หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 531
บทที่ 531
หลังจากชุลมุนวุ่นวายจนหัวหมุนยกหนึ่ง ทุกคนพากันนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ด้วยสีหน้าเลื่อนลอยว่างเปล่า
บันทึกต่างๆ ที่เรียบเรียงขึ้นในวันนี้ถูกเผาจนเกลี้ยง หากที่สำคัญที่สุดคือสมุดบัญชีสองเล่มยังมอดไหม้ไม่เหลือซาก รอเมื่อฟ้าสางแล้ว พวกเขาจะทูลอธิบายกับฮ่องเต้เช่นไร
“ตกลงว่าเหตุไฟไหม้ครานี้เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่” โค่วสิงเจ๋อเสนาบดีกรมอาญาซึ่งได้เสนาบดีศาลยุติธรรมช่วยกดจุดเหรินจงแรงๆ จนฟื้นสติขึ้นแล้วราวกับแก่ชราไปนับสิบปี เขาเอ่ยถามอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
ภายในห้องเงียบเหมือนป่าช้า
“พูด!” โค่วสิงเจ๋อตบโต๊ะดังปัง
ขุนนางหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวอย่างระมัดระวัง “พวกข้ากำลังทำงานกันอยู่ มีเสมียนคนหนึ่งนำอาหารมื้อดึกมาให้พวกข้าตามคำสั่งท่าน ข้ากินหมดแล้วหลับไปเมื่อใดก็สุดรู้…”
คนอื่นๆ พากันผสมโรงขึ้น “ข้าก็เช่นกัน กินอาหารมื้อดึกไปแล้วดูเหมือนจะหลับไปทันที ตื่นขึ้นมาอีกทีก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว…”
เสนาบดีศาลยุติธรรมกับข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายของสำนักตรวจการนครหลวงหันไปมองโค่วสิงเจ๋อพร้อมกัน
ฟังจากถ้อยคำของขุนนางพวกนี้เดาได้ไม่ยากว่าอาหารมื้อดึกพวกนั้นน่าจะมีปัญหา
มือของโค่วสิงเจ๋อสั่นเทิ้มไปหมด เขากล่าวอย่างฉุนเฉียว “เสมียนอะไรกัน ตอนนั้นข้านอนหลับอยู่แล้วจะสั่งให้คนส่งอาหารมื้อดึกไปให้พวกเจ้าได้อย่างไร หรือพวกเจ้าไม่ใช้หัวคิดกันบ้างเลยใช่หรือไม่”
คนทั้งกลุ่มถูกดุด่าก็ก้มหน้าลง ถึงอยากโต้แย้งก็ไม่กล้า
ตอนนั้นพวกเขาง่วงงุนจนจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว ซ้ำยังท้องร้องไม่หยุด ใครจะคาดคิดได้ว่าเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่มาส่งอาหารมื้อดึกจะมีปัญหา ที่นี่เป็นถึงที่ว่าการกรมอาญา หาใช่ร้านน้ำชาหอสุราไม่
“แล้วพวกเจ้ายังจำหน้าเสมียนคนนั้นได้หรือไม่”
ทุกคนก้มหน้าต่ำมากขึ้นในทันที
“เป็นใบ้กันไปหมดแล้วรึ” โค่วสิงเจ๋อสูงวัยมากแล้ว พอบันดาลโทสะก็ชักหน้ามืดวิงเวียน เขาไม่อาจไม่บังคับตนเองให้ใจเย็นลง
ให้ข้าใจเย็น…ผายลมน่ะสิ ใครจะใจเย็นได้เล่า พอฮ่องเต้รู้เรื่อง ต้องตัดคอพวกข้าแน่!
“ใต้เท้า เสมียนคนนั้นก้มหน้าอยู่ตลอด ตอนนั้นข้าไม่ได้สังเกต…”
“ไม่ได้สังเกต? ข้าว่าตอนนั้นพวกเจ้ามัวแต่ห่วงกินกระมัง” โค่วสิงเจ๋อโมโหจนหนวดกระดิก
เสนาบดีศาลยุติธรรมถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “เสนาบดีโค่ว มาคิดกันดีกว่าว่าจะสะสางปัญหาที่ตามมาอย่างไร”
เขาพูดแล้วสบตากับข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย สายตาของพวกเขาฉายแววจนใจเต็มที
สมุดบัญชีโดนไฟไหม้ในที่ว่าการกรมอาญา พวกเขาอาจมีส่วนต้องรับผิดชอบน้อยกว่า แต่ก็น้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พวกเขาสามตุลาการร่วมกันไต่สวนคดีนี้ เมื่อเกิดปัญหาไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ได้อยู่เป็นสุข
“เวลานี้เสมียนคนนั้นต้องไม่อยู่ในที่ว่าการแล้วแน่นอน ข้าคิดว่าอย่าสิ้นเปลืองเวลาไปกับเขาในตอนนี้เลย” เสนาบดีศาลยุติธรรมกล่าว
“เช่นนั้นสมุดบัญชีที่โดนเผาทำลายไปสมควรจะอธิบายอย่างไรดี” ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายเอ่ยถาม
เสนาบดีศาลยุติธรรมมองโค่วสิงเจ๋ออย่างพินิจ “เสนาบดีโค่ว พวกเราไปสนทนากันที่ห้องด้านข้างเถอะ”
ขุนนางตำแหน่งสูงสุดของสามตุลาการไปปรึกษาหารือที่ห้องด้านข้าง
“เสนาบดีโค่ว ท่านเห็นว่าควรจะทูลอธิบายต่อฝ่าบาทเช่นไร” เสนาบดีศาลยุติธรรมเอ่ยปากถามขึ้น
โค่วสิงเจ๋ออ้าปากออก แต่จู่ๆ ก็ยกมือกุมหน้าผาก “ปวดศีรษะเหลือเกิน พอแก่ชราลงก็ไม่มีอะไรดีเลย”
อีกสองคนอึ้งงัน “…” ทำกันอย่างนี้ไม่ได้นะ ใครกำหนดว่าคนแก่สามารถไร้ยางอายได้?
