หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 520
บทที่ 520
อากาศหนาวเย็นลงเรื่อยๆ แมกไม้สองฟากฝั่งน้ำเหี่ยวแห้งโรยรา ระหว่างเดินทางกลับความรู้สึกในใจเฉียวเจายังระคนไว้ด้วยความหดหู่ทดท้อจางๆ เพราะเจินเหนียงกับน้องสาว
เป็นครั้งแรกที่นางไม่รู้ว่าสมควรสะสางเรื่องเช่นนี้อย่างไรดี
ผู้ตรวจการสิงเป็นบิดาของพี่น้องสองสาว ถึงนางจะมีวาทศิลป์เป็นเลิศ แต่ท่าทีของผู้ตรวจการสิงก็เห็นกันเป็นที่ประจักษ์แก่ตาแล้ว และนางก็ไม่สามารถหว่านล้อมพี่น้องคู่นี้ได้
พื้นน้ำกว้างใหญ่ไพศาลเป็นภาพทิวทัศน์ตระการตาที่ไม่อาจพบเห็นได้ที่เมืองหลวง ทว่าเฉียวเจากลับพิงราวรั้วเรืออย่างเหม่อลอย
เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังลอยมา นางหันหน้าไปเห็นอาจูเดินมาอย่างเร่งร้อน “คุณหนู! คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองสกุลสิงจะกระโดดน้ำตายเจ้าค่ะ ปิงลวี่ใช้สองมือดึงไว้ข้างละคน เจียนจะรับมือไม่ไหวแล้ว…”
เฉียวเจายกชายกระโปรงรีบรุดไป
“เจ้าปล่อยพวกข้านะ!” คุณหนูใหญ่ตะโกนพูด
ปิงลวี่ร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ “คุณหนูทั้งสอง พวกท่านอย่าสร้างความลำบากใจให้ข้าได้หรือไม่ มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ดีหรือเจ้าคะ เพราะอะไรต้องตายให้ได้ด้วยเล่า ข้าเกิดมาก็ต้องเป็นสาวใช้คอยปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่นยังไม่อยากตายเลย”
แม้ว่าปิงลวี่จะเรี่ยวแรงดี แต่จะอย่างไรก็ยังอายุน้อย ไม่อาจฉุดรั้งคนสองคนที่ทุ่มสุดกำลังหมายฆ่าตัวตายได้ เจินเหนียงที่นางจับไว้ด้วยมือซ้ายออกแรงสะบัดจนหลุดแล้วยื่นตัวออกไปนอกราวรั้วเรือจะเอาศีรษะพุ่งลงน้ำ
เฉียวเจามือไวตาไวดึงตัวเจินเหนียงไว้ได้ “พี่เจินเหนียง ท่านใจเย็นสักนิด”
พอเห็นว่าเป็นเฉียวเจา เจินเหนียงละอายแก่ใจมากขึ้น นางกระชากมือคืน “คุณหนูหลี ท่านไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอีกแล้ว ปล่อยให้ข้าสองคนพี่น้องตายไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเถอะนะ ข้าคิดดีแล้ว มิได้กระทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ…”
เจินเหนียงออกแรงเต็มที่ ส่วนเฉียวเจาก็ร่างกายผอมบางแทบปลิวลม ยื้อยุดกันเช่นนี้ก็ทรงกายไม่อยู่กะทันหัน เป็นเหตุให้นางล้มคะมำออกไปนอกตัวเรือด้วย
“คุณหนู!” อาจูหน้าถอดสีไปถนัดตา
เฉียวเจารู้สึกว่าข้อมือโดนจับไว้แน่น จากนั้นก็เข้าสู่อ้อมอกอบอุ่นของคนผู้หนึ่ง
“ปลอดภัยแล้ว” เซ่าหมิงยวนตบหลังนางเบาๆ พลางบอกเสียงนุ่มนวล
