หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 534
บทที่ 534
นกพิราบสีเทากระโดดไปมาอยู่ข้างเท้าอย่างน่ารักแสนรู้ เอ้อร์ปิ่งเจ้านกขุนทองที่ออกมารับแดดอยู่โผล่มาจากที่ใดก็สุดรู้ พุ่งเข้ามากางปีกตบมันจนล้มกลิ้ง
เจ้านกพิราบหนนี้ไม่ปราดเปรียวดุดันเช่นนกพิราบขาวที่มาส่งสารคราวก่อน เอ้อร์ปิ่งจับจ้องมันตาเขม็ง ตั้งท่าจะเปิดฉากโจมตี แต่นกพิราบสีเทาดูเหมือนโดนตบจนมึนงง นิ่งทื่อไม่ขยับเขยื้อน
เฉียวเจาบอกกับปิงลวี่ที่วิ่งเข้ามาอย่างอ่อนใจ “อุ้มเอ้อร์ปิ่งออกไป”
ปิงลวี่ย่อตัวลงพูดกับมันดีๆ อย่างมีน้ำอดน้ำทน “เอ้อร์ปิ่ง ไปกับพี่ปิงลวี่นะ”
เอ้อร์ปิ่งเบือนศีรษะไปอีกทาง แต่ปิงลวี่เห็นแววเมินเฉยในดวงตาเจ้านกขุนทองตัวน้อย นางอดนิ่งขึงไปไม่ได้
มันสบช่องนี้ปรี่เข้าใส่นกพิราบสีเทา
ปิงลวี่คล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน ถกแขนเสื้อขึ้นพูดอย่างมีน้ำโห “กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ข้าไม่เชื่อว่าหรอกว่าจะกำราบเจ้าไม่อยู่”
หลังความอลหม่านผ่านไปยกหนึ่ง ปิงลวี่จับเจ้าเอ้อร์ปิ่งได้แล้วพาออกไปในที่สุด
เฉียวเจาก้มตัวลงหยิบแผ่นสารที่ขาของนกพิราบสีเทา นางอ่านแล้วขยำเป็นเศษเล็กเศษน้อยโปรยทิ้งไปตามสายลม
“คุณหนู?” อาจูเรียกขานคำหนึ่ง
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมา “ไปเรือนใหญ่”
ในเรือนใหญ่เหอซื่อกำลังรื้อตู้ค้นหีบอยู่
“ท่านแม่รื้อหาอะไรอยู่เจ้าคะ” เฉียวเจาย่างเท้าเข้าไป
เหอซื่อหันหน้าไปมองบุตรสาว เห็นนางเดินมือเปล่าเข้ามาก็ขมวดคิ้วอย่างสุดระงับ หยิบเตาพกแกะลายฉลุซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็กด้านข้างยัดใส่มือนางพลางพูดดุ “อากาศหนาวมากยังไม่รู้จักถือเตาพกไว้ แม่กำลังรื้ออาภรณ์อยู่ จำได้ว่าพักก่อนเก็บเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกหิมะตัวนั้นไว้ตรงนี้ เจาเจาของแม่ผิวขาว สวมเสื้อขนสัตว์ตัวนั้นขับผิวเจ้าเป็นที่สุด จะได้ไม่โดนท่านเซียงจวินจ้องจับผิดตอนไปจวนตะวันออก”
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “ท่านแม่ลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ ท่านย่าบอกว่าดวงตาของท่านเซียงจวินมองไม่เห็นแล้ว”
เหอซื่อชะงักมือกึก “เอ่อ…จริงด้วย แม่ลืมไปเสียได้”
ท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกผู้นั้นช่างติเป็นที่หนึ่ง หากมิใช่ว่าผู้เยาว์เดินทางกลับจากต่างเมืองแล้วไม่ไปคารวะผู้อาวุโสจะโดนคนติฉินนินทา นางคงหักใจพาเจาเจาไปทนทรมานที่นั่นไม่ได้
เหอซื่อลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไปกันเลยเถอะ พวกเรารีบไปรีบกลับ แม่ให้ฟางมามาตุ๋นไก่ดำกับพุทราแดงไว้ หลังกลับมาก็ได้ดื่มสักชามให้อุ่นกายพอดี”
“ท่านแม่ พวกเราไปที่จวนตะวันออกช้าสักนิดเถอะ ข้ามีธุระเล็กน้อยต้องออกไปข้างนอก”
เหอซื่ออึ้งงันไป “จะออกไปข้างนอกหรือ แม่เห็นท่าว่าวันนี้จะมีหิมะตกนะ ไม่ใช่เรื่องด่วนก็อยู่กับเรือนจะดีกว่า”
