หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 525
บทที่ 525
จวนกวนจวินโหวมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่พอดู สองพี่น้องจงใจเดินชะลอฝีเท้า ตอนไปถึงที่พำนักของเฉียวหว่าน เฉียวเจาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนใต้จบรอบหนึ่งคร่าวๆ แล้ว
“พี่ใหญ่…” เฉียวหว่านได้ยินเสียงก็ยกชายกระโปรงวิ่งมาหา นางเห็นเฉียวเจาแล้วอึ้งงันไป
เฉียวเจาเห็นนางแล้วนิ่งขึงไปเช่นกัน ไม่พบกันหลายเดือนน้องสาวคนเล็กกลับตัวสูงขึ้นไม่น้อย
ครั้นคิดถึงความสูงของตนเองในตอนนี้แล้ว แม่นางเฉียวพลันคับอกคับใจอยู่สักหน่อย
ชาวสกุลเฉียวของพวกนางล้วนมีเรือนกายสูง วันหน้าเฉียวหว่านต้องไม่ตัวเตี้ยเป็นแน่ ส่วนตัวนางนั้นดูท่าจะไม่ดี…
“ไฉนหว่านวานไม่พูดไม่จา” เฉียวโม่ลูบศีรษะนาง
เฉียวหว่านถึงดึงสติคืนมา นางกัดริมฝีปากเปล่งเสียงเรียก “พี่หลี”
เฉียวเจาอมยิ้มเอ่ยตอบ “ข้ารีบร้อนมาเลยไม่ได้นำของขวัญมาด้วย คราวหน้าชดเชยให้เจ้านะ”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้ามิใช่เด็กน้อยสักหน่อย” เฉียวหว่านปฏิเสธทันที นางกลอกตาพลางถาม “พี่หลี ท่านเดินทางไปพร้อมกับพี่เขยข้ากระมัง เหตุใดไม่เห็นพี่เขยข้าเลยเล่า”
“พี่เขยเจ้ามีธุระ น่าจะกลับมาตอนฟ้ามืด” เฉียวเจาเอ่ยตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด
เฉียวหว่านขมวดคิ้ว รู้สึกไม่วายว่าน้ำเสียงของคุณหนูหลีตรงหน้าผู้นี้แปลกๆ ชอบกล แต่ก็นึกไม่ออกว่าแปลกตรงใด สุดท้ายนางถอนใจเฮือกหนึ่ง “ยังนึกว่าประเดี๋ยวก็ได้เจอพี่เขยแล้วเสียอีก”
นางตัวสูงขึ้นแล้ว ยังโฉมงามกว่าเดิมด้วย พี่เขยเห็นแล้วต้องดีใจอย่างแน่นอน
เพลานี้เซ่าหมิงยวนซึ่งแม่นางน้อยเฉียวหว่านถามหากำลังยืนก้มหน้าอยู่ในห้องทรงพระอักษร เขารับรู้ได้ถึงแรงโทสะของโอรสสวรรค์
ฮ่องเต้หมิงคังมิได้ออกว่าราชการดุจเก่า บนพระวรกายสวมเสื้อคลุมธรรมดาๆ ตัวหนึ่งตามสบาย เขาจ้องมองสมุหราชเลขาธิการหลันซานด้วยสีหน้านิ่งเรียบดุจผิวน้ำ “หลันซาน ท่านเป็นคนแนะนำสิงอู่หยางให้แก่เรา ตอนนั้นบอกว่าอะไรนะ คนผู้นี้จงรักภักดีซื่อตรงสุจริต เป็นแม่ทัพที่ดีได้ แล้วตอนนี้เล่า สมคบคิดกับชาววอโค่ว รีดนาทาเร้นจนราษฎรลุกฮือขึ้นต่อต้าน ถึงขั้นเป็นชนวนให้ทหารก่อกบฏ ก้าวต่อไปใช่หรือไม่ว่าจะแย่งชิงแผ่นดินของเราแล้ว”
