หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 528
บทที่ 528
อีกด้านหนึ่งเจียงถังกลับถึงที่ว่าการกององครักษ์จินหลินก็เตะเก้าอี้ตัวหนึ่งจนกระเด็นไป
เจียงสืออีรับเก้าอี้ไว้แล้ววางลงด้วยสีหน้าเฉยเมย
“สืออี ไปเชิญคุณหนูสามสกุลหลีมาหาข้า”
เจียงสืออีไม่ขยับกาย
เจียงถังขมวดคิ้ว เจ้าคนทึ่มเป็นตอไม้ผู้นี้คิดอะไรอยู่
“ท่านพ่อบุญธรรม เวลานี้คุณหนูสามสกุลหลีอยู่ที่จวนกวนจวินโหวขอรับ”
ดวงตารียาวของเจียงถังหรี่ลงมองเจียงสืออีอย่างครึ้มใจครามครัน น้ำเสียงของเขาแฝงนัยชอบกล “สืออีสนใจความเคลื่อนไหวของคุณหนูสามสกุลหลีดีนี่”
สวรรค์! บุตรบุญธรรมที่ทึ่มทื่อเป็นตอไม้ของข้าผู้นี้หูตาสว่างแล้วในที่สุด หากคว้าคุณหนูสามสกุลหลีมาเป็นภรรยาได้จริงๆ นี่ก็หมายความว่าข้าไม่ต้องกังวลใจเรื่องโอสถทิพย์อีกแล้วใช่หรือไม่
เจียงสืออีมีสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง เพียงรู้สึกว่าเจียงถังพูดจาแปลกๆ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใด “ก็ท่านพ่อบุญธรรมใส่ใจความเคลื่อนไหวของคุณหนูสามสกุลหลีมาโดยตลอดมิใช่หรือขอรับ”
เจียงถังปรายตามองเขาแล้วสุดท้ายก็ถอดใจ เขาเผลอตั้งความหวังกับเจ้าตอไม้นี่ได้อย่างไร
“เอาล่ะ ส่งคนเฝ้าดูต่อไป รอคุณหนูสามสกุลหลีออกจากจวนกวนจวินโหวแล้วเชิญนางมาที่นี่”
“ขอรับ” เจียงสืออีขานรับคำหนึ่งก่อนตั้งท่าเตรียมจะถอยออกไป
เจียงถังคิดๆ แล้วส่งเสียงเรียก “ประเดี๋ยวก่อน เอาเป็นวันพรุ่งนี้เถอะ วันนี้เป็นเวลาไม่เช้าแล้ว”
เจียงสืออีหยุดฝีเท้าพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
เขาก้าวเท้าต่อจะเดินออกไปข้างนอก เจียงซือหร่านก็วิ่งฉิวเข้ามาราวกับพายุหมุนจนเกือบชนเข้ากับตัวเขา
เจียงสืออีเบี่ยงกายออกด้านข้างเงียบๆ ส่งผลให้เด็กสาวตัวเซถลาไปข้างหน้า นางยื่นมือเกาะมุมโต๊ะไว้ถึงไม่หกล้ม
เจียงซือหร่านยืนตัวตรงแล้วกระทืบเท้าอย่างโมโห “พี่สืออี ท่านจะจับข้าไว้สักหน่อยไม่ได้หรือ”
เขาลูบๆ จมูกไม่เปล่งวาจาใด
เจียงซือหร่านกัดริมฝีปากพลางถลึงตาใส่เจียงสืออีอย่างดุดันและเดินไปหาบิดา เห็นได้ชัดว่านางเคยชินเสียแล้ว
“ท่านพ่อ ข้าได้ยินว่าพวกกวนจวินโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
เจียงสืออีมิได้รั้งอยู่ต่อ เขาเดินออกนอกห้องไปเลย
“หร่านรานได้ข่าวไวมาก” เจียงถังยิ้มตาหยีกล่าวขึ้น
เจียงซือหร่านจับแขนเสื้อของบิดาแกว่งไปแกว่งมา “ท่านพ่อ ท่านบอกมาสิว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่ พวกเขากลับมาแล้ว”
“หลีซานผู้นั้นก็กลับมาแล้วเหมือนกัน?” นางไต่ถาม
เจียงถังพยักหน้าเล็กน้อย
“นางนำยากลับมาแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ”
เจียงถังยกยิ้ม “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แจ่มแจ้งแล้ว”
เจียงซือหร่านผลักตัวบิดา “ท่านเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน จะไม่แจ่มแจ้งได้อย่างไรกัน”
เจียงถังมองบุตรสาวอย่างจนปัญญา เขาเริ่มรู้สึกปวดศีรษะตงิดๆ
