หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 521
บทที่ 521
เฉียวเจาเพิ่งลงจากเรือ บุรุษวัยกลางคนแต่งกายแบบบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งทะยานเข้ามา “คุณหนูสาม ท่านกลับมาเสียที”
นางมีความจำเป็นเลิศ จดจำได้ว่าบ่าวรับใช้ตรงหน้าคือตาเฒ่าจางคนเลี้ยงม้าของเรือนหน้า
“ลุงจางอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ลุงจางเห็นเฉียวเจาแล้วดีอกดีใจสุดจะกล่าวอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวอธิบายว่า “นี่ล่วงเข้าเดือนสิบสองแล้วมิใช่หรือขอรับ พวกท่านฮูหยินผู้เฒ่าในเรือนเราคิดกันว่าท่านอาจจะกลับมาถึงวันใดวันหนึ่งก็ไม่แน่ ดังนั้นจึงให้ข้ามาเฝ้าที่ท่าเรือทุกวันเลย”
เฉียวเจารู้สึกอบอุ่นตรงกลางอก นางหันหน้าไปมองเซ่าหมิงยวน
“ข้าพาคนไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เจ้ากลับเรือนก่อนเถอะ” ชายหนุ่มเก็บงำแววตาอาลัยอาวรณ์ไว้พลางเอ่ยบอกเสียงอ่อนโยน
“นั่นสิ คุณหนูหลี ท่านกลับไปก่อน ข้ากับสือซีจะไปที่วังหลวงเข้าเฝ้าไทเฮา ส่วนท่านรอไทเฮาทรงเรียกตัวแล้วค่อยเข้าวัง”
นางพยักหน้าแล้วนิ่งคิดก่อนพูดกำชับเซ่าหมิงยวน “สตรีที่ช่วยกลับมาพวกนั้นจะติดตามข้าให้ได้ ก็ให้อยู่ที่จวนกวนจวินโหวก่อนเถอะ ท่านก็มอบหมายงานให้พวกนางทำไปตามที่เห็นควร”
“ได้ เจ้าวางใจได้ ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”
จูเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างมองดูเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนพูดคุยโต้ตอบกันแล้วบังเกิดความสงสัยในใจ เขาส่งสายตาถามหยางโฮ่วเฉิง
หยางโฮ่วเฉิงไอเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วกะพริบตาปริบๆ
จูเยี่ยนจำต้องสะกดความกังขาไว้ไม่ไถ่ถาม
ระหว่างทางกลับเฉียวเจาอดถามบ่าวรับใช้ชราไม่ได้ “ฮูหยินผู้เฒ่าสบายดีหรือไม่”
“คุณหนูสามสบายใจได้ ฮูหยินผู้เฒ่าสดชื่นกระฉับกระเฉงมากขอรับ”
“นายหญิงเล่า”
“นายหญิงก็สุขภาพดี ท่านหมอบอกว่าครรภ์นี้แข็งแรงมาก ปีหน้าคุณหนูสามก็มีน้องชายให้อุ้มแล้วขอรับ”
เฉียวเจาเผยรอยยิ้มออกมา “นายท่านใหญ่เล่า”
“นายท่านใหญ่น่ะหรือ…” เสียงพูดของบ่าวรับใช้ชราชะงักไป
เฉียวเจาหุบยิ้ม “เกิดเรื่องกับนายท่านใหญ่?”
“นายท่านใหญ่ไม่ได้เป็นอะไร…”
“ลุงจางบอกมาตามตรงเถอะ”
“นายท่านใหญ่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ว่าพักก่อนเดินหมากกับคนอื่นแล้วมีปากเสียงกัน อีกฝ่ายดื่มสุราไปเล็กน้อยเลยทุบตีนายท่านใหญ่ยกหนึ่งอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่” บ่าวรับใช้ชราเห็นเฉียวเจาหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยก็รีบเอ่ยขึ้น “คุณหนูสามไม่ต้องเป็นห่วง นายท่านใหญ่ไม่ได้บาดเจ็บ อีกทั้งได้หยุดพักผ่อนครึ่งเดือนเพราะเหตุนี้ด้วยนะขอรับ”
เฉียวเจาฟังแล้วรู้สึกว่าไม่ปกติ “เดินหมากแล้วทะเลาะวิวาท ยังได้หยุดพักผ่อนครึ่งเดือนหรือ”
บ่าวรับใช้ชรายิ้มแหะๆ “คนที่ตีนายท่านใหญ่ก็คือหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตขอรับ”
“…” เฉียวเจาอึ้งงันก่อนจะเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น
“คนอื่นๆ ล้วนสบายดีใช่หรือไม่”
“ชาวเรือนตะวันตกเราล้วนสบายดีขอรับ เพียงห่วงใยท่านที่ออกเดินทางไปต่างเมือง ทว่าท่านเซียงจวินของเรือนตะวันออกไม่สู้ดีนัก นัยน์ตาบอดสนิทแล้ว…จริงสิ ในเรือนยังได้รับข่าวว่านายท่านรองจะกลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงานตัว อีกพักหนึ่งก็จะมาถึงแล้ว…”