“เสนาบดีจางมีความคิดเห็นอะไรหรือไม่” โค่วสิงเจ๋อถามพลางมองไปนอกหน้าต่าง เขาพูดพึมพำว่า “จวนฟ้าสว่างแล้ว”
มุมปากของเสนาบดีจางกระตุกริก ไฉนกลายเป็นเรื่องของเขาไปเสียแล้ว
แน่นอนว่าหากคิดวิธีแก้ไขไม่ออก ใครก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้น ทั้งสามคนลงเรือลำเดียวกันแต่แรกอยู่แล้ว
เสนาบดีจางพูดอย่างอ้อมค้อม “ภัยธรรมชาติรับฟังได้มากกว่าเป็นฝีมือมนุษย์นะ”
เมื่อก้าวมาถึงตำแหน่งฐานะในตอนนี้ของพวกเขา เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดอย่างชัดเจนเกินไป คำเดียวก็เข้าใจปรุโปร่งแล้ว
หากบอกว่าเหล่าขุนนางสืบสวนคดีกันตลอดคืนแล้วหลับไปด้วยความง่วงงุน ไม่ทันระวังทำตะเกียงน้ำมันล้มลงจนไฟลุกไหม้สมุดบัญชียังฟังเข้าท่ากว่าการบอกว่ามีคนปะปนเข้ามาในกรมอาญาแล้ววางยาสลบพวกขุนนางเป็นกอง
อย่างแรกปัดให้เป็นอุบัติเหตุไปเสีย ส่วนอย่างหลังมีเรื่องที่ต้องสืบสาวมากมาย
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยเป็นใครมาจากที่ใดกันแน่ หากเป็นคนนอกแล้วปะปนเข้ามาในที่ว่าการกรมอาญาได้อย่างไร ทหารยามพวกนั้นล้วนเป็นของตั้งประดับไว้ดูเล่นใช่หรือไม่ แต่ถ้าเป็นคนของกรมอาญาจริงๆ เช่นนั้นใครเป็นคนเสนอชื่อเสมียนคนนี้เข้ามาในกรมตอนแรก แล้วเขาถูกใครบงการให้มาทำเรื่องเช่นนี้
อีกอย่างตอนนี้เสมียนอยู่ที่ใด ถ้าหาตัวออกมาไม่ได้ แสดงว่าความสามารถของพวกเขาเหล่านี้มีปัญหาใช่หรือไม่
จากจุดนี้จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกเป็นพรวน เท่านี้ก็ทำให้ฮ่องเต้ปลดพวกเขาสามคนออกจากตำแหน่งแล้ว
“ใต้เท้าทั้งสองเห็นเป็นอย่างไร” เสนาบดีจางเอ่ยถามหยั่งเชิง
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายมีสีหน้านิ่งสนิทดุจผิวน้ำ เขาครุ่นคิดเป็นนานถึงเอ่ยขึ้น “ต่อให้เป็นภัยธรรมชาติ เกรงว่าฝ่าบาทยังคงพิโรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ดี”
“นั่นก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้” เสนาบดีจางกล่าวทอดถอนใจ พวกเขาต้องเคราะห์ร้ายเป็นแน่แท้แล้ว เพียงว่าเคราะห์ร้ายมากหรือน้อย
“เสนาบดีโค่ว ท่านคิดเห็นเช่นไร”
โค่วสิงเจ๋อหลับตาไม่ปริปาก
มุมปากของเสนาบดีจางกระตุกริก เขาลงเสียงหนักขึ้น “เสนาบดีโค่ว!”