แม้นเขาจะเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน แต่รับผิดชอบดูแลการข่าวนอกวังเป็นหลัก ไม่อาจยื่นมือก้าวก่ายเรื่องในวัง ถึงกระนั้นก็ตามทีต่อให้เป็นข่าวคราวนอกวังเขาก็มิใช่เทพเซียน ไหนเลยจะรู้อะไรๆ ไปหมดทุกเรื่องได้
บุตรสาวผู้นี้ของเขานึกว่ากององครักษ์จินหลินเก่งกาจมากเกินไปแล้ว
“เอาเถอะ ในเมื่อท่านไม่แจ่มแจ้ง ข้าเข้าวังไปถามเจินเจินเอง” เจียงซือหร่านพูดทิ้งท้ายไว้คำเดียวก็ออกไปอย่างรีบเร่ง
ในจวนกวนจวินโหว เพราะเฉียวหว่านอยู่ด้วย มีหลายๆ เรื่องที่เฉียวเจาพูดได้ไม่ถนัด นางจึงเริ่มเล่าสิ่งต่างๆ ที่ประสบพบเห็นในแดนใต้ไปตามสบาย
เฉียวหว่านรับฟังด้วยสายตาวาววับ ตอนได้ยินเฉียวเจาเอ่ยถึงรสชาติที่เผ็ดเปรี้ยวหอมอร่อยของเส้นหมี่น้ำพะโล้ที่ตำบลไป๋อวิ๋น นางอดกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้ “เส้นหมี่น้ำพะโล้ร้านนั้นข้าก็เคยกินเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาอมยิ้มมองนาง
ดวงตาของแม่นางน้อยเป็นประกายระยับคลับคล้ายกำลังหวนรำลึกถึงรสชาติของเส้นหมี่น้ำพะโล้ “ครั้งแรกที่ข้ากลับจยาเฟิง พี่เจาของข้าพาข้าไปกิน”
นางหันหน้าไปทางเฉียวโม่พลางกระตุกแขนเสื้อเขา “พี่ใหญ่ ตอนนั้นท่านก็อยู่ด้วยนะ ยังจำได้หรือไม่เจ้าคะ”
“จำได้” เฉียวโม่ลูบศีรษะน้องสาวคนเล็กอย่างเอ็นดู
“เส้นหมี่น้ำพะโล้อร่อยเหลือเกินจริงๆ แต่ข้ากินเผ็ดมากไปไม่ไหว แสบคอแทบไหม้เลย พี่เจายังบอกว่าจะพาข้าไปกินซาลาเปาน้ำแกง น่าเสียดายที่ท่านปู่ล้มป่วยเลยไม่ได้ไป…” แม่นางน้อยพูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงของนางก็หม่นหมองลง
ภายหลังนางกลับไปที่จยาเฟิงอีกหน พี่เจาออกเรือนไปแล้ว จากนั้นไม่นานท่านปู่ก็ล่วงลับ…
พอคิดถึงเรื่องน่าเสียใจ เฉียวหว่านก้มหน้าลงอย่างหดหู่เซื่องซึม
เฉียวเจามองดูดรุณีน้อยทำหน้าเศร้าก็บีบแก้มยุ้ยๆ ของนาง “รอหว่านวานโตขึ้น ข้าพาเจ้ากลับไปที่จยาเฟิงกินซาลาเปากับเส้นหมี่น้ำพะโล้ได้”
ท่านปู่หลี่ลงหลักปักฐานที่จยาเฟิง ส่วนรากเหง้าของพวกนางก็อยู่ที่จยาเฟิง เซ่าหมิงยวนน่าจะกลับไปเป็นเพื่อนนางได้บ่อยๆ
เฉียวหว่านกัดริมฝีปาก พูดเสียงอุบอิบว่า “นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร”
นางอยากกินเส้นหมี่น้ำพะโล้กับพี่ชายพี่สาวอย่างอบอุ่นพร้อมหน้า ส่วนพี่หลีจะอย่างไรก็เป็นคนนอก เทียบกับพี่เจาไม่ได้
เฉียวเจากับเฉียวโม่ได้ยินคำพูดของเฉียวหว่านอย่างชัดเจน สองพี่น้องสบตากันแล้วต่างคลายยิ้มอย่างจนใจ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เรื่องบางเรื่องพวกเขาจำต้องปิดบังเฉียวหว่านไปชั่วชีวิต
“ท่านแม่ทัพ กลับมาแล้วหรือขอรับ”
ในยามนี้เองเสียงขององครักษ์ดังลอยมา
สามพี่น้องหันหน้าไปพร้อมกันก็เห็นเซ่าหมิงยวนในชุดสีดำสนิทสาวเท้าก้าวยาวเดินเข้ามาอย่างเร็วรี่
เฉียวหว่านตาเป็นประกาย วิ่งทะยานเข้าไปหาเขา “พี่เขย ท่านกลับมาได้เสียที…”
เซ่าหมิงยวนก้มตัวลงประคองนางไว้ เขาแย้มยิ้มอ่อนโยน “หว่านวานตัวสูงขึ้นแล้ว”
เขาพูดกับเฉียวหว่าน แต่สายตาจับจ้องที่ตัวเฉียวเจาซึ่งตามมาข้างหลังนาง
ดรุณีน้อยยังคงคึกคักตื่นเต้นสุดจะกล่าว “พี่เขย ท่านดูสิว่าข้ายังผิวขาวขึ้นด้วยหรือไม่เจ้าคะ พักนี้ข้าอยู่ในห้องท่องตำราคัดลายมืออย่างขยันขันแข็งตลอดเลยนะ”
