หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 527
บทที่ 527
ฮ่องเต้หมิงคังกวาดตามองสีหน้าต่างๆ กันไปของเหล่าขุนนางแล้วพรูลมหายใจเบาๆ ออกมาเฮือกหนึ่งก่อนบุ้ยปากบอกเว่ยอู๋เสีย
เขากุลีกุจอตักเห็ดหูหนูขาวต้มน้ำตาลช้อนหนึ่งป้อนฮ่องเต้
ฮ่องเต้หมิงคังกลืนเห็ดหูหนูขาวต้มน้ำตาลลงคอแล้วอ้าปากกล่าว “ในเมื่อสิงอู่หยางถูกคุมตัวเข้าเมืองหลวงแล้ว พวกเจ้าสามตุลาการก็ไต่สวนให้ดีๆ ยังมีเจ้าพวกเหลือบไรที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดบัญชีสองเล่ม ครั้งนี้ต้องลากตัวออกมาทั้งหมดให้ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังมองเซ่าหมิงยวนปราดหนึ่งถึงกล่าวต่อ “ยังมีคดีเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวก็ต้องสืบให้กระจ่างอีกด้วย โดยเฉพาะเสนาบดีโค่วต้องถามรองเสนาบดีหลีผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าให้ได้ว่าสืบคดีประสาอะไรกันแน่!”
เหล่าขุนนางขานตอบประสานเสียงกัน ฮ่องเต้หมิงคังพยักหน้าหงึกหงักแล้วตวัดสายตามองเว่ยอู๋เสีย
ขันทีประจำพระองค์เข้าใจความหมาย รีบหมุนกายเข้าไปด้านในของตำหนัก ไม่นานนักก็ประคองถาดเงินด้วยสองมือออกมา
ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆ “เว่ยอู๋เสีย แจกจ่ายโอสถทิพย์ให้ทั่วๆ สิ”
มุมปากของพวกขุนนางกระตุกริกๆ
ฮ่องเต้หมิงคังพูดกลั้วเสียงหัวร่อในลำคอ “ยอดขุนนางทั้งหลายจะได้ลิ้มลองโอสถทิพย์ที่ราชครูคนใหม่สกัดออกมาว่าสรรพคุณเป็นเช่นไรพอดี”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางคุกเข่าลงขอบพระทัย
ฮ่องเต้หมิงคังนิ่งคิดแล้วเอ่ยสั่ง “คราวนี้กวนจวินโหวกับผู้ตรวจการสิงต้องลำบากเหน็ดเหนื่อยแล้ว เว่ยอู๋เสีย แบ่งให้พวกเขาคนละสองเม็ด”
พวกขุนนางลอบถอนใจโล่งอก
ขอบคุณฟ้าดิน มีพวกพ้องมาช่วยกันแบ่งเบาอีกสองคนยังคงดีกว่าเป็นไหนๆ
เจียงถังถือโอสถทิพย์ที่ได้มาใหม่แล้วอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา มีชนิดใหม่อีกแล้ว เห็นทีว่าเขาต้องส่งคนไปเชิญคุณหนูหลีซานมาอีกเช่นเคย
“เหตุใดรึ ยอดขุนนางทั้งหลายไม่ลองกินกันดูหรือ” ฮ่องเต้หมิงคังไล่สายตามองพวกเขาช้าๆ พร้อมกับพูดปลอบ “ไม่ต้องหักใจกินไม่ได้ เรายังมีอีก”
ขุนนางทั้งหลายต่างพูดอะไรไม่ออก “…” ขอตายดีกว่า!
สมุหราชเลขาธิการหลันซานกลืนโอสถทิพย์พรวดเดียวลงคอ จากนั้นโขกศีรษะให้ฮ่องเต้หมิงคังทีหนึ่งด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ฝ่าบาท โอสถทิพย์หนนี้มีสรรพคุณดียิ่ง ทันทีที่ล่วงผ่านลำคอก็ละลายเป็นน้ำรสหอมหวานดุจน้ำอมฤต ตอนนี้กระหม่อมรู้สึกอุ่นผะผ่าวไปทั่วแขนขาประหนึ่งอยู่กลางฤดูใบไม้ผลิ…”
ฮ่องเต้หมิงคังฟังคำพรรณนาชื่นชมของหลันซานแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ขณะที่ขุนนางทั้งหลายแอบกลอกตาขึ้น
กินโอสถทิพย์แล้วประหนึ่งอยู่กลางฤดูใบไม้ผลิอะไรกัน ที่นี่คือห้องทรงพระอักษร พวกเขายังไม่กินก็ร้อนจนเหงื่อแตกแล้ว!