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องด่วนเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องด่วน?” เหอซื่อกะพริบตาปริบๆ นางคิดแล้วเอ่ยขึ้น “แล้วจะกลับมาเมื่อไร”
“อันนี้ยังไม่แน่นอนเจ้าค่ะ” เฉียวเจาตอบอย่างไม่แน่ใจ
บนกระดาษสารเขียนไว้แค่ว่าเขารอนางอยู่ที่เรือนด้านข้าง ไม่มีใจความใดมากไปกว่านี้
ในความคิดของเฉียวเจาเซ่าหมิงยวนต้องการพบนาง จะต้องเกี่ยวข้องกับคดีของสิงอู่หยางแน่ นางจะปล่อยให้เรื่องอื่นถ่วงรั้งไว้ไม่ได้
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ เป็นกวนจวินโหวที่มีธุระอยากพบข้าเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวตามตรง
เหอซื่ออึ้งไปไม่พูดไม่จา
“ท่านแม่?” เฉียวเจาเรียกขานอย่างงุนงง
เหอซื่อดึงสติคืนมา นางมองบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนด้วยสีหน้าสับสนปนเปพลางกล่าวทอดถอนใจ “เจ้าลูกผู้นี้ ไฉนไม่ทันไรก็บอกความจริงออกมาแล้วเล่า”
บุตรสาวเรือนอื่นออกไปลอบพบปะบุรุษล้วนต้องปิดๆ บังๆ กันทั้งนั้นมิใช่หรือ เจาเจาของนางซื่อตรงไปสักนิดใช่หรือไม่
เฉียวเจาไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี นางคล้องแขนกับมารดาพลางกล่าว “ก็ข้ากลัวท่านแม่เป็นห่วงนี่เจ้าคะ”
เหอซื่อทำหน้าซึ้งใจ บุตรสาวช่างดีต่อนางเหลือเกินจริงๆ พูดเปิดอกกับนางหมดทุกอย่าง “ถ้าอย่างนั้นต้องเตรียมรถม้ากระมัง แม่ไปจัดการให้”
เฉียวเจารีบรั้งตัวเหอซื่อที่ท้องโย้อยู่เอาไว้ “ท่านแม่ไม่ต้องวุ่นวายเจ้าค่ะ ข้าไม่นั่งรถม้า”
“ไม่นั่งรถม้าจะได้อย่างไร อากาศหนาวถึงเพียงนี้ เจ้าจะเดินไปถึงจวนกวนจวินโหวหรือไร”
“ข้าไปใกล้ๆ นี่เอง เรือนด้านข้างเป็นของกวนจวินโหวเจ้าค่ะ”
เหอซื่อเบิกตากว้างกะทันหัน นางพูดอย่างตกใจ “บังเอิญเพียงนี้?”
เฉียวเจาเม้มปากยิ้ม เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่บอกใครไม่ได้ นางคิดว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังมารดา แต่มารดากลับเห็นว่าเป็นความบังเอิญ การคิดไปในทางนี้ได้ก็น่าประหลาดใจดีเหมือนกัน
เหอซื่อนั้นก็เพียงกำลังปลาบปลื้มที่บุตรสาวเต็มใจแบ่งปันความลับกับตนจนลืมตัว หลังจากตั้งสติได้ก็กระจ่างแจ้งโดยพลัน “ประเดี๋ยวก่อน แม่จำได้ว่าเรือนด้านข้างว่างเปล่ามานานหลายปีแล้ว ไฉนเจ้าของเรือนกลายเป็นกวนจวินโหวไปแล้ว”
นางสะดุ้งโหยงอย่างฉุกใจได้แล้ว นี่กวนจวินโหวถูกตาต้องใจบุตรสาวของข้ากระมัง เจ้าหนุ่มผู้นี้หมายจะเป็นเช่นคำกล่าวว่าหอศาลาใกล้สายชล ได้ยลแสงจันทร์ก่อนสินะ!
เหอซื่อกุมหน้าผากพลางนั่งลง
เฉียวเจาตกอกตกใจ “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป”
เหอซื่อเอามือหนึ่งพยุงท้องมือหนึ่งโบกไปมา “รอสักครู่ ให้แม่พักหายใจก่อน”
นางว่าแล้วเหตุใดถึงได้ฝันแปลกประหลาดเช่นนั้น บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนผู้สดใสน่ารักโดนนกอินทรียักษ์ตัวหนึ่งคาบไป นางรู้แล้วจนได้ว่าเจ้านกอินทรีหางใหญ่ตัวนั้นเป็นผู้ใด!
เหอซื่อมองดูบุตรสาววัยเยาว์ประหนึ่งดอกไม้ตูมด้วยจิตใจที่สับสนปนเป เจาเจาของนางยังไม่ย่างสิบสี่ก็มีบุรุษตัวเหม็นหมายตาแล้ว
เช่นนี้ไม่ได้!
