หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 539
บทที่ 539
เจียงซื่อเบิกดวงตาละม้ายลูกตาของปลาตายมองไปทางเฉียวเจา
นางอยากมองเห็นเป็นอันมากว่าเด็กสาวตื้นเขินโง่เขลาในความทรงจำกลายเป็นคนที่นางอ่านไม่ออกในตอนนี้ได้อย่างไร จนใจที่เบื้องหน้าสายตามืดสนิทไร้แสงสว่างแม้สักกระผีก
เฉียวเจาคุกเข่าอย่างสงบเสงี่ยมไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
เจียงซื่อหยุดขบคิดในที่สุด นางพูดลอดไรฟันออกมาสองคำว่า “ไปเสีย”
สุ้มเสียงของเด็กสาวไม่เผยอารมณ์ใดๆ “ท่านเซียงจวินรักษาสุขภาพด้วย ข้าขออำลากลับเจ้าค่ะ”
รอกระทั่งเฉียวเจาไปแล้วเจียงซื่อปัดมือกวาดของที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กด้านข้างตกลงพื้นไปจนหมด
เสียงเพล้งดังสนั่นขึ้น บนพื้นเกลื่อนกลาดไปด้วยเศษกระเบื้อง เตาพกทรงกลมกลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้นห้องบังเกิดเสียงที่ชวนให้หนังศีรษะชาวาบๆ
สาวใช้ที่เข้ามาบอกข่าวพากันเงียบกริบดุจจักจั่นในฤดูหนาว
นับแต่ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนตะวันออกของพวกนางท่านนี้มองไม่เห็นก็โมโหร้ายมากขึ้นทุกที ในกาลก่อนอย่างมากก็ใช้วาจากระหนาบพวกนาง บัดนี้ไม่ได้ดั่งใจเล็กน้อยก็ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัว
มีเพียงสาวใช้คนสนิทของเจียงซื่อที่เอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง “ท่านเซียงจวิน ระวังโดนบาดนะเจ้าคะ”
เจียงซื่อโมโหจนสุดระงับดังเก่า “เจ้าได้ยินนางเด็กน้อยนั่นพูดว่าอะไรหรือไม่ ให้ข้ารักษาสุขภาพหรือ นี่เห็นข้าตาบอดแล้วคงแอบชอบอกชอบใจกระมัง”
“ท่านเซียงจวิน ท่านอย่าคิดมาก…”
“ข้าจะไม่คิดมากได้อย่างไร จวนตะวันตกปีกกล้าขาแข็งไม่เห็นจวนตะวันออกอยู่ในสายตาแล้ว ข้าจะรอหลังเจ้ารองของจวนตะวันตกกลับมา เติ้งซื่อต้องมาขอร้องข้าแน่!”
ปกติเมื่อขุนนางที่ถูกส่งไปประจำการต่างเมืองกลับเมืองหลวงรายงานตัวแล้วหากอยากได้ตำแหน่งดีๆ ต้องหาคนช่วยฝากฝังให้ ถึงแม้หลีกวงเยี่ยนนายท่านใหญ่ของจวนตะวันออกจะไม่ได้อยู่ในกรมปกครองซึ่งดูแลขุนนางเหล่านี้อยู่ แต่ในฐานะรองเสนาบดีกรมอาญาที่จัดได้ว่าเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว เป็นธรรมดาที่ทางกรมปกครองต้องให้เกียรติ
สาวใช้คนสนิทสบช่องพูดกล่อม “นั่นสิเจ้าคะ ท่านเซียงจวิน ท่านอย่าโมโหโทโสเลย ว่ากันถึงบุตรหลานที่ได้ดิบได้ดี จวนตะวันตกเทียบกับจวนตะวันออกของเราได้ที่ใดกัน มิต้องเอ่ยถึงนายท่านใหญ่ แค่คุณชายทั้งสองของเราตอนนี้ก็กำลังไปได้ดี ส่วนฮุยเอ๋อร์ของจวนตะวันตกยังเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่เลยนะเจ้าคะ”
ได้ยินสาวใช้คนสนิทกล่าวอย่างนี้สีหน้าของเจียงซื่อผ่อนคลายลงในที่สุด
ไม่ว่าอย่างไรจวนตะวันตกก็ไม่อาจเทียบกับจวนตะวันออกได้ในเรื่องนี้ รอเติ้งซื่อมาขอร้องนาง นางไม่ใจอ่อนเป็นแน่
เฉียวเจามองดูผู้ดูแลที่มาจากจวนต่างๆ แล้วทำหน้าขรึมลงเล็กน้อย ด้วยนางไม่เชื่อว่าจะประจวบเหมาะถึงเพียงนี้
อาจูเดินเข้ามากระซิบสองสามคำที่ข้างหูนาง
เฉียวเจาผงกศีรษะเล็กน้อย นางบุ้ยใบ้บอกให้อาจูรับรองพวกผู้ดูแลให้ดีแล้วลอบไปที่เรือนหลังติดกันเงียบๆ
เซ่าหมิงยวนรออยู่ที่นั่น
อาจเป็นเพราะเรื่องที่ยิ่งใส่ใจยิ่งเกิดอุปสรรคขลุกขลัก เฉียวเจามีลางสังหรณ์ว่าจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
“มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่” เฉียวเจาถาม