เฉียวเจาเพิ่งหายเสียขวัญ ได้ยินเสียงนี้ก็อุ่นใจทันควัน
ฉือชั่นซึ่งตามมาพร้อมกับเซ่าหมิงยวนทำหน้าบึ้งตึงอย่างโกรธจัด สาวเท้าก้าวยาวๆ ไปตรงหน้าเจินเหนียงแล้วพูดเสียงห้วนสะบัด “คุณหนูใหญ่ ท่านอยากตายน่ะได้ แต่อย่าทำร้ายคนอื่นได้หรือไม่”
เจินเหนียงมองเขาอย่างงงงัน
ฉือชั่นชี้ไปที่เฉียวเจา “ถ้าพวกข้าไม่ได้เดินมา คุณหนูหลีคงตกลงแม่น้ำไปแล้ว ท่านอยากให้นางตายใช่หรือไม่”
“ข้า…ข้าไม่ได้มีเจตนา…” เจินเหนียงพูดเสียงอ่อยๆ
นัยน์ตาของบุรุษตรงหน้าวาวโรจน์ดุจเปลวไฟด้วยความเดือดดาล ทว่าถ้อยคำเหน็บแนมถากถางที่ออกจากปากกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา “ท่านรู้ทั้งรู้ว่าพวกข้ามองดูพวกท่านตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าคุณหนูหลีส่งสาวใช้สองคนไปอยู่กับพวกท่านทั้งวันทั้งคืน แล้วจะทำตัวดีๆ สักนิดมิได้หรือไร ท่านดูสารรูปสาวใช้สองคนของคุณหนูหลีตอนนี้สิเป็นอย่างไรแล้ว!”
เจินเหนียงอดมองไปทางปิงลวี่กับอาจูไม่ได้
ผิวกายของอาจูขาวกระจ่าง รอยคล้ำใต้ตาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น บ่งบอกว่าไม่ได้นอนเต็มอิ่มมานานแล้ว
ปิงลวี่ยังอายุไม่มาก ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ปลายคางเรียวแหลม สองแก้มไม่อวบอิ่มเฉกในกาลก่อน อีกทั้งเพราะเมื่อครู่ออกแรงฉุดเจินเหนียงกับน้องสาวทำให้เหงื่อไหลไคลย้อยจนผมเปียกชื้นแนบติดแก้มเป็นปอยๆ แลดูทรุดโทรมน่าสงสาร
เจินเหนียงขบริมฝีปาก คิดถึงที่หลายวันมานี้สองสาวใช้อยู่ข้างๆ พวกนางสองพี่น้องทั้งเช้าค่ำ ได้ยินเสียงเล็กน้อยก็ลืมตาตื่นทันที พาให้แววละอายใจผุดขึ้นในดวงตา
ฉือชั่นแค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง เขากล่าววาจาอย่างไม่ไว้หน้าแม้สักน้อยนิด “อยากตายก็เชิญ แต่จะรอให้ถึงเมืองหลวงแล้วค่อยฆ่าตัวตายต่อหน้าบิดาของพวกท่านได้หรือไม่ อย่าสร้างความวุ่นวายให้ผู้อื่น”
หยางโฮ่วเฉิงลอบดึงมือเขา พูดเสียงค่อยว่า “สือซี เกินไปแล้วนะ”
ฉือชั่นสะบัดมือสหายรักออกแล้วกล่าวเยาะๆ “มีบางคนสำคัญตนผิดเหยียบย่ำความหวังดีของคนอื่น ไม่พูดตรงๆ จะแสร้งทำเลอะเลือน”
“ข้าเปล่า…” เจินเหนียงพูดอุบอิบ นางปิดหน้าร่ำไห้
มีชีวิตอยู่เป็นเรื่องยาก เพราะอะไรแม้แต่จะตายก็ยังยากเย็นเพียงนี้นะ นางกับน้องสาวทำอะไรผิดกันแน่
เจินเหนียงเงยหน้าขึ้น เห็นสีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ ของบิดาผ่านม่านน้ำตาพร่าพราย นางดึงสายตากลับไปมองเฉียวเจา “คุณหนูหลี ท่านวางใจเถอะ ข้ากับน้องสาวจะไม่สร้างความวุ่นวายให้อีก”
