หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 538
บทที่ 538
จวนตะวันออกของสกุลหลี
“ท่านเซียงจวิน นายหญิงใหญ่ของจวนตะวันตกพาคุณหนูสามมาคารวะท่านเจ้าค่ะ” สาวใช้กระซิบบอกที่ข้างหูเจียงซื่อ
“ตอนนี้เป็นยามใดแล้ว”
“ยามเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ”
ดวงตาขุ่นขาวของเจียงซื่อไม่ขยับเขยื้อน นางแค่นเสียงฮึไปทางเบื้องหน้า กระแทกไม้เท้าในมือกับพื้นแรงๆ คราหนึ่ง “เห็นทีคงดูแคลนว่ายายเฒ่าอย่างข้าตาบอด ถึงมาคารวะเอาตอนใกล้เที่ยงวัน”
ไม่พบกันนานหลายเดือนเจียงซื่อดูแก่ชราลงมาก ผิวหน้าเหี่ยวย่นหย่อนคล้อย นัยน์ตาเป็นสีขาวมัวเหมือนลูกตาของปลาตาย ยามนางมองดูใครด้วยดวงตาคู่นี้ก็ทำให้คนถูกมองรู้สึกสั่นสะท้านได้แล้ว
ทว่าสองแม่ลูกเบื้องหน้าคู่นี้เป็นข้อยกเว้น
เฉียวเจานั้นย่อมไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว ฝ่ายเหอซื่อก็เป็นคนใจกล้าผู้หนึ่ง เห็นเจียงซื่อมีน้ำโห แสดงท่าวางอำนาจข่มพวกนางอย่างชัดเจน นางลูบๆ จอนผมแล้วลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้าพร้อมกับดึงเฉียวเจาขึ้นด้วย
สาวใช้อาวุโสซึ่งยืนอยู่เบื้องล่างข้างแท่นที่นั่งของเจียงซื่อจะอ้าปากพูดก็มีเงินหยวนเป่าก้อนหนึ่งยื่นมาให้
นางนิ่งขึงไปก่อนจะช้อนตาขึ้นมอง
เหอซื่อยิ้มกว้างยัดก้อนเงินใส่มือนางแล้วชี้ที่ดวงตาของเจียงซื่อ
สาวใช้อาวุโสเข้าใจความหมายทันใด กวาดดวงตารียาวมองในโถงแล้วไม่มีบ่าวรับใช้คนอื่นนอกจากตนก็เก็บเงินหยวนเป่าก้อนใหญ่ไว้แล้วไม่ปริปากอีก
เหอซื่อเม้มปากยิ้ม นางรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครเป็นศัตรูกับเงินทอง ยายเฒ่าผู้นี้จะลงโทษนางคนเดียวก็แล้วกันไป แต่นางยังมีเจาเจากับบุตรในครรภ์นะ จะปล่อยให้ยายเฒ่าผู้นี้กดขี่ข่มเหงตามใจชอบได้ที่ใดกัน
“ไฉนไม่พูดไม่จา หรือไม่เห็นยายเฒ่าอย่างข้าคนนี้อยู่ในสายตาแล้ว” เจียงซื่อเอ่ยถามอย่างขุ่นเคือง
เฉียวเจาตั้งท่าจะอ้าปากพูด แต่ถูกมารดาห้ามไว้
เหอซื่อกระแอมกระไอให้คอโล่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มละไม “มีที่ใดเล่าเจ้าคะ เจาเจาเพิ่งสะสางเรื่องสำคัญเสร็จข้าก็รีบพานางมาคารวะท่าน ไม่กล้าชักช้าเสียเวลาแม้แต่นิดเดียว”
เฉียวเจาพูดไม่ออก “…”
ข้าช่างไร้เดียงสาปานนั้นอยู่ร่ำไป จึงนึกว่าท่านแม่ที่เคารพก้าวหน้าขึ้นแล้ว
เจียงซื่อได้ยินก็โกรธจนควันออกหูดังคาด “เหอซื่อ ความหมายของเจ้าคือมาคารวะข้ามิใช่เรื่องสำคัญแล้วหรือ”