เมื่อเห็นเหล่าขุนนางกินโอสถทิพย์แล้ว ฮ่องเต้หมิงคังพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาโบกมือพลางกล่าว “พวกเจ้าไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเถอะ ส่วนคดีของสิงอู่หยาง เราต้องการรู้ผลโดยไวที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”
ฮ่องเต้หมิงคังมองดูขุนนางทั้งหลายโค้งกายกล่าวลาถอยออกไปด้วยสีหน้านอบน้อมเจียมตนอย่างเฉยเมย หากแต่มุมปากมีรอยยิ้มแฝงเป็นนัยๆ ชอบกลผุดขึ้น เขาเอ่ยเสียงราบเรียบ “ท่านผู้บัญชาการเจียงอย่าเพิ่งไป”
เจียงถังชะงักเท้า
ห้องทรงพระอักษรที่กว้างโอ่โถงว่างโล่งในชั่วพริบตา
ฮ่องเต้หมิงคังถอนใจเฮือกหนึ่ง “พี่ถัง เรารู้สึกผิดหวังกับกององครักษ์จินหลินอยู่สักหน่อย”
เจียงถังคุกเข่าลง “กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังก้มลงมองเจียงถังทางเบื้องล่างพลางกล่าวทอดถอนใจว่า “ลุกขึ้นเถอะ ตอนนี้มิใช่เวลาประชุมขุนนาง แล้วก็ไม่มีคนนอก พี่ถังจะคุกเข่าด้วยเหตุใดกัน”
“กระหม่อมมีฐานะเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน กลับไม่ล่วงรู้เรื่องที่กององครักษ์จินหลินประจำฝูตงถูกสิงอู่หยางซื้อตัวแม้แต่น้อยนิด เป็นกระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ ฝ่าบาทโปรดทรงลงอาญาด้วย” เจียงถังคุกเข่านิ่งๆ ไม่ขยับ เขาขอรับโทษทัณฑ์ด้วยท่าทางจริงใจ แต่ในใจก่นด่าสิงอู่หยางยกใหญ่
ฮ่องเต้สนใจเรื่องวิถีแห่งความเป็นอมตะมากกว่า ถ้ามิใช่ผู้ตรวจการสิงเจ้าคนบัดซบนั่นเสนอหน้าเอ่ยเตือนขึ้น มีหรือจะรั้งตัวเขาเอาไว้โดยเฉพาะ โดนด่าทอสองคำก็แล้วกันไปเถอะ ถ้าเกิดฮ่องเต้หุนหันพลันแล่นขึ้นมาพระราชทานโอสถทิพย์ให้เขาอีกหลายเม็ด ซ้ำจะดูเขากินเข้าไป อย่างนั้นเขาคงต้องร้องไห้แล้ว
“ลงโทษอะไร ลงโทษท่านแล้วใครจะเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินให้เรา” ฮ่องเต้หมิงคังไต่ถามเสียงเอื่อยๆ
“กระหม่อมละอายใจนัก” เจียงถังก้มหน้าลง ตรงกลางอกมีไออุ่นไหลรินผ่าน
จะว่าไปแล้ว ฮ่องเต้ดีต่อข้าอย่างยิ่งยวด
“พี่ถังลุกขึ้นพูดกันเถอะ”
เจียงถังลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย
ฮ่องเต้หมิงคังมิได้ซักไซ้ไล่เลียงเรื่องกององครักษ์จินหลินประจำฝูตงต่ออีกอย่างเหนือความคาดหมายของเขา หากแต่เอ่ยถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “พี่ถังเห็นว่าผู้บัญชาการมณฑลทหารฝูตง ใครเป็นผู้เหมาะสมจะรับตำแหน่งนี้”
เจียงถังใจกระตุกวูบ เงาร่างคนผู้หนึ่งวาบเข้ามาในหัวสมองกะทันหัน
พิจารณาจากคุณงามความชอบทางการทหาร อำนาจบารมี และความสามารถเฉพาะตัว ผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารฝูตงที่สุดต้องยกให้กวนจวินโหว
ทว่าฮ่องเต้ถามเขาเรื่องนี้กลับน่าสนใจเสียแล้ว
ผู้ที่เหมาะสมที่สุดก็เห็นกันเป็นที่ประจักษ์แก่ตา แต่ฮ่องเต้ยังไต่ถามความเห็นของเขา เท่าที่เขารู้จักนิสัยของฮ่องเต้นี่บ่งบอกว่าฮ่องเต้ลังเลใจที่จะใช้งานกวนจวินโหวอยู่บ้าง
เจียงถังขบคิดเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้งถึงความคิดในใจของฮ่องเต้หมิงคัง
กวนจวินโหวดีเลิศเกินไป ทั้งยังมีบารมีอยู่ทางทิศเหนืออย่างที่ไม่มีผู้ใดเกินหน้าเขาได้ ถึงขั้นมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่าราษฎรแดนเหนือรู้แค่ว่ามีกวนจวินโหว ไม่รู้ว่ามีฮ่องเต้หมิงคัง
