หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 518
บทที่ 518
เฉียวเจามองตามแผ่นหลังที่จากไปของผู้ตรวจการสิงแล้วยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล
พ่อลูกได้กลับมาพบกัน แต่ท่าทีของผู้ตรวจการสิงออกจะเย็นชาไปบ้างหรือไม่
ครั้นคิดคำนึงถึงตรงนี้เฉียวเจาใจกระตุกวูบ รีบสาวเท้าเร็วรี่ย้อนกลับไปที่หน้าห้องจิ้งเหนียงแล้วเคาะประตูเบาๆ
ทว่าไม่มีเสียงตอบจากด้านใน
“พี่เจินเหนียง ท่านอยู่ในห้องหรือไม่!” นางตะโกนเรียก
ด้านในปราศจากสุ้มเสียงใดดังเก่า
เฉียวเจาเคาะประตูแรงขึ้น “พี่เจินเหนียง ข้าเข้าไปแล้วนะ”
นางไม่ลังเลอีกต่อไป ผลักประตูเปิดโดยพลัน
เสียงประตูเปิดอ้าออกดังเอี๊ยดอ๊าด เจินเหนียงผูกคอห้อยอยู่บนขื่อ เรือนกายผอมบางแกว่งไกวไปมาละม้ายกิ่งไหวต้องลม
“เจินเหนียง!” เฉียวเจาหน้าถอดสีไปถนัดตา นางวิ่งถลันเข้าไปกอดขาสองข้างของเจินเหนียง
นางมีเรี่ยวแรงน้อยจึงสุดปัญญาจะเอาตัวเจินเหนียงลงมา ได้แต่กอดขาของอีกฝ่ายไว้แน่นๆ พร้อมกับตะโกนเรียก “จิ้งเหนียงๆ…”
จิ้งเหนียงที่อยู่ด้านในของห้องได้ยินเสียงเอะอะก็เดินขยี้ตาออกมา พอเห็นเจินเหนียงแขวนคอกับขื่อก็เปล่งเสียงร้องสั้นๆ เสียงหนึ่งแล้วหมดสติไป
เฉียวเจาร้อนใจจนหลั่งเหงื่อดุจสายฝน นางฝืนรับน้ำหนักไว้ด้วยมือข้างเดียวเพื่อใช้มืออีกข้างหยิบขลุ่ยกระดูกตรงลำคอขึ้นมาเป่า
เสียงขลุ่ยกังวานใสดังทอดยาวออกไปทำให้เซ่าหมิงยวนหน้าเปลี่ยนสี เพียงอึดใจต่อมาเขาก็ทะยานกายมาถึง
“ถิงเฉวียน…” เฉียวเจากอดสองขาของเจินเหนียงไว้ด้วยใบหน้าซีดเผือด
ชายหนุ่มดึงมีดสั้นตรงเอวออกมาตัดเชือกจนขาดแล้วเอาตัวเจินเหนียงลงมาทันที นางรีบช่วยชีวิตเจินเหนียงทันใด
ในเวลาชั่วครู่นี้พวกฉือชั่นล้วนรุดมาถึง
ด้านผู้ตรวจการสิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นอกห้องมองดูอย่างไม่อินังขังขอบ
เจินเหนียงร้องครางเสียงหนึ่งแล้วฟื้นสติขึ้นมา
สีหน้าของเฉียวเจาทอแววยินดี “พี่เจินเหนียง ท่านฟื้นแล้วหรือ”
เจินเหนียงกะพริบตาปริบๆ นางกลอกตาเล็กน้อยแต่เมื่อเหลือบเห็นบิดาก็กระเด้งตัวขึ้นคล้ายโดนเข็มตำ ผลักเฉียวเจาออกแล้ววิ่งเอาศีรษะชนผนัง
หยางโฮ่วเฉิงมือไวตาไวคว้าตัวนางไว้ได้ เขากล่าวอย่างฉงนใจ “คุณหนูสิง จู่ๆ ท่านจะคิดสั้นฆ่าตัวตายด้วยเหตุใด”
“คุณชายหยาง ท่านปล่อยข้า…” เจินเหนียงเอามือปิดหน้าร่ำไห้กระซิกๆ