เฉียวเจาฟังคำบอกเล่าของบ่าวรับใช้ชราอย่างใจเย็นจะได้รู้สภาพการณ์ภายในเรือนคร่าวๆ เมื่อกลับถึงจวนสกุลหลี
ฤดูหนาวในเมืองหลวงอากาศหนาวเย็นกว่าทางใต้เป็นอันมาก เรือนชิงซงเริ่มจุดตี้หลง* แล้ว เหอซื่อนายหญิงใหญ่กับหลิวซื่อนายหญิงรองล้วนอยู่ที่นั่นหารือเรื่องฉลองวันตรุษกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
หลีกวงซูนายท่านรองถูกส่งตัวไปรับราชการต่างเมืองนานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่กลับมาเมืองหลวงฉลองวันตรุษ ฉะนั้นสำหรับชาวจวนตะวันตกแล้ว วันตรุษปีนี้ย่อมเป็นงานใหญ่เอิกเกริกกว่าที่ผ่านๆ มา
สีหน้าและแววตาของหลิวซื่อนายหญิงรองล้วนแฝงรอยแช่มชื่นยินดี นางหยิบแผ่นรายชื่อสิ่งของที่ต้องซื้อหายาวเป็นหางว่าวส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดูผ่านตา “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ท่านช่วยดูว่ารายชื่อที่ข้าร่างขึ้นมีสิ่งใดตกหล่นหรือไม่”
หญิงชราไล่สายตามองปราดหนึ่ง เห็นว่าพิถีพิถันกว่าปีก่อนก็มิได้ออกปากทักท้วง นางพยักหน้ากล่าวว่า “ก็ทำไปตามนี้ สะใภ้ใหญ่ เจ้าร่างรายชื่อของขวัญแล้วใช่หรือไม่”
ครั้นไม่ได้ยินเสียงตอบของเหอซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเรียกซ้ำอีกที “สะใภ้ใหญ่?”
เหอซื่อถึงรู้สึกตัว “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเรียกข้าหรือเจ้าคะ”
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
เหอซื่อลูบท้องที่นูนป่องไปมา สีหน้าฉายแววกังวล “ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อวานข้าฝันเจ้าค่ะ ฝันเห็นเจาเจาของข้าถูกนกอินทรีดำตัวใหญ่เบ้อเริ่มคาบไปแล้ว ข้าตกใจจนนอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน ท่านว่าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจาเจากระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่ทันได้กล่าววาจา หลิวซื่อก็เอ่ยปากพูดยิ้มๆ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่าเรื่องจริงล้วนตรงข้ามกับความฝัน คุณหนูสามต้องปลอดภัยแน่นอน ดีไม่ดีอาจอยู่ระหว่างทางกลับเรือนมาแล้วก็ได้นะ”
สิ้นเสียงหลิวซื่อไม่ทันไร ชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสก็วิ่งด้วยฝีเท้าเร็วรี่เข้ามา นางแย้มยิ้มก่อนกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลุกพรวดขึ้น “เป็นความจริงหรือ”
เหอซื่อก้าวขาจะเดินไปข้างนอกก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดึงตัวไว้
“ช้าๆ หน่อย ระวังเด็กในครรภ์เจ้าด้วย” ว่าแล้วนางก็จ้ำพรวดๆ แซงหน้าเหอซื่อออกไป
จวนสกุลหลีไม่เปลี่ยนแปลงสักเท่าใด มีเพียงพฤกษ์พรรณสีเขียวในลานเรือนที่ไร้สีสันไปแล้ว ทางเดินปูแผ่นศิลาหินปัดกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน
เฉียวเจาเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเดินนำหน้าออกมา นางรีบสาวเท้าลิ่วๆ เข้าไปแสดงคารวะอย่างเป็นพิธีรีตอง “ท่านย่า หลานกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงชราดึงตัวนางลุกขึ้นมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ แล้วระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง “กลับมาก็ดีแล้วๆ ข้างนอกหนาว เข้าไปคุยกันในเรือน”
