หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 524
บทที่ 524
ในตำหนักฉือหนิงหยางไทเฮาชี้ที่ม้านั่งตัวเล็กริมเตียง “นั่งสิ”
เฉียวเจานั่งลงอย่างเชื่อฟัง ประสานมือวางบนตัก โน้มกายไปข้างหน้าแสดงท่าทางรับฟังอย่างตั้งใจ
“ข้าได้ยินว่าคุณหนูหลีซานปรุงยาขี้ผึ้งเสร็จแล้วหรือ”
นางพยักหน้า “ทูลไทเฮา ยาขี้ผึ้งปรุงเสร็จแล้วเพคะ”
“จะรักษาใบหน้าขององค์หญิงเก้าให้หายได้หรือไม่”
เฉียวเจาย่อมไม่ให้คำรับรองพรรค์นี้เป็นแน่ นางกล่าวขึ้น “ช่วยให้พระพักตร์ขององค์หญิงเก้าดีขึ้นได้แน่นอน แต่จะหายเป็นปกติดังเดิมได้หรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานร่างกายของแต่ละคนเพคะ”
“เรียกองค์หญิงเก้ามาที่นี่” หยางไทเฮาเอ่ยสั่งไหลสี่
ไม่นานนักนางกำนัลส่งเสียงรายงานที่หน้าประตู “องค์หญิงเก้าเสด็จ…”
องค์หญิงเจินเจินเดินเข้ามาจากนอกตำหนักพร้อมกระไอเย็นระลอกหนึ่ง
นางสวมผ้าคลุมหน้าไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตางามซึ้งดุจภาพวาด ในนั้นแฝงรอยร้อนรุ่มใจยามเหลือบมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนนางจะแสดงคารวะต่อไทเฮา
เมื่อเห็นหลานสาวที่รักใคร่เอ็นดูเสมอมา ท่าทางของหยางไทเฮาอ่อนโยนใจดีขึ้นมาก นางคลายยิ้มพลางกวักมือเรียก “มานี่เร็วเข้า”
องค์หญิงเจินเจินก้าวเข้าไป นางรักษาความเยือกเย็นไว้สุดกำลัง แย้มยิ้มละไมพลางกล่าว “เสด็จย่า เจินเจินเพิ่งเดินมาจากข้างนอก ไม่อยากให้พระองค์ทรงโดนความเย็นไปด้วยเพคะ”
หยางไทเฮายื่นมือไปกุมมือนางพลางพูดดุ “ไฉนไม่ถือเตาพกไว้สักใบ”
“ร้อนใจจะมาเข้าเฝ้าเสด็จย่าเลยลืมหยิบมาเพคะ”
หยางไทเฮาเอาเตาพกรูปทรงพระพุทธหัตถ์ยัดใส่มือองค์หญิงเจินเจินถึงเอ่ยขึ้น “คุณหนูหลีซานกลับมาแล้ว นำยาขี้ผึ้งมาด้วย เจ้าลองดูว่าใช้ได้ผลหรือไม่”
นัยน์ตาขององค์หญิงเจินเจินทอประกายวูบหนึ่ง มองไปทางเฉียวเจาอย่างวาดหวัง
เฉียวเจาหยิบตลับกระเบื้องสีเขียวอ่อนใบหนึ่งจากแขนเสื้อ
บนตลับพิมพ์ลวดลายเรียบง่ายหรูหรา พอเปิดออกก็เป็นเนื้อยาขี้ผึ้งสีขาวเนียนละเอียดดุจหยกงาม
“อันนี้…รักษาใบหน้าข้าได้หรือ” องค์หญิงเจินเจินลูบแก้มผ่านผ้าคลุมหน้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“หม่อมฉันขอดูพระอาการขององค์หญิงตอนนี้ก่อนเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินละล้าละลังเล็กน้อย
“ไปเรือนอุ่นเถอะ” หยางไทเฮาบุ้ยใบ้บอกให้นางกำนัลพาทั้งสองไปที่เรือนอุ่น
ในเรือนอุ่นอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ องค์หญิงเจินเจินนิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงยกมือปลดผ้าคลุมหน้าออก
ยามนี้ดวงหน้างามล้ำหล้าแต่เดิมมีแผลตกสะเก็ดแห้งกรังตะปุ่มตะป่ำเป็นสีเข้มๆ อ่อนๆ ไม่เท่ากัน ส่วนผิวบริเวณที่ไม่มีรอยแผลก็ดูซีดขาวเพราะไม่โดนแสงแดดนานเกินไป เห็นแล้วชวนให้หนังศีรษะชาวาบๆ
องค์หญิงเจินเจินประสานสายตากับเฉียวเจา นางบีบมือกำผ้าคลุมหน้าไว้แน่นจนข้อนิ้วขาวซีดจางๆ แต่ฝืนบังคับตนเองไม่ให้หลบตาอีกฝ่าย
คนตรงหน้านี้กุมความหวังของนางไว้ในมือ นางจะถอยไม่ได้