ยามนี้การศึกทางเหนือเพิ่งยุติลง ฮ่องเต้ย่อมยินดีที่ได้เห็นกวนจวินโหวอยู่อย่างสงบเสงี่ยมสักสองสามปี เป็นการถ่วงดุลอำนาจจากการที่เขาครองความเป็นใหญ่ผู้เดียวในแดนเหนือมานาน หากส่งกวนจวินโหวไปฝูตง ผ่านไปไม่กี่ปีถ้าเขากลายเป็นสิงอู่หยางคนที่สองจะทำประการใด
ถึงตอนนั้นเมื่อกวนจวินโหวมีอำนาจบารมีหาผู้ใดเทียบได้ทั้งทิศเหนือทิศใต้ ก็จะไม่มี ‘กวนจวินโหว’ อีกคนแฝงกายเข้าฝูตงจับกุมเขาส่งตัวมาให้ถึงมือโอรสสวรรค์แล้ว
แทนที่จะเลือกคนเก่งที่สุดซึ่งจะก่อให้เกิดสถานการณ์ยากต่อการควบคุมในอนาคต มิสู้เลือกคนเก่งชั้นรองเป็นการป้องกันปัญหานี้จะดีกว่า
“พี่ถังเห็นว่ากวนจวินโหวเป็นอย่างไร” ฮ่องเต้หมิงคังถามหยั่งเชิง
“กวนจวินโหวย่อมเก่งกล้าสามารถไม่เป็นสองรองใคร แต่กระหม่อมเห็นว่าโยกย้ายเขาไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารฝูตงหาได้เหมาะสมไม่พ่ะย่ะค่ะ” เจียงถังคาดคะเนความคิดในใจของฮ่องเต้ออกแล้วกล่าวตอบเช่นนี้
รอยยิ้มจุดวาบขึ้นในดวงตาฮ่องเต้หมิงคัง เจียงถังลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
ดูทีว่าเดาถูกแล้ว
“อืม พี่ถังเห็นว่ากวนจวินโหวไม่เหมาะสมหรือ จะบอกเราได้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาไม่เหมาะสม”
“กราบทูลฝ่าบาท กวนจวินโหวออกรบอยู่ทางทิศเหนือตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่ม คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของทางนั้น แต่ลมฟ้าอากาศและวิถีชีวิตผู้คนของฝูตงผิดแผกจากแดนเหนือไกลลิบ นิสัยและความเคยชิน อีกทั้งจุดแข็งในการทำศึกของนักรบก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนที่เป็นผู้บัญชาการทัพสูงสุดในความเห็นกระหม่อมนั้น เรื่องความเก่งกล้าสามารถเฉพาะตัวไม่สำคัญเทียบเท่ากับประสบการณ์อันโชกโชน ดังนั้นกระหม่อมเห็นว่ากวนจวินโหวไม่ใคร่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำของเจียงถังเป็นที่พึงใจของฮ่องเต้หมิงคังอย่างชัดเจน เขาหัวเราะเบาๆ “ฮ่าๆ พี่ถังพูดได้มีเหตุผลอยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวเราจะเรียกตัวขุนนางทั้งหกกรมเก้ากองมาประชุมหารือกันอีกทีเถอะ”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ” เจียงถังลอบโล่งใจ
ผ่านด่านจนได้ เขาต้องรีบไปพบหน้าคุณหนูหลีซานสักหน่อย ดูว่าโอสถทิพย์ที่ราชครูคนใหม่สกัดออกมากินแล้วตายหรือไม่
“เว่ยอู๋เสีย…” ฮ่องเต้หมิงคังส่งเสียงเรียก
ได้ยินเสียงเรียกนี้เจียงถังเข่าอ่อนแทบทรุดลงคุกเข่า
เว่ยอู๋เสียเดินมาถึงข้างกายเขาแล้ว
ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวด้วยรอยยิ้มกริ่ม “เมื่อครู่อยู่ต่อหน้าคนมากมายอย่างนั้น เราจะมอบให้ท่านคนเดียวก็กระไรอยู่ โอสถทิพย์หลายเม็ดนี้พี่ถังนำกลับเรือนไปกินเถอะ เพิ่งออกจากเตาเลยนะ”
เจียงถังแทบกระอักโลหิตออกมา เขากล้ำกลืนมันกลับลงไปเงียบๆ พลางรับโอสถทิพย์ไว้ด้วยสีหน้าซาบซึ้งบุญคุณแล้วอำลากลับไป
พอเจียงถังไปแล้วฮ่องเต้หมิงคังหุบยิ้ม กลับไปที่หน้าโต๊ะทรงพระอักษรแล้วเขียนตัวอักษรสามตัวว่า ‘สิงอู่หยาง’ บนพื้นโต๊ะ จากนั้นยกมือลบทิ้งแล้วค่อยเขียนอีกสามตัวว่า ‘กวนจวินโหว’
เขาเพ่งมองตัวอักษรสามตัวที่เขียนใหม่เป็นนานถึงถอนใจเฮือกหนึ่ง
กวนจวินโหวของเขาผู้นี้ช่างหนุ่มแน่นจริงๆ
“เว่ยอู๋เสีย กวนจวินโหวลงใต้ไปหนนี้เพื่อเซ่นไหว้ครอบครัวของพ่อตาหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียหยั่งเดาความหมายที่แฝงอยู่ในคำถามนี้ของฮ่องเต้ไม่ออก เขาจึงตอบตามความเป็นจริง
ฮ่องเต้หมิงคังพยักหน้าเนิบๆ แววตาทอประกายล้ำลึกยามกล่าวรำพึง “กลับเป็นบุตรเขยที่ดีผู้หนึ่ง”