“เจ้าไม่เป็นไรนะ” เซ่าหมิงยวนกระซิบถามเฉียวเจา
“ข้าไม่เป็นไร” เฉียวเจาส่ายหน้า นางเห็นปิงลวี่กับอาจูมาถึงก็รีบสั่งกำชับ “ประคองคุณหนูสิงทั้งสองไปด้านใน”
จิ้งเหนียงยังสลบอยู่ ปิงลวี่แรงดี นางก้มตัวไปอุ้มจิ้งเหนียงขึ้น
ส่วนอาจูไปประคองเจินเหนียง แต่โดนอีกฝ่ายผลักออก
“พวกท่านไม่ต้องสนใจข้า เห็นท่านพ่อกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าหมดห่วงแล้ว สามารถจากไปได้อย่างสบายใจ…”
พอเห็นความปรารถนาที่จะตายอย่างแรงกล้าในดวงตาของเจินเหนียง ใจของเฉียวเจาดิ่งวูบลง
ไม่มีผู้ใดสามารถเฝ้าดูเจินเหนียงโดยไม่คลาดสายตาได้ตลอดสิบสองชั่วยาม หากนางตั้งใจจะจบชีวิตตนอย่างแน่วแน่ ช้าเร็วก็ต้องเกิดเรื่องขึ้น
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจินเหนียงเข้มแข็งมากแท้ๆ เหตุใดกลายเป็นเช่นนี้อย่างกะทันหัน
เฉียวเจาอดมองไปทางผู้ตรวจการสิงไม่ได้ เห็นเขามองบุตรสาวคนหนึ่งฆ่าตัวตายคนหนึ่งเป็นลมล้มพับไปกลับไม่เดือดเนื้อร้อนใจก็เข้าใจอะไรได้รางๆ แล้ว
ปิงลวี่อุ้มจิ้งเหนียงเข้าไปด้านในแล้วเดินออกมา
“ปิงลวี่ ช่วยอาจูประคองคุณหนูใหญ่เข้าไปแล้วคอยอยู่เป็นเพื่อนนางด้วย” เฉียวเจาเอ่ยสั่ง
ถึงอย่างไรห้องนี้เป็นที่พำนักของสตรี เมื่อเห็นเฉียวเจาจัดคนอยู่เฝ้าเจินเหนียงกับน้องสาวเรียบร้อยแล้ว พวกเซ่าหมิงยวนก็สาวเท้าออกจากห้อง
“ใต้เท้าสิงไม่ไปดูพวกคุณหนูสิงหรือ” เฉียวเจาเดินเข้าไปถามผู้ตรวจการสิง
เขาทำสีหน้าตึงเครียด เอ่ยตอบเสียงเรียบ “เรื่องนี้ไม่รบกวนคุณหนูหลีให้ต้องเป็นกังวล”
นางเลิกคิ้วแล้วแค่นเสียงพูด “ข้าก็มิได้อยากเป็นกังวล เพียงแต่คุณหนูสิงทั้งสองหนีพ้นจากเงื้อมมือปีศาจมาได้มิใช่ง่ายๆ เห็นคุณหนูใหญ่จู่ๆ ก็คิดสั้นแล้วสะเทือนใจเลยอยากถามไถ่ใต้เท้าสิงว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่”
ผู้ตรวจการสิงมองเฉียวเจาอย่างพินิจแล้วย้อนถาม “เพราะอะไรน่ะหรือ แม้ว่าคุณหนูหลียังอายุน้อย แต่ก็เป็นบุตรสาวของขุนนางที่เติบใหญ่มากับการท่องคำสอนสตรี* เช่นกัน แล้วจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรอย่างนั้นหรือ”
เฉียวเจายิ้มเยาะ “ข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไรจริงๆ”
เพื่อสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงและเกียรติยศก็ต้องบีบคั้นบุตรสาวในไส้ให้ไปตายใช่หรือไม่ บิดามารดาของนางล้วนมิใช่คนพรรค์อย่างนี้!