เฉียวเจาพินิจดูองค์หญิงเจินเจินอย่างละเอียดแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
“คุณหนูหลีซานยิ้มอะไรหรือ” องค์หญิงเจินเจินกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยถามขึ้น ในอกมีไฟโทสะพุ่งขึ้นระลอกหนึ่ง
นางอยากบันดาลโทสะ แต่กลับข่มกลั้นไว้เต็มที่
นางกลายสภาพเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงแล้ว หากกระทั่งอุปนิสัยยังเปลี่ยนไปจนเป็นที่อิดหนาระอาใจของใครๆ อีก เช่นนั้นก็น่าสังเวชใจเหลือเกิน
“พระอาการขององค์หญิงดีกว่าที่คิดไว้ หม่อมฉันถึงได้โล่งอกและดีใจกับพระองค์ด้วยเพคะ”
“นี่เจ้าหมายความว่าอะไร” องค์หญิงเจินเจินเพียงรู้สึกหัวใจเต้นแรงดุจรัวกลอง นางพูดพึมพำ
เฉียวเจาวางยาขี้ผึ้งลงในมือขององค์หญิงเจินเจิน “องค์หญิงทรงลองใช้ดูก่อนเถอะเพคะ ทาบนพระพักตร์หนาๆ ชั้นหนึ่งก่อนเข้าบรรทมทุกวัน ตอนเช้าค่อยล้างออก ทำอย่างต่อเนื่องสามวันแล้วดูผลอีกที”
“แค่นี้เองหรือ” องค์หญิงเจินเจินไม่ค่อยเชื่อว่าจะง่ายดายปานนี้
“พระองค์มิได้เกาพระพักตร์ส่งเดช แผลจึงแห้งตกสะเก็ดเป็นธรรมดา เท่านี้ก็เพียงพอแล้วเพคะ หากทรงทายาสามวันแล้วเห็นผลล่ะก็ ถึงตอนนั้นค่อยปรับวิธีใช้ยากันใหม่”
องค์หญิงเจินเจินถือตลับกระเบื้องไว้ในมือแน่นๆ อย่างตื่นเต้น “ได้ ข้าจะลองดู”
นางสวมผ้าคลุมหน้าไว้ตามเดิมแล้วเดินออกไปพร้อมกับเฉียวเจา
หยางไทเฮาชายตามององค์หญิงเจินเจิน นางก็พยักหน้าเบาๆ กับเสด็จย่าของตน
หยางไทเฮาเหลือบเปลือกตาขึ้น ทำมือบอกให้เฉียวเจานั่งลง “คุณหนูหลีซานอายุเท่าไรแล้ว”
“จะสิบสี่ปีแล้วเพคะ”
“สิบสี่ปีหรือ เช่นนั้นยังเด็กอยู่เลยนะ”
เฉียวเจายิ่งฟังยิ่งชอบกล
หยางไทเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้น “คุณหนูหลีซานไปแดนใต้เสาะหาตัวยาโดยไม่ระย่อต่อความลำบากเหน็ดเหนื่อยข้าประทับใจยิ่งนัก หนนี้ต้องขอบใจเจ้าแล้ว รีบกลับเรือนไปพักผ่อนเถอะ”
เฉียวเจาถูกพาออกมาพร้อมกับของขวัญที่หยางไทเฮาพระราชทานให้
นอกพระราชวังที่กว้างใหญ่สุดสายตา รถม้าของสกุลหลีจอดอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกล อาการบาดเจ็บของเฉินกวงยังไม่หายสนิทเลยเปลี่ยนตัวสารถีเป็นอีกคน ยามนี้เขากำลังพิงรถม้าหลับตางีบเอาแรงอยู่
พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว สารถีก็ลืมตาขึ้น “คุณหนูสาม ท่านออกมาแล้วหรือขอรับ”
เฉียวเจาก้าวขึ้นรถแล้วออกคำสั่ง “ไปจวนกวนจวินโหว”
สารถีนิ่งอึ้งไป แต่เขาเห็นสีหน้าของผู้เป็นนายเรียบเฉยก็รีบขานรับ ตวัดแส้ม้าในมือควบขับรถม้ามุ่งหน้าตรงไปที่นั่น
รถม้าจอดลงตรงหน้าประตูจวนกวนจวินโหว เฉียวเจารู้ว่าตอนนี้เซ่าหมิงยวนไม่อยู่ นางใคร่ครวญอยู่ว่าจะบอกกับยามเฝ้าประตูเช่นไร เขาก็วิ่งเข้ามาต้อนรับนางเข้าจวนอย่างเคารพนอบน้อม
“ท่านโหวสั่งกำชับไว้แล้วขอรับ หากท่านมาถึงให้เชิญเข้าไปนั่งด้านใน”
“คุณชายเฉียวอยู่หรือไม่”
“อยู่ขอรับ ท่านรอประเดี๋ยวหนึ่ง”
เฉียวเจานั่งรออยู่ในโถงรับแขกชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังลอยมา นางรีบผุดลุกขึ้นทันที