เฉียวเจาอ้าปากออก แต่ไม่รู้ว่าควรพูดปลอบเช่นไรดี
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจินเหนียงกับน้องสาวก็สงบเสงี่ยมลงจริงๆ กระนั้นทุกคนต่างรู้แก่ใจดีว่าคลื่นลมจะสงบอยู่อย่างนี้เพียงชั่วคราว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหายากแก้ไขพรรค์นี้พวกเขาก็อับจนหนทางใดๆ ได้แต่ลอบเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของพวกนางสองคนไว้
ยิ่งขึ้นเหนืออากาศยิ่งหนาวเย็น ทุกคนเริ่มหันมาใส่เสื้อบุนวมแทนเสื้อบุผ้าสองชั้นตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ ยามที่เห็นหิมะแรกก็มาถึงเมืองหลวงในที่สุด
“กลับมาถึงเสียที” ฉือชั่นทอดสายตามองไกลๆ ไปยังท่าเรือชานเมืองหลวงที่กำลังเข้าไปใกล้ขึ้นทุกที พ่นลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาวเฮือกหนึ่ง
หยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่ข้างๆ เขาไม่พูดไม่จา
“มีเรื่องในใจหรือ” ฉือชั่นเลิกคิ้วมองเขา
หยางโฮ่วเฉิงยกมือชี้ “สือซี เจ้าดูสิ ท่าเรือชานเมืองหลวงคึกคักเฟื่องฟูเหลือเกิน อากาศหนาวอย่างนี้ยังมีเรือเทียบท่าไม่ขาดสาย คนที่เดินผ่านไปผ่านมากับสารถียังมากมายกว่าคนในตำบลเล็กๆ ทางทิศใต้เลยนะ”
ฉือชั่นชายตามองเขา “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่”
หยางเอ้อร์กลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้เมื่อไรกัน
หยางโฮ่วเฉิงสวมเสื้อคลุมบุนวมสีน้ำเงินเข้มขับเน้นเรือนกายที่สูงใหญ่ผึ่งผาย เขาวางสองมือบนราวรั้วเรือพลางพูดรำพึง “ไม่รู้เพราะอะไร หลังเดินทางลงใต้มาแล้วเห็นภาพความเจริญรุ่งเรืองอย่างนี้ กลับไม่รู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ”
ฉือชั่นหัวเราะ “เท่านี้ก็รู้สึกไม่ปลอดโปร่งสบายใจแล้วหรือ เจ้าลองถามถิงเฉวียนสิ อยู่แดนเหนือมานานหลายปีอย่างนั้น กลับถึงเมืองหลวงแล้วรู้สึกอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนไม่คาดว่าจะถูกถาม เขาเพียงเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ว่าอยู่ที่ใด ขอเพียงจิตใจเป็นสุข”
หยางโฮ่วเฉิงเอามือตบราวรั้วทีหนึ่ง “กล่าวได้ดี ขอเพียงจิตใจเป็นสุข! ถิงเฉวียน สือซี ข้าตรองดูดีแล้ว ข้าจะไปทางใต้ต่อสู้กับชาววอโค่ว! หนนี้สิงอู่หยางถูกถิงเฉวียนจับกลับเมืองหลวง ฮ่องเต้ต้องทรงส่งแม่ทัพคนใหม่ไปที่นั่น ถึงเวลาข้าก็คิดวิธีให้ได้สักตำแหน่งหนึ่งแล้วติดตามไปด้วย”
เขาพูดจบแล้วกะพริบตาปริบๆ อดถามสหายรักทั้งสองไม่ได้ “ไฉนพวกเจ้าไม่ห้ามข้า”
ฉือชั่นมองเขาด้วยหางตา “เจ้าตรองดูดีแล้วไม่ใช่หรือ ยังจะห้ามอะไรอีก”