เหอซื่อยังจะพูดต่ออีกแต่บุตรสาวดึงเอาไว้ถึงปิดปากเงียบ
เฉียวเจาเอ่ยปากขึ้น “ท่านเซียงจวินอย่าได้โกรธเคืองเลย มาคารวะท่านย่อมเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน แต่องค์หญิงเก้าที่วังหลวงทรงส่งคนนำความมาบอกข้าแต่เช้าตรู่ ข้าสะสางเรื่องขององค์หญิงเก้าเสร็จก็มาคารวะท่านทันที ท่านโปรดอย่าตำหนิโทษเลยเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อคว้าถ้วยน้ำชาใกล้ๆ มือขว้างไปบนพื้น
แม้ว่านางจะมองไม่เห็นแต่ถ้วยน้ำชากลับลอยไปทางจุดที่ยืนคารวะอย่างแม่นยำ จนใจที่เหอซื่อถือวิสาสะนั่งลงเองแต่แรก ซ้ำยังดึงเฉียวเจาไปด้วย ถ้วยน้ำชาใบนั้นเลยพลาดเป้าเป็นธรรมดา มันหล่นลงกระแทกพื้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เสียงถ้วยน้ำชาแตกเพล้งดังก้องกังวาน ตามมาด้วยเสียงตวาดอย่างกราดเกรี้ยวของหญิงชรา “อย่ายกวังหลวงมาข่มข้า! นางเด็กน้อยอย่านึกว่าข้าไม่รู้เท่าทันเล่ห์กลในใจเจ้า ข้ากินเกลือมากกว่าเจ้ากินข้าวเสียอีก!”
เหอซื่อได้ยินก็ขุ่นใจ “ท่านเซียงจวิน คำกล่าวนี้ของท่านหมายความว่าอะไร คุณหนูสามของพวกข้ามีเล่ห์กลอะไรรึ ท่านจะยัดเยียดความผิดให้คนอื่นส่งเดชเพราะถือตนเป็นผู้อาวุโสไม่ได้กระมัง”
เจียงซื่อฟังแล้วโมโหมากขึ้น “เหอซื่อ นี่คือท่าทีที่หลานสะใภ้ผู้หนึ่งพูดจากับท่านป้าของสามีรึ”
เหอซื่อพูดอย่างไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ใดแล้ว “ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นหลานสะใภ้ไม่ใช่ลูกสะใภ้ด้วยรึ ฮูหยินผู้เฒ่าของข้ายังไม่จู้จี้จุกจิกเท่านี้!”
เฉียวเจากุมขมับ ท่านแม่พูดความจริงออกมาได้อย่างไรเล่า!
“เจ้า…” เจียงซื่อยกมือกุมขมับทำท่าจะเป็นลม
“ฮูหยินผู้เฒ่า…” สาวใช้อาวุโสตกใจสะดุ้งโหยง รีบตบหลังให้เจียงซื่อ
เหอซื่อเม้มปากทำหน้าดื้อดึง จะให้นางก้มศีรษะให้ยายเฒ่าผู้นี้ล่ะก็เป็นไปไม่ได้ ส่วนว่าถ้ายั่วโทสะยายเฒ่าจนเป็นอะไรไปแล้วสมควรทำอย่างไรดี ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน
เจียงซื่อสงบสติอารมณ์ลงแล้วกล่าวเยาะๆ “ข้านึกขึ้นได้แล้ว เจ้าตั้งครรภ์อยู่สินะ อุ้มท้องหลานบุญหนักศักดิ์ใหญ่ของจวนตะวันตกไว้เลยมียันต์คุ้มกาย ดี…ข้ามิใช่คนใจร้ายใจดำถึงขั้นนั้น เจ้านั่งลงเถอะ”
เหอซื่อซึ่งนั่งลงแต่แรกกล่าวคำขอบคุณอย่างไร้ความจริงใจใดๆ
เจียงซื่อตบโต๊ะสุดแรง “หลานเจา เจ้าคุกเข่าลง!”