เฉียวโม่ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ ประหนึ่งสายลมเย็นรื่นดั่งแสงจันทร์นวลตา แต่ตัวเขากลับผ่ายผอมยิ่งขึ้น
เฉียวเจาแตะหางตาเบาๆ ทีหนึ่งก่อนจะเดินรี่เข้าไปหา
เฉียวโม่กุมหัวไหล่นางพลางกล่าวทอดถอนใจเบาๆ “น้องพี่ผอมลง”
เฉียวเจาช้อนตาเพ่งมองเขาพลางพูดพึมพำ “พี่ใหญ่ก็เหมือนกันเจ้าค่ะ”
สองพี่น้องสบตากันเนิ่นนานถึงวางท่าเป็นปกติดังเดิม
ต่อหน้าบ่าวไพร่จะพูดอะไรมากก็ไม่ถนัด เฉียวโม่เอ่ยชวนขึ้น “ไปดูหว่านวานกันเถอะ”
จวนกวนจวินโหวใหญ่โตมาก ขนาดทางเดินศิลาเขียวยังกว้างขวางกว่าของจวนสกุลหลีอย่างมาก ชะรอยว่าพวกองครักษ์มีระเบียบวินัยจนเคยชิน ถึงผู้เป็นนายไม่อยู่หลายเดือน บริเวณทางเดินก็ยังปัดกวาดสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะ
ขณะสองพี่น้องย่างเท้าไปตามทางเดิน เฉียวโม่พลันเอ่ยขึ้น “ที่นี่เป็นที่ที่น่าอยู่”
ไม่มีผู้อาวุโสชี้นิ้วสั่ง ไม่มีสตรีเรือนหลังชิงดีชิงเด่นกัน ถ้าหากน้องสาวใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จะต้องสุขใจกว่าสตรีส่วนใหญ่เป็นอันมาก
เฉียวเจาชะงักฝีเท้าหันไปมองพี่ชาย
แม้ว่าใบหน้าของเฉียวโม่จะเสียโฉมไปซีกหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาไม่ทำท่าเลี่ยงหลบปกปิดแม้แต่น้อยนิดแล้ว สายตาของเขาสงบนิ่งดุจสายน้ำสารทฤดู มุมปากแต้มรอยยิ้มอ่อนโยน “เขารู้แล้วใช่หรือไม่”
เฉียวเจาหน้าร้อนซู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ยามอยู่ต่อหน้าพี่ชายทีไร นางมักรู้สึกร้อนตัวอยู่หลายส่วน นางพูดอุบอิบขึ้นว่า “รู้แล้วเจ้าค่ะ”
สายตาของเฉียวโม่จับอยู่ที่สองแก้มซับสีแดงระเรื่อของเด็กสาว จากนั้นจึงกล่าวถามอย่างมีนัยลึกซึ้ง “น้องเจาคิดอย่างไร”
“หมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาแสร้งทำไขสือ
อันว่าจะพูดจาอะไรอย่ามั่นใจเกินไปนั้นไม่ผิดเลย ตอนนี้นางรู้สึกหน้าชาเหลือเกิน
เฉียวโม่หัวเราะขลุกขลัก “พี่ใหญ่เข้าใจแล้ว ดูทีว่าอีกไม่นานก็จะได้เจอน้องเจาทุกวันแล้วสินะ”
เฉียวเจาโดนกระเซ้าก็ขัดเขินอยู่บ้าง จึงเม้มปากบอกยิ้มๆ “นั่นก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ อย่างน้อยอีกสักพักข้าคงไม่ได้เจอพี่ใหญ่ไปนานระยะหนึ่งแล้ว”
แววตาของเฉียวโม่ไหววูบ เขาไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำนี้
เฉียวเจาที่อยากแบ่งปันความปีติยินดีกับพี่ชายย่อมไม่อมพะนำต่อ นางพูดเสียงค่อย “ท่านปู่หลี่ยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ”
ชั่วเสี้ยวขณะนี้คนสุขุมเฉกเฉียวโม่ยังตะลึงงันไป เขาเอ่ยเสียงหลง “จริงหรือ”
เฉียวเจาดึงแขนเสื้อของพี่ชายพร้อมกับพยักหน้าแรงๆ
เฉียวโม่ยกมือจะลูบผมนาง แต่มือเขาสั่นไปหมด สุดท้ายเขาทิ้งมือลงข้างลำตัว พร่ำพูดซ้ำๆ ว่า “ดีเหลือเกินจริงๆ”
ในดวงตาของเฉียวเจามีประกายน้ำวาวๆ “พี่ใหญ่ ท่านปู่หลี่ยังนึกถึงพี่อยู่เสมอนะ บอกให้พี่ใหญ่ไปหาท่านที่จยาเฟิง ท่านพูดว่ารอยแผลบนใบหน้าของพี่ใหญ่อาศัยยาขี้ผึ้งอย่างเดียวไม่มีทางหายดีได้ จำเป็นต้องขูดแผลออกแล้วค่อยกระตุ้นผิวให้สมานกันอีกทีเจ้าค่ะ”