หยางโฮ่วเฉิงมองไปทางเซ่าหมิงยวนอีก
เขาสวมเสื้อคลุมบุนวมสีดำกลับดูไม่หนาเทอะทะแต่อย่างไร ซ้ำยังสง่าผ่าเผยประหนึ่งต้นสน เห็นสหายรักมองตนอยู่ก็หยักยิ้ม “ขอเพียงไตร่ตรองอย่างแจ่มแจ้งแล้วเท่านั้นเป็นพอ”
“เมื่อก่อนพวกเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้นะ” หยางโฮ่วเฉิงยังไม่ใคร่คุ้นเคยอยู่สักหน่อย
“เมื่อก่อนเจ้าเป็นดังคำกล่าวว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่หวาดกลัว เป็นธรรมดาที่พวกข้าไม่วางใจที่เจ้าจะเข้าสู่สมรภูมิด้วยอารมณ์ชั่วแล่น บัดนี้เจ้าไปมาแล้วด้วยตนเอง ได้เห็นว่าทิศใต้เป็นอย่างไรและรู้ถึงความร้ายกาจของชาววอโค่ว เมื่อเจ้ามีทางเลือกของตนเองพวกข้าย่อมไม่ห้ามอยู่แล้ว” เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างสงบนิ่ง
หยางโฮ่วเฉิงตบแขนเขาทีหนึ่งอย่างเต็มตื้น “พวกเจ้าสนับสนุนข้าก็พอ ไม่แน่ว่าฮ่องเต้อาจทรงให้เจ้ารับตำแหน่งแทนสิงอู่หยาง ส่วนข้ายังได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ใต้อาณัติเจ้าด้วยนะ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” ฉือชั่นพูดเอื่อยๆ ทว่ามิได้อธิบายอะไร เขาลูบดาบพกประจำตัวองครักษ์จินอู๋ตรงเอว “ข้าก็คงจะไม่อยู่ในกององครักษ์จินอู๋แล้ว”
“สือซี เจ้าตั้งใจจะไปที่ใดหรือ” หยางโฮ่วเฉิงบังเกิดความสนใจ
“ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ถึงเวลาก็รู้เอง”
“พวกเจ้าดูสิ คนที่สวมชุดสีเขียวตรงริมตลิ่งเป็นจื่อเจ๋อใช่หรือไม่”
พอเรือเทียบท่าทุกคนก็ทยอยลงจากเรือ จูเยี่ยนเดินเข้ามาต้อนรับ เขาสวมกอดสหายรักทีละคน
“ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาแล้ว”บทที่ 520
อากาศหนาวเย็นลงเรื่อยๆ แมกไม้สองฟากฝั่งน้ำเหี่ยวแห้งโรยรา ระหว่างเดินทางกลับความรู้สึกในใจเฉียวเจายังระคนไว้ด้วยความหดหู่ทดท้อจางๆ เพราะเจินเหนียงกับน้องสาว
เป็นครั้งแรกที่นางไม่รู้ว่าสมควรสะสางเรื่องเช่นนี้อย่างไรดี
ผู้ตรวจการสิงเป็นบิดาของพี่น้องสองสาว ถึงนางจะมีวาทศิลป์เป็นเลิศ แต่ท่าทีของผู้ตรวจการสิงก็เห็นกันเป็นที่ประจักษ์แก่ตาแล้ว และนางก็ไม่สามารถหว่านล้อมพี่น้องคู่นี้ได้
พื้นน้ำกว้างใหญ่ไพศาลเป็นภาพทิวทัศน์ตระการตาที่ไม่อาจพบเห็นได้ที่เมืองหลวง ทว่าเฉียวเจากลับพิงราวรั้วเรืออย่างเหม่อลอย
เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังลอยมา นางหันหน้าไปเห็นอาจูเดินมาอย่างเร่งร้อน “คุณหนู! คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองสกุลสิงจะกระโดดน้ำตายเจ้าค่ะ ปิงลวี่ใช้สองมือดึงไว้ข้างละคน เจียนจะรับมือไม่ไหวแล้ว…”