ฮ่องเต้หมิงคังตบโต๊ะทรงพระอักษรด้วยความพิโรธ สมุหราชเลขาธิการหลันซานคุกเข่าอยู่ที่โถงเบื้องล่างโขกศีรษะอย่างซื่อสัตย์ “กระหม่อมสมควรตายๆ กระหม่อมลืมเลือนไปว่าคนเราเปลี่ยนไปได้ เป็นกระหม่อมมีตาหามีแววไม่ อ่านคนไม่ปรุโปร่ง ฝ่าบาททรงโปรดลงทัณฑ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังเพ่งสายตามองหลันซานโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ ฝ่ายหลันซานก็ยอมทำได้ทุกอย่าง เขายกมือตบหน้าตนเองแรงๆ
ห้องทรงพระอักษรอันกว้างขวางในเวลานี้มีคนยืนเรียงแถวกันสลอน นอกจากเซ่าหมิงยวนกับหลันซาน ยังมีเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน รองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋า เสนาบดีกรมพิธีการซูเหอ กระทั่งผู้มีตำแหน่งสูงสุดของสามตุลาการได้แก่กรมอาญา สำนักตรวจการ และศาลยุติธรรมก็ยกขบวนกันมาอย่างพร้อมหน้า
ขณะนี้ทุกคนยืนร้อนๆ หนาวๆ อยู่ในห้องทรงพระอักษร ฟังเสียงตบหน้าดังฉาดๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
มาตรว่าเจ้าแผ่นดินของพวกเขาพระองค์นี้จะไม่เข้าประชุมขุนนางเช้าบ่อยๆ แต่มิใช่ฮ่องเต้อ่อนแอไร้ความสามารถพรรค์นั้น ถ้าทำให้ฮ่องเต้พิโรธจริงๆ ต้องเตรียมตัวเตรียมใจโดนเล่นงานไว้ทุกเมื่อ
ทว่า…แม้นทุกคนก้มหน้าลง แต่หางตาเหลือบไปมองหลันซานแวบหนึ่ง
เขามีตำแหน่งเป็นสมุหราชเลขาธิการของราชวงศ์นี้กลับตบหน้าตนเองได้โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีใดๆ ทั้งสิ้น ต่อให้อยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ก็ตามที มิใช่ว่าขุนนางทุกคนจะทำได้จริงๆ
สมดังคาดเมื่อได้ยินฮ่องเต้หมิงคังเอื้อนพระโอษฐ์อย่างเย็นชา “พอแล้ว เป็นถึงสมุหราชเลขาธิการ ตบปากตนเองเหมือนพวกบ่าวไพร่ หรือกลัวคนอื่นไม่พูดว่าเราเลอะเลือน”
หลันซานหยุดมือทันควัน เขาโขกศีรษะไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางอ่อนน้อมเจียมตนสุดประมาณ “กระหม่อมผิดไปแล้วๆ เพียงหวังว่าฝ่าบาทอย่าทรงพระพิโรธจนกระทบกระเทือนพระวรกายเพราะกระหม่อม ก็เป็นบุญของกระหม่อมแล้ว”