เหอซื่อเข้าไปดึงบุตรสาวไว้ ทว่านางส่ายหน้าแล้วคุกเข่าลงเงียบๆ
ถ้าเจียงซื่อให้ท่านแม่ของนางคุกเข่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องขัดขวาง นางไม่อาจมองดูท่านแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่เสี่ยงอันตรายได้ แต่ให้นางคุกเข่า นางก็ไม่คิดจะต่อสู้ขัดขืนโดยไม่จำเป็น
เจียงซื่อเป็นท่านย่าใหญ่ของนาง ต่อให้บุตรหลานไร้ความผิด ผู้อาวุโสสั่งให้คุกเข่าลง หากไม่คุกเข่า เมื่อเรื่องแพร่ออกไปคนที่โดนตำหนิก็คือผู้เยาว์
เจียงซื่อเริ่มดุด่าว่ากล่าวอย่างสาดเสียเทเสีย “เจ้าทำงามหน้าจริงๆ ไปคลุกคลีอยู่ในหมู่บุรุษตั้งหลายเดือน ทำให้สกุลหลีอับอายขายหน้าจนสิ้นไม่ว่า พอกลับมายังเป็นต้นเหตุให้ท่านลุงของเจ้าโดนผู้บังคับบัญชาตำหนิด่าทอ สกุลหลีมีเด็กกาลกิณีเช่นเจ้านี้ได้อย่างไร”
ได้ยินเจียงซื่อติเตียนกล่าวโทษอย่างไร้เหตุผล เฉียวเจาไม่นิ่งเงียบอยู่อีก ขณะที่อีกฝ่ายกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง นางเอ่ยถามขึ้นอย่างใจเย็น “ท่านเซียงจวินเห็นว่าข้าเดินทางไปแดนใต้ตามพระเสาวนีย์ของไทเฮาสร้างความเสื่อมเสียให้สกุลหลีหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่ออึ้งงันไปกับคำถามนี้
ได้ทำงานรับใช้ไทเฮาเป็นเกียรติยศอย่างล้นเหลือ มาตรว่าเฉียวเจาออกเดินทางหนนี้มีเรื่องให้คนติฉินนินทาได้หลายข้อ แต่ไม่มีใครกล้าดูหมิ่นเหยียดหยามซึ่งๆ หน้า หาไม่แล้วจะเป็นการหัวเราะเยาะว่าไทเฮาทำอะไรไม่เหมาะสม
ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์เจียงซื่อย่อมรู้ซึ้งถึงจุดนี้เป็นธรรมดา
เฉียวเจาไต่ถามต่อ “ท่านเซียงจวินกล่าวว่าข้าเป็นต้นเหตุให้ท่านลุงใหญ่โดนผู้บังคับบัญชาตำหนิด่าทอ เรื่องนี้ข้าไม่เข้าใจจริงๆ หวังว่าท่านจะไขความกระจ่างให้ได้ด้วยเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อแค่นหัวเราะแล้วพูดซักไซ้ “ในเมื่อเจ้าร่วมเดินทางไปกับกวนจวินโหว เหตุใดไม่นำเรื่องที่เขาสืบได้พวกนั้นบอกกล่าวท่านลุงใหญ่ของเจ้าให้ทันท่วงทีเพื่อจะได้เตรียมตัวบ้าง เจ้าดีนักนะ กลับมาก็หายตัวไปไม่เห็นวี่แวว เห็นชัดว่าอยากเห็นจวนตะวันออกเป็นตัวตลก ใช่หรือไม่”
“อันว่าพู่กันแท่งเดียวเขียนอักษร ‘หลี’ สองตัวไม่ได้ ไฉนข้าต้องอยากเห็นจวนตะวันออกเป็นตัวตลกเจ้าคะ” น้ำเสียงของเฉียวเจาอาจจะราบเรียบเยือกเย็นดุจเก่า แต่นางลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
