบาดเจ็บแล้ว!
เสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวายดังตามมาในเวลาอันสั้น เฉินกวงวิ่งอยู่ข้างหน้าด้วยฝีเท้าซวนเซ มีคนสามคนไล่ตามหลังมา
สายตาของเฉียวเจาชินกับความมืดแล้ว นางแหวกกิ่งไม้ก้มลงมองไปเบื้องล่าง เห็นหัวไหล่เปื้อนเลือดของเฉินกวงได้รำไร สามคนที่อยู่ข้างหลังเขามีสีหน้าเฉยเมย กำลังวิ่งไล่กวดมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
จังหวะนี้เองเกิดเรื่องคาดไม่ถึงกะทันหัน เท้าของเฉินกวงสะดุดเถาวัลย์จนล้มถลาไปข้างหน้า
ดาบยาวเล่มหนึ่งฟันใส่จากด้านหลัง
เฉินกวงซึ่งล้มอยู่บนพื้นกลิ้งตัวหลบการโจมตีไปได้
สามคนนั้นถือดาบยาวเปล่งประกายเย็นเยียบในมือเดินย่างสามขุมเข้าไป
เฉินกวงยันตัวขึ้นถอยหลังไปทีละน้อยทีละนิดอย่างยากลำบาก
“เจ้าหนุ่มตัวเหม็น สังหารพี่น้องพวกข้าไปสี่คน วันนี้ข้าต้องสับเจ้าให้เป็นหมื่นๆ ชิ้นให้จงได้” คนหนึ่งเงื้อดาบยาวขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยม
อีกคนหนึ่งยกมือห้ามแล้วเอ่ยถามเสียงกระด้าง “พรรคพวกของเจ้าอยู่ที่ใด”
เฉินกวงรู้ว่าหมดทางหนีได้แล้ว เขาเลยนั่งอยู่บนพื้นเพื่อฟื้นฟูเรี่ยวแรงเงียบๆ โดนสามคนนั้นเค้นถามก็ไม่ปริปากสักคำ
“ไม่พูดหรือ” คนที่เอ่ยถามเงื้อดาบยาวแทงตรงไปที่หัวไหล่เขา
เฉินกวงกัดริมฝีปากเต็มแรง ไม่เปล่งเสียงสักแอะ
“เหอะ เป็นพวกใจเด็ดดีแท้”
เฉินกวงแค่นเสียงเยาะ “พวกเจ้าแน่จริงก็สังหารข้าเสีย หยุดพูดพล่ามเสียที ถึงอย่างไรมีพวกพ้องของพวกเจ้าสี่คนคอยปรนนิบัติข้าอยู่ในปรโลก ถึงข้าตายก็ไม่ขาดทุนแล้ว”
“เจ้านึกว่าพวกข้าไม่กล้าลงมือหรือ”
เฉินกวงฉีกเสื้อตนเองจนขาดวิ่นเผยให้เห็นแผงอกกำยำ เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “มาเลย แทงมาตรงนี้เลย แค่แทงหัวไหล่จะได้เรื่องอะไร”
เขาหัวร่อเสียงดัง หากหางตามีน้ำตาซึม
ท่านแม่ทัพ ข้าคงจะติดตามท่านต่อไปอีกมิได้แล้วนะขอรับ เพียงเจ็บใจอยู่บ้างที่ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือพวกชาวต๋าจื่อในสนามรบ กลับต้องมาม้วยมรณาในมือเจ้าคนบัดซบที่เผยตัวให้ใครรู้ไม่ได้พวกนี้!
“เจ้าหนุ่มตัวเหม็น เจ้านึกว่าเจ้าตายแล้วพวกข้าจะหาตัวพรรคพวกเจ้าไม่เจอหรือ สองคนนั้นคนหนึ่งแก่ชราคนหนึ่งอ่อนปวกเปียก จะหนีไปที่ใดได้”
เสียงหัวเราะของเฉินกวงชะงักกึก
คนที่กล่าววาจาเงื้อดาบขึ้นพร้อมกับแค่นเสียงเยาะ “อยากตายใช่หรือไม่ ข้าจะสงเคราะห์เจ้าประเดี๋ยวนี้เลย ให้เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนพี่น้องของข้าในปรโลก”
เฉินกวงมองคนผู้นั้นอย่างดูแคลน เขาถ่มน้ำลายทีหนึ่ง “เอาสิ เจ้าสุนัขเดรัจฉาน”
เขาหลับตาลงก็ได้ยินเสียงบางสิ่งพุ่งแหวกอากาศตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนฉับพลัน เขาลืมตาพรึบก็เห็นคนที่เงื้อดาบขึ้นมีสีหน้าพรั่นพรึงแกมงุนงง จากนั้นร่างโงนเงนล้มลง
สีหน้าของเฉินกวงเปลี่ยนไปถนัดตา
คุณหนูสาม!
อีกสองคนที่เหลือรอดอยู่ถึงตอนสุดท้ายได้ย่อมจะมีฝีมือดีกว่าคนอื่นอยู่แต่เดิม เมื่อคนผู้นั้นล้มลงก็จับทิศทางของธนูในที่ลับได้ทันควัน
“บนต้นไม้!”