ทุกคนกลอกตาขึ้นอย่างระอาใจพร้อมเพรียงกัน
ประจบสอพลอได้ถึงขั้นเดียวกับสมุหราชเลขาธิการหลันนี้ พวกเขาขอยอมศิโรราบแล้ว
ฮ่องเต้หมิงคังก้มลงมองหลันซานที่อยู่เบื้องล่าง เห็นเรือนผมซึ่งมีผมขาวแซมประปรายหลุดลุ่ยลงมาเพราะก้มๆ เงยๆ ไม่หยุดจนแลดูทรุดโทรมเหลือหลาย ตรงกลางกระหม่อมยังผมบางจนปิดหนังศีรษะไม่มิด บันดาลให้เขาอดใจอ่อนลงหลายส่วนไม่ได้
นี่คือขุนนางเก่าแก่ที่ติดตามเขามายี่สิบกว่าปี เขายังจดจำได้ว่าในครั้งนั้นตนเคยทึ่งกับเส้นผมหนวดเคราที่ดกดำของหลันซาน สมกับฉายานามว่า ‘ท่านเครางาม’
ชั่วลัดนิ้วมือเดียวท่านเครางามในวันวานก็กลายเป็นชายชราศีรษะล้านวัยเกือบเจ็ดสิบ เห็นแล้วชวนให้ขอบตาร้อนผ่าว
ชีวิตคนแสนสั้น กาลเวลาไร้ความปรานี หมายครองแผ่นดินไปได้ชั่วกาลนาน การยึดถือการบำเพ็ญตบะสู่วิถีแห่งเซียนอย่างแน่วแน่ไม่สั่นคลอนนั้นถูกต้องแล้ว… ฮ่องเต้หมิงคังรำพึงรำพันอยู่ในใจ
บางทีอาจเพราะคิดไปถึงวิถีแห่งความเป็นอมตะ ไฟโทสะของฮ่องเต้หมิงคังจึงลดน้อยลงหลายส่วน เขายกมือขึ้น
เว่ยอู๋เสียขันทีตรวจฎีกาซึ่งยืนอยู่ข้างหลังฮ่องเต้ประหนึ่งมนุษย์ล่องหนอยู่ตลอดก็ยกเห็ดหูหนูขาวตุ๋นน้ำตาลที่อุ่นกำลังดีมาให้ทันทีทันใด
ฮ่องเต้หมิงคังดื่มให้ชุ่มคอแล้วกล่าวขึ้นเสียงเอื่อยๆ “พวกเจ้าทุกคนบอกมาสิว่าเรื่องของสิงอู่หยางจะเอาอย่างไรดี”
สีหน้าของหลันซานที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างไม่แปรเปลี่ยนสักนิด แต่ในใจเขาลอบโล่งอก
ตัวเขาผ่านด่านนี้ไปได้แล้วชั่วคราว สำหรับสิงอู่หยางนั้นคงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม
ฮ่องเต้หมิงคังบันดาลโทสะยกหนึ่งแล้วยกปัญหาน่าปวดเศียรเวียนเกล้าที่สุดขึ้นมาถาม บรรดาขุนนางในที่นั้นต่างก้มหน้าไม่กล่าววาจา
“ไฉนเงียบกันไปหมด” สีหน้าของฮ่องเต้หมิงคังขุ่นมัวมากยิ่งขึ้น
เราไม่ได้ชุบเลี้ยงเจ้าพวกนี้ไว้เป็นไม้ประดับฝาห้องนะ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ!
เหล่าขุนนางรู้สึกหนังศีรษะชาวาบๆ ต่างส่งสายตากันไปมา ในหัวมีความคิดแบบเดียวกันว่า พวกเจ้ารีบพูดสิ ขืนไม่พูดอีก ฮ่องเต้จะทรงพระพิโรธแล้วนะ!