ผู้ตรวจการสิงเก็บงำแววเย้ยหยันในดวงตาไว้ เขาพูดอย่างเฉยชาว่า “คุณหนูหลีเป็นอิสระไม่ยี่หระสายตาใคร ผิดแผกจากสตรีทั่วไปจริงๆ”
ถ้อยคำนี้แฝงรอยประชดประชันค่อนข้างชัดเจน เซ่าหมิงยวนฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพูดเสียงราบเรียบ “คู่หมั้นของข้าย่อมต้องไม่เหมือนผู้ใด”
ผู้ตรวจการสิงอึ้งงันไปเล็กน้อย
เขาเฝ้ามองอยู่ด้านข้างเห็นเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนแสดงกิริยาใกล้ชิดสนิทสนมกัน ย่อมจะรู้สึกขัดนัยน์ตา ไม่คิดว่าทั้งสองจะเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน
ฉือชั่นมองเซ่าหมิงยวนนิ่งๆ แล้วกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย “ข้าว่านะ คนที่ไม่ยี่หระสายตาใครเป็นใต้เท้าสิงต่างหาก เป็นคราครั้งแรกที่ข้าเห็นผู้เป็นบิดาบีบคั้นบุตรสาวให้ไปตายนะนี่”
“คำกล่าวนี้ของคุณชายฉือผิดถนัด ข้าเป็นบิดาของพวกนางก็ต้องรักใคร่พวกนางอย่างแน่นอน แต่พวกนางโดนชาววอโค่วทำลายความบริสุทธิ์ไปแล้ว เดิมทีสมควรปลิดชีพตนเพื่อรักษาเกียรติยศไว้ จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร้ศักดิ์ศรีได้เช่นไร”
“โดนชาววอโค่วทำลายความบริสุทธิ์หาใช่ความผิดของพวกนางไม่ แต่เป็นความผิดของชาววอโค่วพวกนั้น รวมถึงเจ้าพวกบ่อนทำลายแผ่นดินที่เป็นชนวนทำให้อาณาประชาราษฎร์เดือดร้อนทุกข์เข็ญดังเช่นสิงอู่หยาง” ฉือชั่นกล่าวเสียงขรึม
ผู้ตรวจการสิงจับจ้องดวงหน้าหล่อเหลาละมุนละไมหาผู้ใดเทียบได้ของฉือชั่น เขาเหยียดมุมปากย้อนถามว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณชายฉือเต็มใจตบแต่งสตรีที่ถูกชาววอโค่วย่ำยีนางหนึ่งเป็นภรรยาหรือไม่”
สีหน้าของฉือชั่นปึ่งชา “ใต้เท้าสิงกล่าวเช่นนี้ออกจะเกินไปแล้ว”
ผู้ตรวจการสิงแค่นหัวร่อ “ในเมื่อคุณชายฉือตอบไม่ออกก็อย่ายกถ้อยคำเหล่านั้นมาไล่เลียงข้า ข้าเป็นบิดาของพวกนาง ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดที่รักพวกนางยิ่งกว่าข้า ข้าย่อมจะรู้ว่าทางเลือกใดถึงจะดีต่อพวกนางจริงๆ”
ฉือชั่นที่โดนผู้ตรวจการสิงโต้กลับถึงกับสะอึกจนพูดไม่ออกจึงหลับตาลง ตอนลืมตาขึ้นอีกทีเขาตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด “ถ้าสตรีผู้นั้นเป็นคนที่ข้าชมชอบอยู่แต่เดิม เช่นนั้นข้าก็เต็มใจ”
หากสตรีที่เขารักโชคร้ายประสบกับเคราะห์กรรม เขามีแต่ทะนุถนอมนางมากขึ้น ไหนเลยจะหักใจรังเกียจนางได้ลงคอ
ผู้ตรวจการสิงโคลงศีรษะขันๆ “ช่างน่าเสียดายนัก บุตรสาวข้าไม่มีบุญได้พบกับคนอย่างคุณชายฉือ”
ตอนนี้เองเฉียวเจาเอ่ยปากขึ้น “ในความคิดของใต้เท้าสิง ชะตาชีวิตของสตรีถ้ามิใช่ออกเรือนก็คือความตายใช่หรือไม่”
เพราะเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วออกเรือนไม่ได้ ดังนั้นยอมให้พวกนางไปตายดีกว่า?