“ใช่ หว่านวานไม่เพียงตัวสูงขึ้น ยังโฉมงามขึ้นด้วย” เซ่าหมิงยวนพูดชมตามปากพาไป
เฉียวหว่านปีติยินดีเหลือหลาย
เสียงพูดเอื่อยๆ ของเฉียวโม่ดังขึ้น “หว่านวาน อย่ารบกวนพี่เขยเจ้า เขายังมีงานอีกมาก”
“อื้อ” แม่นางน้อยสะกดความคึกคักตื่นเต้นเต็มอกไว้ พอสังเกตเห็นสายตาของเซ่าหมิงยวนมองไปที่เฉียวเจาตลอดก็ยื่นมือไปจับมือนางไว้ “พี่หลี พวกเราไปเล่นในสวนดอกไม้กันเถอะ พี่ใหญ่กับพี่เขยไม่ว่าง”
พี่เขยจากไปตั้งนานถึงเพียงนี้ไม่คิดถึงพี่ใหญ่กับนางบ้างหรือ เหตุใดเอาแต่จ้องมองพี่หลีไม่วางตา
เฉียวโม่ตบตัวน้องสาวคนเล็กเบาๆ “หว่านวานไปเล่นเองนะ พวกข้าล้วนไม่ว่าง”
นางทำปากยื่นอย่างน้อยใจ “พี่ใหญ่ลำเอียง!”
พอเห็นดรุณีน้อยวิ่งออกไปอย่างงอนโกรธ เฉียวโม่ก็โคลงศีรษะขันๆ “เด็กผู้นี้ไม่รู้จักโตเสียทีจริงๆ”
เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “หว่านวานยังเล็กอยู่ พวกเด็กก็เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ”
เขาพูดอย่างนี้พร้อมกับอมยิ้มมองไปที่เฉียวเจา
นางค้อนเขาวงหนึ่งแล้วเดินด้วยฝีเท้าเร็วรี่เข้าไปหา “เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเจาดูออกว่าเขากลับมาอย่างเร่งรีบ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมเป็นเม็ดๆ จนทั่ว อยู่ใกล้ๆ ยังได้ยินเสียงหอบหายใจดังกว่าปกติเล็กน้อย
“พอฝ่าบาททรงทราบว่าพวกข้าพาสิงอู่หยางกลับมาก็มีพระบัญชาให้สามตุลาการไต่สวนอย่างละเอียด รวมถึงคดีเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวก็จะสอบสวนทวนความด้วยพร้อมกัน ข้านับเป็นพยานในครั้งนี้ ตอนนี้ยังต้องรีบรุดไปที่นั่น แต่กลัวเจ้ากับพี่เฉียวโม่รอจนร้อนใจ เลยกลับมาบอกกล่าวพวกเจ้าสักคำก่อน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ส่งคนกลับมาบอกก็สิ้นเรื่องมิใช่หรือ” เฉียวเจาพูดเอ็ดเขา
เซ่าหมิงยวนขยับมือตั้งท่าจะจับปอยผมที่โดนลมตีจนยุ่งของนางเหน็บเข้าหลังหูให้ แต่นึกได้ว่าเฉียวโม่จ้องมองอยู่ด้านข้างตาเขม็ง เขาจึงอยู่นิ่งๆ ไม่กล้ายื่นมือออกไป
เขาเปิดยิ้มอ่อนโยนส่งให้สตรีในดวงใจ สายตาทอแววอ่อนละมุนหวานซึ้ง “ข้ากลับมาบอกด้วยตนเอง พวกเจ้าจะสบายใจได้มากกว่าไม่ใช่หรือ”
“อะแฮ่ม” เฉียวโม่กระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่ง
ยังไม่ได้แต่งงานกันก็เกี้ยวพานน้องสาวข้าต่อหน้าต่อตาข้าแล้ว เห็นข้าเป็นคนตายจริงๆ รึ
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาอย่างอาลัยอาวรณ์แวบหนึ่งแล้วกลับมาวางท่าทางจริงจังดังเก่า เขาเอ่ยกับเฉียวโม่ว่า “พี่เฉียวโม่ ข้าจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้แล้ว วันนี้สามตุลาการน่าจะเรียบเรียงบันทึกคดีกันทั้งคืน ข้าไปดูว่าเรื่องสิงอู่หยางสมคบกับชาววอโค่วกับเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวดำเนินการพร้อมกันหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนรีบกลับมาพบหน้าเฉียวเจาแล้วก็รีบออกไปอีก ทิ้งให้เฉียวโม่อยู่กับน้องสาวด้วยจิตใจที่สับสนปนเปเป็นพิเศษ