เฉียวเจายกชายกระโปรงรีบรุดไป
“เจ้าปล่อยพวกข้านะ!” คุณหนูใหญ่ตะโกนพูด
ปิงลวี่ร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ “คุณหนูทั้งสอง พวกท่านอย่าสร้างความลำบากใจให้ข้าได้หรือไม่ มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ดีหรือเจ้าคะ เพราะอะไรต้องตายให้ได้ด้วยเล่า ข้าเกิดมาก็ต้องเป็นสาวใช้คอยปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่นยังไม่อยากตายเลย”
แม้ว่าปิงลวี่จะเรี่ยวแรงดี แต่จะอย่างไรก็ยังอายุน้อย ไม่อาจฉุดรั้งคนสองคนที่ทุ่มสุดกำลังหมายฆ่าตัวตายได้ เจินเหนียงที่นางจับไว้ด้วยมือซ้ายออกแรงสะบัดจนหลุดแล้วยื่นตัวออกไปนอกราวรั้วเรือจะเอาศีรษะพุ่งลงน้ำ
เฉียวเจามือไวตาไวดึงตัวเจินเหนียงไว้ได้ “พี่เจินเหนียง ท่านใจเย็นสักนิด”
พอเห็นว่าเป็นเฉียวเจา เจินเหนียงละอายแก่ใจมากขึ้น นางกระชากมือคืน “คุณหนูหลี ท่านไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอีกแล้ว ปล่อยให้ข้าสองคนพี่น้องตายไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเถอะนะ ข้าคิดดีแล้ว มิได้กระทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ…”
เจินเหนียงออกแรงเต็มที่ ส่วนเฉียวเจาก็ร่างกายผอมบางแทบปลิวลม ยื้อยุดกันเช่นนี้ก็ทรงกายไม่อยู่กะทันหัน เป็นเหตุให้นางล้มคะมำออกไปนอกตัวเรือด้วย
“คุณหนู!” อาจูหน้าถอดสีไปถนัดตา
เฉียวเจารู้สึกว่าข้อมือโดนจับไว้แน่น จากนั้นก็เข้าสู่อ้อมอกอบอุ่นของคนผู้หนึ่ง
“ปลอดภัยแล้ว” เซ่าหมิงยวนตบหลังนางเบาๆ พลางบอกเสียงนุ่มนวล
เฉียวเจาเพิ่งหายเสียขวัญ ได้ยินเสียงนี้ก็อุ่นใจทันควัน
ฉือชั่นซึ่งตามมาพร้อมกับเซ่าหมิงยวนทำหน้าบึ้งตึงอย่างโกรธจัด สาวเท้าก้าวยาวๆ ไปตรงหน้าเจินเหนียงแล้วพูดเสียงห้วนสะบัด “คุณหนูใหญ่ ท่านอยากตายน่ะได้ แต่อย่าทำร้ายคนอื่นได้หรือไม่”
เจินเหนียงมองเขาอย่างงงงัน
ฉือชั่นชี้ไปที่เฉียวเจา “ถ้าพวกข้าไม่ได้เดินมา คุณหนูหลีคงตกลงแม่น้ำไปแล้ว ท่านอยากให้นางตายใช่หรือไม่”
“ข้า…ข้าไม่ได้มีเจตนา…” เจินเหนียงพูดเสียงอ่อยๆ
นัยน์ตาของบุรุษตรงหน้าวาวโรจน์ดุจเปลวไฟด้วยความเดือดดาล ทว่าถ้อยคำเหน็บแนมถากถางที่ออกจากปากกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา “ท่านรู้ทั้งรู้ว่าพวกข้ามองดูพวกท่านตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าคุณหนูหลีส่งสาวใช้สองคนไปอยู่กับพวกท่านทั้งวันทั้งคืน แล้วจะทำตัวดีๆ สักนิดมิได้หรือไร ท่านดูสารรูปสาวใช้สองคนของคุณหนูหลีตอนนี้สิเป็นอย่างไรแล้ว!”