พอเห็นเหอซื่อทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เฉียวเจาก็ยิ้มแล้ว นางกล่าวชักชวนอย่างใจกว้าง “หรือไม่ท่านแม่ไปเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่เจ้าคะ”
ถึงอย่างไรก็อยู่ด้านข้างนี่เอง ถือเสียว่าพวกนางสองแม่ลูกไปเดินเล่นด้วยกัน
“เอ๊ะ…นี่มัน…จะ…จะ…ก็ได้!” เหอซื่อกระบิดกระบวนเล็กน้อยก่อนตอบรับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
ในเมื่อบุตรสาวออกปากชักชวนเอง นางก็ฝืนใจตอบตกลงเถอะ จะได้ไปดู ‘เจ้านกอินทรีหางใหญ่’ ตัวนั้นพอดี
ในเรือนหลังที่ตั้งอยู่ติดกัน เซ่าหมิงยวนยืนอยู่กลางลานกว้างมองไปทางจวนสกุลหลีบ่อยๆ
ตอนนี้เจาเจาน่าจะได้รับสารจากนกพิราบสื่อสารแล้วกระมัง เหตุไฉนยังมาอีกนะ หรือว่ามีเรื่องอะไรถ่วงรั้งไว้
ตำราเขียนไว้ว่าไม่เห็นหน้าวันเดียวยาวนานดุจสามสารทฤดู เมื่อก่อนเขาเห็นถ้อยคำนี้ก็เพียงยิ้มรับอย่างไม่ใส่ใจ บัดนี้เข้าใจถ่องแท้แล้วในที่สุด
เสียงฝีเท้าดังลอยมา เซ่าหมิงยวนหมุนกายขวับ
องครักษ์ผู้หนึ่งสาวเท้าเร็วรี่เข้ามา “ท่านแม่ทัพ คุณหนูหลีซานมาแล้ว…”
ไม่ทันสิ้นเสียงเขาเซ่าหมิงยวนก้าวปราดๆ เดินไปทางหน้าประตูอย่างว่องไว
องครักษ์ส่งเสียงเรียกตามหลัง “ท่านแม่ทัพ…”
จนใจที่ลานเรือนเล็กเกินไป ยังกล่าวไม่จบประโยคท่านแม่ทัพของเขาก็ไปถึงหน้าประตูแล้ว จากนั้นพูดพร้อมกับยิ้มหน้าบาน “เจาเจา เจ้ามาได้เสียที…”
ถ้อยคำหลังขาดหายไปกะทันหัน องครักษ์ที่ติดตามอยู่ข้างหลังยกมือปิดหน้าอย่างสิ้นหวัง
สงสารท่านแม่ทัพของข้าเหลือเกิน แต่อยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ ใครให้ท่านแม่ทัพใจร้อนปานนี้เอง
รอยยิ้มตรงมุมปากแม่ทัพหนุ่มนิ่งค้างไป เขามองเหอซื่อที่ยืนท้องโย้อยู่หน้าประตูอย่างตะลึงงัน
นางยกมือลูบปิ่นดอกไม้ผ้าทรงดอกทับทิมตรงข้างจอน พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านคือกวนจวินโหวใช่หรือไม่ ข้าคือมารดาของคุณหนูสามสกุลหลี”
ดวงหน้าหล่อเหลาของเซ่าหมิงยวนจืดเจื่อนไปหมด เขาตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่ง
มันเรื่องอะไรกัน เพราะอะไรว่าที่ท่านแม่ยายถึงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเรือนของเขา
ไม่ๆๆ ถ้าปรากฏตัวขึ้นที่จวนกวนจวินโหวก็แล้วกันไปเถอะ แต่นี่เป็นเรือนด้านข้างจวนสกุลหลีที่เขาซื้อไว้เพื่อจะได้พบกับเจาเจาได้สะดวกขึ้น ว่าที่ท่านแม่ยายจะคิดมากหรือไม่นะ
มีแต่คนโง่งมน่ะสิถึงไม่คิดมาก!
คนบางคนที่ยืนทื่ออยู่หน้าประตูคิดอย่างสิ้นหวัง
เหอซื่อกวาดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
เรือนกายสูงสง่า รูปโฉมคมคายดี แต่ตัวโตสูงใหญ่กินต่างข้าวไม่ได้ หน้าตาหล่อเหลาก็ไม่มีอันใดน่าทึ่ง เจาเจาของข้าก็โฉมงามคมขำเหมือนกัน
เจ้านกอินทรีหางใหญ่ตัวนี้ดูท่าทางไม่ค่อยฉลาดหัวไวเลย
ว่าที่ท่านแม่ยายคิดคำนึงอย่างกลัดกลุ้มเต็มอก
เฉียวเจาที่ประคองเหอซื่ออยู่ทนดูต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ นางกระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่ง
เวลานี้เซ่าหมิงยวนถึงคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เขากล่าวตะกุกตะกัก “ชะ…เชิญด้านในขอรับ…”