เฉียวเจายังไม่ทันพูดตอบ เหอซื่อก็กอดนางไว้พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น “ไฉนเจาเจาของแม่ถึงผอมจนหนังหุ้มกระดูกไปแล้ว อาจู ปิงลวี่ พวกเจ้าดูแลคุณหนูประสาอะไร”
เหอซื่อถลึงตามองสาวใช้สองคนอย่างไม่พอใจแล้วอ้าปากค้างทันควัน
เทียบกับปิงลวี่และอาจูแล้ว หน้าตาของบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนยังนับว่าเปล่งปลั่งผ่องใส
“พวกเจ้าไปเสาะหาตัวยาตามพระเสาวนีย์ของไทเฮามิใช่หรือ แล้วไม่ได้ให้กินข้าวกินปลาหรือไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกระแอมกระไอเสียงหนึ่ง “พอแล้ว กลับเข้าเรือนแล้วค่อยคุยกัน”
ในเรือนชิงซงอบอุ่นดุจวสันตฤดู เฉียวเจาเข้าไปก็รู้สึกร้อน นางถอดเสื้อตัวใหญ่บนกายออกส่งให้อาจูแล้วเอ่ยสั่ง “พวกเจ้าสองคนกลับไปพักผ่อนที่เรือนฝั่งซ้ายก่อนเถอะ หลายวันมานี้ต้องเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว”
พวกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนั่งลงประจำที่ เฉียวเจาแสดงคารวะต่อเหล่าผู้อาวุโสไปทีละคนอีกครั้ง
“ทุกอย่างราบรื่นดีกระมัง”
“ราบรื่นดีเจ้าค่ะ นำตัวยากลับมาได้แล้ว” เฉียวเจามองดูใบหน้าชื่นบานของทุกๆ คน แล้วชั่งใจเล็กน้อยก่อนกล่าว “มีเรื่องน่ายินดีจะบอกกับท่านย่าเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ ท่านปู่หลี่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าเดินทางลงใต้คราวนี้ได้พบกับท่านผู้อาวุโสแล้ว”
“จริงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดีใจยกใหญ่ นางประนมมือขึ้น “สวรรค์คุ้มครองแล้ว ข้าว่าแล้วผู้เป็นเทพเซียนมาจุติดังเช่นหมอเทวดาหลี่ไม่มีทางเป็นอะไร…”
ต่อจากนั้นพวกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรั้งตัวเฉียวเจาไว้ซักถามไม่หยุด นางก็เลือกตอบในสิ่งที่ตอบได้
นางเป็นคนคารมคมคาย เล่าถึงวิถีชีวิตของผู้คนแดนใต้ได้เห็นภาพเป็นฉากๆ ผู้อาวุโสทั้งหลายฟังจนตาไม่กะพริบ จวบจนเสียงร้อนรนของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตู
“เจาเจากลับมาแล้วหรือ”
เฉียวเจารีบลุกขึ้นยืน นางมองไปทางหน้าเรือน “ท่านพ่อ…”
หลีกวงเหวินเดินฉับๆ เข้ามา
ไม่พบหน้ากันหลายเดือนนายท่านใหญ่สกุลหลียังคงผึ่งผายภูมิฐานดุจเก่า เพียงแต่รอยเขียวช้ำตรงหางตาลดทอนความมีสง่าราศีลงไปบ้าง
เบื้องหน้าพวกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหลีกวงเหวินวางท่าสุขุมอย่างสุดกำลัง หลังพินิจดูบุตรสาวนานสองนานถึงกล่าวทอดถอนใจ “เจาเจาซูบลงนะ”
เฉียวเจากล่าวยิ้มๆ “ไปอยู่ต่างถิ่นย่อมไม่สุขสบายเหมือนในเรือน อีกไม่กี่วันข้าก็มีเนื้อมีหนังเหมือนเดิมแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเพิ่งนึกขึ้นได้ในเวลานี้ จึงรีบสั่งชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสไปบอกเรือนครัวจัดเตรียมโต๊ะเลี้ยงฉลองชั้นเลิศ แล้วค่อยพูดเร่งให้เฉียวเจาไปล้างหน้าล้างตา
เหอซื่อกลับไปเรือนหยาเหอเป็นเพื่อนเฉียวเจา สายตาของนางมองไปที่ประตูวงเดือนฝั่งขวาขณะพูดกระซิบกระซาบกับบุตรสาว “ท่านย่าของเจ้าเลือกคู่ให้หลีเจี่ยวแล้วนะ แต่ในเดือนสิบสองไม่พึงทาบทามสู่ขอ* เลยวางแผนไว้ว่าปีหน้าเข้าฤดูใบไม้ผลิก็หมั้นหมายกันเลย”
* ตี้หลง (มังกรดิน) คือทางใต้ดินซึ่งขุดไว้ใต้เรือนเพื่อนำส่งไอร้อนจากเตาไฟที่จุดอยู่ตรงปากทาง
* เดือนสิบสองเป็นเดือนสุดท้ายของปี มีการจัดพิธีเซ่นไหว้มากมายทั้งเทพเจ้าและบรรพบุรุษ ซึ่งตามความเชื่อโบราณการเซ่นไหว้เป็นเรื่องไม่มงคล จึงไม่ควรพูดคุยเรื่องแต่งงานหรือหมั้นหมายในเดือนนี้