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “เจ้าเฝ้าเจ้าหนุ่มนี่ไว้ ข้าจะไปดูบนต้นไม้”
เขาย่างเท้าจะเดินไปทางต้นไม้ใหญ่ที่เฉียวเจาซ่อนตัวอยู่ แต่กลับโดนเฉินกวงกอดขาไว้แน่น
“ปล่อยนะ”
เฉินกวงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่กอดแน่นขึ้น
คนผู้นั้นสะบัดขาสุดแรงจนตัวเฉินกวงกวัดแกว่งตามไปด้วย แต่เขาไม่คลายมือออกแม้สักนิด
คนผู้นั้นบันดาลโทสะในที่สุด ตวัดข้อมือฟันดาบใส่เฉินกวงทีหนึ่ง
เฉินกวงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะฟุบลงกับพื้นแน่นิ่งไป
เฉียวเจาที่หลบอยู่บนต้นไม้มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด น้ำตาของนางไหลรินลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง
คนผู้นั้นเตะเฉินกวง พูดเสียงเยาะหยัน “เจ้าหนุ่มนี่ไม่รอดแล้ว ไม่ต้องสนใจเขา ข้าจะไปดูบนต้นไม้ต้นนั้น ส่วนเจ้าไปตามหาว่าอีกคนซ่อนอยู่ที่ใด ข้าคะเนว่าเป็นบนต้นไม้บางต้นเช่นกัน”
“ได้!”
ทั้งสองแยกย้ายกันไปจับคน
เฉินกวงนอนคว่ำหน้าบนพื้นอย่างเงียบเชียบราวกับหลับสนิทอยู่
เฉียวเจาอยู่เฉยๆ มองคนผู้นั้นเกาะลำต้นของต้นไม้ปีนป่ายขึ้นมาคล้ายงูพิษตัวหนึ่งค่อยๆ เลื้อยมาใกล้
นางเอาคันธนูแขวนไว้บนกิ่งไม้ข้างหลังไกลออกไป รวบเส้นผมให้เข้าที่แล้วรอคอยคนผู้นั้นไต่ขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง
คนผู้นั้นมีบาดแผลจุดหนึ่งบนหัวไหล่เช่นกัน เกิดจากตอนรุมโจมตีเฉินกวงแล้วโดนเขาทำร้าย เป็นเหตุให้ปีนขึ้นต้นไม้ได้อย่างเชื่องช้าสักหน่อย
เขาปีนขึ้นมาถึงด้านบนในที่สุดก่อนจะแหวกกิ่งไม้หนาแน่นออกอย่างระมัดระวัง
ใต้แสงดาว มีดวงหน้าเล็กๆ ขาวเนียนดุจหยกของเด็กสาวโผล่ออกมา ดวงตากลมโตแวววาวที่จ้องมองเขาอย่างไม่วางตาคู่นั้นนิ่งสนิทประหนึ่งบึงน้ำลึก
ยามมองสบนัยน์ตากระจ่างใสคู่โต คนผู้นั้นอดนิ่งขึงไปไม่ได้
“พี่ใหญ่ ท่านมาช่วยข้าเสียที” เด็กสาวมองบุรุษที่อยู่ใกล้แค่คืบโดยไม่กะพริบตาพลางกล่าวเสียงเบาๆ
สายตาของบุรุษฉายรอยสับสนงุนงงพริบตาหนึ่ง เขาเอ่ยถามขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ “ช่วยเจ้า?”
“ใช่เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ลืมข้าไปแล้วหรือ” ในความมืดเสียงนุ่มเบาออดอ้อนของเด็กสาวอ่อนหวานอ้อยส้อยคลับคล้ายลำนำเพลงของแดนเจียงหนานที่ขับกล่อมผู้คนสู่นิทรารมณ์
ยามมองวงหน้างามดุจบุปผาของนาง บุรุษผู้นั้นเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ เขาเอ่ยถามเสียงงึมงำ “เจ้าเป็นใคร”
“ข้าคือน้องสาวพี่อย่างไรเล่า ตอนท่านจากไปบอกให้ข้าเป็นเด็กดีรอท่านอยู่ตรงนี้ ท่านจำไม่ได้สักนิดเลยหรือไร”
เมื่อน้ำเสียงอ่อนเบาเนิบช้าของเด็กสาวดังขึ้น บุรุษผู้นั้นดำดิ่งลงสู่ภวังค์ความทรงจำตามคำกล่าวของนางโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
น้องสาวของข้าหรือ
ข้าบอกให้น้องสาวรอข้าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ไฉนจำไม่ได้แล้วเล่า
น่าแปลกนัก ดูเหมือนข้าเคยกล่าวถ้อยคำนี้มาก่อน…
ความคิดของบุรุษผู้นั้นหยุดชะงักกลางคัน เขาก้มหน้ามองมีดสั้นที่ปักอยู่ตรงหน้าอกตนแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของเด็กสาวใต้แสงจันทร์ เขาถึงได้สติในที่สุด