นางรู้สึกได้ว่านิสัยใจคอของเจียงซื่อเปลี่ยนแปลงไปจากในกาลก่อนไม่น้อย แสดงความเจ้าอารมณ์ออกมาอย่างเปิดเผย กลายเป็นหญิงชราที่ดุร้ายป่าเถื่อนไปแล้ว
นี่น่าจะมีสาเหตุจากความอัดอั้นตันใจที่ดวงตาทั้งคู่มองไม่เห็น ส่วนนางกลายเป็นที่ระบายไฟโทสะของเจียงซื่อพอดี
“หลานเจา เจ้ากำลังถามไล่เลียงข้าใช่หรือไม่” เจียงซื่อเอาชนะหลานสาวด้วยเหตุผลไม่ได้ก็ยกฐานะผู้อาวุโสขึ้นข่มเสียเลย
แม่นางเฉียวมองฟ้าอย่างหมดคำพูด นางพูดเหตุผลกับอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายพาลพาโลใส่ นางผ่านมาสองภพสองชาติมีผู้อาวุโสเฉกนี้อยู่ผู้เดียวแล้ว
“น้ำชา” เจียงซื่อยื่นมือไปทางสาวใช้ผู้อาวุโส นางไม่ร้อนใจหรอก อากาศในเดือนสิบสองหนาวเหน็บ ต่อให้ตั้งอ่างไฟไว้ในห้องบนพื้นก็เย็นเฉียบอยู่ดี นางกลับอยากดูนักว่าแม่เด็กน้อยผู้นี้จะทนไปได้สักกี่น้ำ
พอเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากของเจียงซื่อ เฉียวเจาจับๆ ผ้าหุ้มเข่าหนาเตอะโดยไม่ส่อพิรุธ
นางรู้อยู่แล้วว่าเตรียมของพวกนี้เผื่อไว้ต้องได้ใช้ประโยชน์สักวัน
เจียงซื่อดื่มชาอย่างเนิบนาบ ฝ่ายเฉียวเจาก็คุกเข่าอย่างไม่ทุกข์ร้อน เหอซื่อทนแล้วทนอีกกำลังจะอ้าปากพูด สาวใช้นางหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาตะเบ็งเสียงบอก
“ท่านเซียงจวิน คนของทางจวนตะวันตกบอกว่าคุณหนูใหญ่สกุลโค่วแห่งจวนเสนาบดีกรมอาญาเชิญคุณหนูสามไปที่จวนพบปะพูดคุยกันเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อทำหน้าแคลงใจ “คุณหนูใหญ่ของจวนเสนาบดีกรมอาญา? นี่เป็นคนของจวนตะวันตกมาบอกหรือ”
เติ้งซื่อที่จวนตะวันตกเป็นพวกแม่ไก่กางปีกปกป้องลูกไก่ มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่จะหาข้ออ้างเรียกตัวหลานเจากลับไป หรือคิดว่านางตาบอดแล้วใจก็บอดไปด้วย
สาวใช้รีบเอ่ยขึ้น “คนของจวนเสนาบดีตามมาด้วยเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อยังไม่ถอดใจ นางพบกับผู้ดูแลของจวนเสนาบดีด้วยตนเองถึงได้ยอมเชื่อ
ตอนนี้เองมีสาวใช้อีกคนเข้ามารายงาน “ท่านเซียงจวิน คุณหนูใหญ่ของจวนท่านผู้บัญชาการเจียงเชิญคุณหนูสามไปที่จวนพบปะพูดคุยกันเจ้าค่ะ”
ต่อจากนั้นมีคนมาบอกติดๆ กัน “คุณหนูเจ็ดสกุลจูแห่งจวนไท่หนิงโหวเชิญคุณหนูสามไปที่จวนพบปะพูดคุยกันเจ้าค่ะ”
“คุณหนูซูแห่งจวนเสนาบดีกรมพิธีการเชิญคุณหนูสามไปที่จวนพบปะพูดคุยกันเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อตะลึงลานไปหมด
ไหนบอกกันว่าชื่อเสียงเสียหายป่นปี้ ไม่มีคนถือสาเลยหรือไรเล่า