หรือว่าตาเฒ่าผู้นี้หลับไปแล้ว
โค่วสิงเจ๋อถึงลืมตาขึ้น เขากวาดตามองสหายร่วมรบสองคนแล้วกล่าวเสียงขรึม “มิสู้เชิญกวนจวินโหวมาที่นี่ ดูว่าจะมีวิธีหรือไม่เถอะ”
“สมุดบัญชีถูกเผา เชิญกวนจวินโหวมาจะมีประโยชน์อันใด” เสนาบดีจางไม่เข้าใจเจตนาของเขา
การที่โค่วสิงเจ๋อนึกไปถึงเซ่าหมิงยวนผู้เป็นหลานเขยนั้นเป็นดังคำกล่าวที่ว่ารักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็น* เขาถอนใจแล้วเอ่ยอธิบาย “สมุดบัญชีหนึ่งในนั้นเป็นกวนจวินโหวนำกลับมา ถ้าเกิดเขาคัดลอกเอาไว้เล่า”
เสนาบดีจางกับข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายสบตากันแล้วโคลงศีรษะ
กวนจวินโหวเป็นทหารนักรบ จะคิดถึงเรื่องคัดลอกสมุดบัญชีได้หรือ
ไม่สิ ต่อให้เป็นพวกเขา ยามอยู่ต่างเมืองก็ไม่มีทางกระทำเรื่องยุ่งยากปานนี้
โค่วสิงเจ๋อนวดๆ หว่างคิ้วพร้อมกล่าว “ไม่ว่าอย่างไร เชิญเขามาถามดูก่อนเถอะ”
ในจวนกวนจวินโหวเซ่าหมิงยวนกำลังหลับสนิท แต่องครักษ์ส่งเสียงปลุกเขาเบาๆ “ท่านแม่ทัพๆ มีคนมาจากกรมอาญาขอรับ”
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างตื่นตัวระวังภัย เขาพลิกกายลงจากเตียง “เกิดเรื่องใดขึ้น”
องครักษ์ยื่นเสื้อคลุมตัวนอกให้ เขารับมาสวมไว้แล้วยังเอาเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกที่วางพาดบนฉากกั้นมาคลุมทับอีกชั้น จากนั้นก้าวขาเดินออกไป
แสงไฟในที่ว่าการกรมอาญาสว่างไสว หลังเซ่าหมิงยวนตามขุนนางที่ถูกส่งมาเชิญเขารุดไปถึงที่นั่นแล้วกวาดตามองแวบเดียวก็รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้น
พวกโค่วสิงเจ๋อรอคอยอยู่ด้านใน พอเห็นเขาเข้ามาก็พากันลุกขึ้นยืน
พอคารวะทักทายกันแล้ว เซ่าหมิงยวนมองไปทางโค่วสิงเจ๋อ ไต่ถามอย่างอ่อนน้อมว่า “เสนาบดีโค่วเรียกข้ามา ไม่ทราบมีเรื่องใดขอรับ”
ในสถานที่เช่นนี้เป็นธรรมดาที่เขาจะเรียกขานโค่วสิงเจ๋อตามยศศักดิ์ มิใช่เป็น ‘ท่านตา’
“ห้องหนังสือไฟไหม้ตอนดึก สมุดบัญชีที่เป็นของสำคัญถูกไฟไหม้หมดแล้ว” ยามเผชิญหน้ากับหลานเขยผู้ทรงอำนาจอย่างน่าทึ่งผู้นี้ จิตใจของโค่วสิงเจ๋อสับสนปนเปอยู่มาก เขาจึงกล่าวตรงเข้าเรื่องโดยไม่รอช้า
เซ่าหมิงยวนได้ยินแล้วสีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไร
ตอนเขามาถึงก็ดูออกว่าที่นี่เกิดไฟไหม้ บนพื้นยังมีน้ำสีดำเปียกแฉะเลอะเทอะ อีกทั้งคิดถึงว่าเรียกเขามาตอนค่ำมืดดึกดื่น ในใจชายหนุ่มก็รู้อะไรได้เลาๆ แล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าของเซ่าหมิงยวนเป็นปกติดุจเก่า เสนาบดีจางก็มีสีหน้าตื่นเต้นยินดี “หรือว่าท่านโหวมีเตรียมสำรองไว้?”
“หือ?” เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย
“สมุดบัญชีที่สิงอู่หยางสมคบชาววอโค่วเล่มนั้นเป็นท่านโหวนำกลับมา หรือว่าท่านจะคัดลอกไว้อีกฉบับหนึ่ง” เสนาบดีจางเอ่ยถามอย่างมีความหวัง
ส่วนสมุดบัญชีอีกเล่มนั้นคงหมดหนทางแล้ว รักษาไว้ได้เล่มหนึ่งก็ยังดี อย่างนั้นฮ่องเต้คงจะลงโทษพวกเขาเบาลง อย่าลืมว่าต้นเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้บันดาลโทสะจริงๆ เดิมทีก็เป็นสมุดบัญชีที่สิงอู่หยางสมคบชาววอโค่วเล่มนั้น
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้า “ข้ามิได้คัดลอกไว้”
ขณะที่ความหวังสุดท้ายของพวกโค่วสิงเจ๋อดับมอดลงโดยสิ้นเชิงก็ได้ยินเซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเปลี่ยนไป “แต่ว่าสมุดบัญชีเล่มนั้นยังเอาคืนกลับมาได้”
* รักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็น เป็นสำนวน หมายถึงรู้ทั้งรู้ว่าหมดหนทางแก้ไขแล้วแต่ยังพยายามให้ถึงที่สุด