เจินเหนียงอดมองไปทางปิงลวี่กับอาจูไม่ได้
ผิวกายของอาจูขาวกระจ่าง รอยคล้ำใต้ตาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น บ่งบอกว่าไม่ได้นอนเต็มอิ่มมานานแล้ว
ปิงลวี่ยังอายุไม่มาก ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ปลายคางเรียวแหลม สองแก้มไม่อวบอิ่มเฉกในกาลก่อน อีกทั้งเพราะเมื่อครู่ออกแรงฉุดเจินเหนียงกับน้องสาวทำให้เหงื่อไหลไคลย้อยจนผมเปียกชื้นแนบติดแก้มเป็นปอยๆ แลดูทรุดโทรมน่าสงสาร
เจินเหนียงขบริมฝีปาก คิดถึงที่หลายวันมานี้สองสาวใช้อยู่ข้างๆ พวกนางสองพี่น้องทั้งเช้าค่ำ ได้ยินเสียงเล็กน้อยก็ลืมตาตื่นทันที พาให้แววละอายใจผุดขึ้นในดวงตา
ฉือชั่นแค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง เขากล่าววาจาอย่างไม่ไว้หน้าแม้สักน้อยนิด “อยากตายก็เชิญ แต่จะรอให้ถึงเมืองหลวงแล้วค่อยฆ่าตัวตายต่อหน้าบิดาของพวกท่านได้หรือไม่ อย่าสร้างความวุ่นวายให้ผู้อื่น”
หยางโฮ่วเฉิงลอบดึงมือเขา พูดเสียงค่อยว่า “สือซี เกินไปแล้วนะ”
ฉือชั่นสะบัดมือสหายรักออกแล้วกล่าวเยาะๆ “มีบางคนสำคัญตนผิดเหยียบย่ำความหวังดีของคนอื่น ไม่พูดตรงๆ จะแสร้งทำเลอะเลือน”
“ข้าเปล่า…” เจินเหนียงพูดอุบอิบ นางปิดหน้าร่ำไห้
มีชีวิตอยู่เป็นเรื่องยาก เพราะอะไรแม้แต่จะตายก็ยังยากเย็นเพียงนี้นะ นางกับน้องสาวทำอะไรผิดกันแน่
เจินเหนียงเงยหน้าขึ้น เห็นสีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ ของบิดาผ่านม่านน้ำตาพร่าพราย นางดึงสายตากลับไปมองเฉียวเจา “คุณหนูหลี ท่านวางใจเถอะ ข้ากับน้องสาวจะไม่สร้างความวุ่นวายให้อีก”
เฉียวเจาอ้าปากออก แต่ไม่รู้ว่าควรพูดปลอบเช่นไรดี
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจินเหนียงกับน้องสาวก็สงบเสงี่ยมลงจริงๆ กระนั้นทุกคนต่างรู้แก่ใจดีว่าคลื่นลมจะสงบอยู่อย่างนี้เพียงชั่วคราว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหายากแก้ไขพรรค์นี้พวกเขาก็อับจนหนทางใดๆ ได้แต่ลอบเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของพวกนางสองคนไว้
ยิ่งขึ้นเหนืออากาศยิ่งหนาวเย็น ทุกคนเริ่มหันมาใส่เสื้อบุนวมแทนเสื้อบุผ้าสองชั้นตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ ยามที่เห็นหิมะแรกก็มาถึงเมืองหลวงในที่สุด
“กลับมาถึงเสียที” ฉือชั่นทอดสายตามองไกลๆ ไปยังท่าเรือชานเมืองหลวงที่กำลังเข้าไปใกล้ขึ้นทุกที พ่นลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาวเฮือกหนึ่ง
หยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่ข้างๆ เขาไม่พูดไม่จา
“มีเรื่องในใจหรือ” ฉือชั่นเลิกคิ้วมองเขา
หยางโฮ่วเฉิงยกมือชี้ “สือซี เจ้าดูสิ ท่าเรือชานเมืองหลวงคึกคักเฟื่องฟูเหลือเกิน อากาศหนาวอย่างนี้ยังมีเรือเทียบท่าไม่ขาดสาย คนที่เดินผ่านไปผ่านมากับสารถียังมากมายกว่าคนในตำบลเล็กๆ ทางทิศใต้เลยนะ”
ฉือชั่นชายตามองเขา “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่”