ผู้ตรวจการสิงไม่อยากพูดกับเฉียวเจาให้มากความอย่างเห็นได้ชัด เขาแค่นเสียงฮึ
เฉียวเจาตั้งท่าจะพูดต่ออีก แต่เซ่าหมิงยวนส่ายหน้ากับนาง
หญิงสาวทั้งจนปัญญาทั้งคับแค้นใจ
นางรู้ว่ายามคนเรามีความคิดฝังหัวแล้วยากมากที่จะเปลี่ยนแปลง กระนั้นนางไม่อาจนั่งนิ่งดูดายปล่อยให้คนผู้หนึ่งบีบคั้นบุตรสาวในไส้จนตายเพราะความคิดเฉกนี้
ในยุคสมัยนี้เกิดเป็นสตรีแสนลำบากยากเย็น บางคนเป็นเพราะตนเองไร้ความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป บางคนถึงอยากมีชีวิตอยู่แต่คนสายเลือดเดียวกันกลับไม่ให้นางมีชีวิตต่อไป
“ถิงเฉวียน คุณหนูหลี ทั้งสองคนไปล้างหน้าล้างตาเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงทางคุณหนูใหญ่ มีคนเฝ้าดูอยู่ตั้งหลายคนเช่นนี้ ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก” พอเห็นบรรยากาศตึงเครียด หยางโฮ่วเฉิงพูดไกล่เกลี่ย
“ท่านปู่หลี่เล่าเจ้าคะ” เฉียวเจารู้ว่าเรื่องของเจินเหนียงกับน้องสาวยากจะแก้ไขได้ในชั่วประเดี๋ยวประด๋าวจึงเอ่ยถามถึงหมอเทวดาหลี่
“ท่านหมอเทวดากำลังศึกษาอะไรอยู่ก็สุดรู้ ปิดประตูไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวน จึงยังไม่ทราบว่าพวกท่านกลับมาแล้ว”
ยามหมอเทวดาหลี่เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาก็ปิดประตูไม่รับแขกนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ถึงแม้เฉียวเจาจะเสียดายที่ไม่ได้พบกับท่านผู้เฒ่าในทันทีแต่ก็ไม่กล้าไปรบกวน นางไพล่ไปถามว่า “แล้วคุณหนูเซี่ยอยู่ที่ใดเจ้าคะ”
ได้ยินนางถามถึงเซี่ยเซิงเซียว หยางโฮ่วเฉิงไม่เปล่งเสียงพูดแล้ว
ฉือชั่นพูดยิ้มๆ “หยางเอ้อร์แอบส่งข่าวไปบอกคนในครอบครัวของคุณหนูเซี่ย พวกเขาเลยพานางกลับไปแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงพูดอุบอิบ “นี่ข้าหวังดีต่อนางนะ”
เฉียวเจามองเขาด้วยสายตาสับสนปนเป จากนั้นเอ่ยเตือนด้วยความปรารถนาดี “วันหน้าพี่หยางมีโอกาสพบกับคุณหนูเซี่ยอีกครั้ง อย่าลืมสวมเสื้อเกราะเสริมแผ่นเหล็กกันหน้าอกไว้ด้วยนะเจ้าคะ”
* คำสอนสตรี เป็นหนังสือที่ไช่ยง บัณฑิตในสมัยฮั่นตะวันออกเขียนขึ้นเพื่อเตือนใจบุตรีของตนว่าแม้รูปลักษณ์ภายนอกสำคัญ แต่ในขณะที่แต่งกายให้สวยงามนั้นก็อย่าได้ลืมว่าการบ่มเพาะคุณธรรมและความรู้นั้นสำคัญยิ่งกว่า