“หือ?” ฮ่องเต้หมิงคังทำเสียงขึ้นจมูก
พวกขุนนางพากันขาสั่นพั่บๆ ตกลงใจเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่เป็นคนแรกที่ปริปากพูด
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงไมตรีระหว่างสิงอู่หยางกับสมุหราชเลขาธิการหลันซาน ผู้ที่พูดขึ้นเป็นคนแรก วันหน้าต้องโดนหลันซานตามอาฆาตไม่เลิกรา จุดสำคัญที่สุดคือความผิดของสิงอู่หยางถึงโดนประหารชีวิตด้วยวิธีแล่เนื้อเถือหนังยังนับเป็นโทษสถานเบา ทว่าเขาครองอำนาจในเขตฝูตงมานานปี หากใครกล่าวเสนอขึ้นจนบีบให้สิงอู่หยางก่อกบฏ ถึงเป็นโทษทัณฑ์ที่เหมาะสมดีแล้วก็ต้องโดนฮ่องเต้จ้องเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ดี
สายตาดุดันของฮ่องเต้หมิงคังมองกวาดทุกคนอย่างช้าๆ พลางยิ้มเยาะอยู่ในใจ
อย่านึกว่าเราไม่รู้ว่าเจ้าลูกเต่าพวกนี้คิดอย่างไร ไม่มีใครสักคนอยากแบกรับความรับผิดชอบน่ะสิ
แต่ละคนล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญของแผ่นดิน เป็นเสาหลักของราชสำนัก พวกเขาไม่รับผิดชอบแล้วอยากทำอะไร ไฉนทีเวลาเขาแบ่งปันโอสถทิพย์ให้กลับยื้อแย่งกันใหญ่เล่า
สุดท้ายฮ่องเต้หมิงคังหยุดสายตาที่ตัวโค่วสิงเจ๋อเสนาบดีกรมอาญา
โค่วสิงเจ๋อคือท่านตาของเฉียวเจานั่นเอง
“เสนาบดีโค่ว ตระกูลของบุตรเขยท่านมิได้ตายเพราะเหตุไม่คาดฝัน แต่ถูกคนสังหารและวางเพลิงเผาเรือน ไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไร”
โค่วสิงเจ๋อคุกเข่าลงทันที “กระหม่อมทูลขอให้ฮ่องเต้โปรดทรงลงทัณฑ์ฆาตกรสถานหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม คนที่เป็นฆาตกรมิใช่แค่หลี่จงอวี้เจ้าเมืองจยาหนาน ยังมีสิงอู่หยางที่พัวพันด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้นะ” ฮ่องเต้หมิงคังทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
โค่วสิงเจ๋อหลั่งเหงื่อเย็นเปียกจนซึมแผ่นหลัง ลอบคิดคำนึงว่าพวกตนต้องสั่งสมบุญกุศลมากี่ชาติกัน ถึงต้องมารับใช้ฮ่องเต้เอาพระทัยยากพระองค์นี้ นี่ฮ่องเต้จะบังคับให้เขาบอกบทลงโทษของสิงอู่หยางออกมาสินะ
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าถึงแม้จะมีสมุดบัญชีของผู้ตรวจการสิงที่พิสูจน์การกระทำทุจริตของสิงอู่หยางที่ยักยอกเบี้ยหวัดทหารและสมคบคิดกับชาววอโค่วได้ ทว่าเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวยังต้องให้สามตุลาการไต่สวนผู้ต้องสงสัยและเบิกตัวพยานมาให้การ จึงจะยืนยันได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิงอู่หยางหรือไม่กันแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังเหยียดมุมปาก
ตาเฒ่าผู้นี้โยนกลองได้มีชั้นเชิงดี
ฮึ แต่เรื่องโยนกลองนั้นจะมีใครโยนได้เก่งกว่าเรา!
“เสนาบดีโค่ว เราจำได้ว่าก่อนหน้านี้สั่งให้หลีกวงเยี่ยนรองเสนาบดีกรมอาญาไปสืบคดีที่จยาเฟิงกระมัง ตอนนั้นได้ผลสรุปออกมาว่าเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น!”
โค่วสิงเจ๋อปาดเหงื่อออก “ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังแค่นเยาะเสียงหนึ่ง เขามองไปทางรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋า “รองสมุหราชเลขาธิการสวี่ ท่านเห็นว่าสมควรลงโทษสิงอู่หยางอย่างไรดี”
สวี่หมิงต๋าใจกระตุกวูบ เขาใคร่ครวญก่อนตอบ “ตามหลักแล้วสิงอู่หยางมีความผิดมหันต์อย่างอภัยให้ไม่ได้ จะลงโทษอย่างไรก็ไร้ข้อโต้แย้ง เพียงแต่เขาอยู่ในเขตฝูตงมานานสร้างอำนาจจนหยั่งรากลึก หากจัดการได้ไม่ดี มีโอกาสสูงที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบ…”
จังหวะนี้เองผู้ตรวจการสิงเอ่ยปากขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”