หยางเอ้อร์กลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้เมื่อไรกัน
หยางโฮ่วเฉิงสวมเสื้อคลุมบุนวมสีน้ำเงินเข้มขับเน้นเรือนกายที่สูงใหญ่ผึ่งผาย เขาวางสองมือบนราวรั้วเรือพลางพูดรำพึง “ไม่รู้เพราะอะไร หลังเดินทางลงใต้มาแล้วเห็นภาพความเจริญรุ่งเรืองอย่างนี้ กลับไม่รู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ”
ฉือชั่นหัวเราะ “เท่านี้ก็รู้สึกไม่ปลอดโปร่งสบายใจแล้วหรือ เจ้าลองถามถิงเฉวียนสิ อยู่แดนเหนือมานานหลายปีอย่างนั้น กลับถึงเมืองหลวงแล้วรู้สึกอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนไม่คาดว่าจะถูกถาม เขาเพียงเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ว่าอยู่ที่ใด ขอเพียงจิตใจเป็นสุข”
หยางโฮ่วเฉิงเอามือตบราวรั้วทีหนึ่ง “กล่าวได้ดี ขอเพียงจิตใจเป็นสุข! ถิงเฉวียน สือซี ข้าตรองดูดีแล้ว ข้าจะไปทางใต้ต่อสู้กับชาววอโค่ว! หนนี้สิงอู่หยางถูกถิงเฉวียนจับกลับเมืองหลวง ฮ่องเต้ต้องทรงส่งแม่ทัพคนใหม่ไปที่นั่น ถึงเวลาข้าก็คิดวิธีให้ได้สักตำแหน่งหนึ่งแล้วติดตามไปด้วย”
เขาพูดจบแล้วกะพริบตาปริบๆ อดถามสหายรักทั้งสองไม่ได้ “ไฉนพวกเจ้าไม่ห้ามข้า”
ฉือชั่นมองเขาด้วยหางตา “เจ้าตรองดูดีแล้วไม่ใช่หรือ ยังจะห้ามอะไรอีก”
หยางโฮ่วเฉิงมองไปทางเซ่าหมิงยวนอีก
เขาสวมเสื้อคลุมบุนวมสีดำกลับดูไม่หนาเทอะทะแต่อย่างไร ซ้ำยังสง่าผ่าเผยประหนึ่งต้นสน เห็นสหายรักมองตนอยู่ก็หยักยิ้ม “ขอเพียงไตร่ตรองอย่างแจ่มแจ้งแล้วเท่านั้นเป็นพอ”
“เมื่อก่อนพวกเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้นะ” หยางโฮ่วเฉิงยังไม่ใคร่คุ้นเคยอยู่สักหน่อย
“เมื่อก่อนเจ้าเป็นดังคำกล่าวว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่หวาดกลัว เป็นธรรมดาที่พวกข้าไม่วางใจที่เจ้าจะเข้าสู่สมรภูมิด้วยอารมณ์ชั่วแล่น บัดนี้เจ้าไปมาแล้วด้วยตนเอง ได้เห็นว่าทิศใต้เป็นอย่างไรและรู้ถึงความร้ายกาจของชาววอโค่ว เมื่อเจ้ามีทางเลือกของตนเองพวกข้าย่อมไม่ห้ามอยู่แล้ว” เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างสงบนิ่ง
หยางโฮ่วเฉิงตบแขนเขาทีหนึ่งอย่างเต็มตื้น “พวกเจ้าสนับสนุนข้าก็พอ ไม่แน่ว่าฮ่องเต้อาจทรงให้เจ้ารับตำแหน่งแทนสิงอู่หยาง ส่วนข้ายังได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ใต้อาณัติเจ้าด้วยนะ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” ฉือชั่นพูดเอื่อยๆ ทว่ามิได้อธิบายอะไร เขาลูบดาบพกประจำตัวองครักษ์จินอู๋ตรงเอว “ข้าก็คงจะไม่อยู่ในกององครักษ์จินอู๋แล้ว”
“สือซี เจ้าตั้งใจจะไปที่ใดหรือ” หยางโฮ่วเฉิงบังเกิดความสนใจ
“ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ถึงเวลาก็รู้เอง”
“พวกเจ้าดูสิ คนที่สวมชุดสีเขียวตรงริมตลิ่งเป็นจื่อเจ๋อใช่หรือไม่”
พอเรือเทียบท่าทุกคนก็ทยอยลงจากเรือ จูเยี่ยนเดินเข้ามาต้อนรับ เขาสวมกอดสหายรักทีละคน
“ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาแล้ว”