“ท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกมิได้สร้างความลำบากใจให้เจ้ากระมัง” เซ่าหมิงยวนก็ถามขึ้นพร้อมกัน
เมื่อเห็นแววห่วงใยในดวงตาเขา จิตใจที่ว้าวุ่นวิตกของเฉียวเจาสงบลงบ้างอย่างไร้สาเหตุ นางกล่าวยิ้มๆ “ถึงสร้างความลำบากใจให้ ก็เป็นเพียงอุบายตื้นๆ ในเรือนหลังเท่านั้น ไม่เป็นอะไรมาก”
สายตาของเซ่าหมิงยวนหยุดอยู่ที่หัวเข่านาง กระโปรงตรงจุดนั้นมีรอยเปื้อนมากกว่าจุดอื่นอย่างเห็นได้ชัด
“นางให้เจ้าคุกเข่าหรือ”
ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายเข้มขึ้นทำให้คนสัมผัสถึงอันตรายบางอย่างละม้ายกับพวกสัตว์ป่า เฉียวเจาถึงขั้นรู้สึกว่าหากตนไม่พูดอะไรบ้าง บุรุษตรงหน้าจะกลายเป็นสุนัขป่าเดียวดายไปแลกชีวิตกับคนอื่นแล้ว
“ท่านดูสิ” เฉียวเจาถกชายกระโปรงขึ้นเผยให้เห็นปลอกเข่าบุสำลีที่รัดไว้ตรงหัวเข่า กล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “อันว่าเขามีแผนของจางเหลียง ข้ามีบันไดไต่กำแพง* ยังไม่จำเป็นต้องปะทะกับนางซึ่งๆ หน้า ถึงอย่างไรข้าไม่เสียเปรียบก็แล้วกัน”
เซ่าหมิงยวนระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ “เป็นเช่นนั้นก็ดี”
เขาได้ยินว่าเจาเจาไปคารวะท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกท่านนั้น ก็นึกไปถึงเรื่องที่สืบมาได้ก่อนหน้านี้ทันทีถึงอดเป็นห่วงนางไม่ได้
จนใจที่ระหว่างเขากับนางตอนนี้ยังไม่มีฐานะเป็นอะไรกัน เพื่อชื่อเสียงของเจาเจา บุรุษที่เป็นคนนอกเช่นเขาไม่อาจปกป้องนางอย่างเปิดเผย ได้แต่ใช้วิธีการทางอ้อม
“เจาเจา พวกเราหมั้นหมายกันโดยไวเถอะ พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็หมั้นกันเลยนะ” เซ่าหมิงยวนมองเด็กสาวผอมบางตรงหน้าพลางถอนใจเบาๆ
รอเมื่อนางกลายเป็นคู่หมั้นของเขา ไม่ว่าจะเป็นท่านเซียงจวินหรือรองเสนาบดีหลีคนใดก็ช่าง ต่อให้ถือศักดิ์เป็นผู้อาวุโสเขาก็ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงแล้ว
“อื้อ” เฉียวเจาขานตอบอย่างกำกวมแล้วถามซักไซ้ “ตกลงว่าเจอปัญหาอะไรกันแน่”
เซ่าหมิงยวนยิ้มฝืดๆ “ผู้ตรวจการสิงไม่ยอมคัดลอก”
เฉียวเจานิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงพูดอย่างสะท้อนใจ “แม้นข้าไม่ยอมรับทัศนะบางอย่างของผู้ตรวจการสิง แต่เขาเป็นคนที่ควรค่าแก่การเลื่อมใสผู้หนึ่ง”
“ใช่น่ะสิ แต่คนที่ควรค่าแก่การเลื่อมใสผู้นี้สร้างปัญหาใหญ่ให้พวกเราแล้ว ข้าถึงได้มาหาเจ้า”
เฉียวเจาตรึกตรองครู่เดียวก็เข้าใจความหมายของเขา นางกุมเตาพกในมือแน่นขึ้นแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “สามวัน สามวันให้หลังข้าจะเริ่มคัดลอกสมุดบัญชี ท่านอย่าลืมเตรียมกระดาษกับหมึกที่ใช้เขียนสมุดบัญชีเล่มเดิมเอาไว้ให้พร้อมด้วย”
จะปลอมแปลงสมุดบัญชีสองเล่มนั้นมิใช่ลอกเลียนลายมือก็พอ ใช้กระดาษกับหมึกชนิดใด แผ่นกระดาษสึกหรอไปเท่าไรล้วนต้องพิถีพิถัน
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเตรียมไว้พร้อมสรรพหมดแล้ว แค่ว่าสามวันนี้ต้องลำบากเจ้าแล้ว”
เขาพูดแล้วยื่นกระดาษปึกหนึ่งส่งให้ “หนังสือฎีกาที่ผู้ตรวจการสิงเขียนผิดแล้วโยนทิ้ง ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายแอบเอามาให้ข้า”
เฉียวเจารับเอาไว้ “สะสางคดีให้จบลงได้จะกลัวลำบากอะไร จริงสิ เรื่องที่คุณหนูใหญ่สกุลโค่วกับคุณหนูคนอื่นๆ เชิญข้าไปที่จวนพบปะพูดคุยกัน ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “สตรีคนอื่นจะเกี่ยวข้องกับข้าได้เช่นไร”
เฉียวเจาปรายตามองเขา “เกี่ยวข้องหรือไม่กันแน่”
เซ่าหมิงยวนกำมือจ่อที่ปากส่งเสียงไอเบาๆ “เสนาบดีโค่วบอกให้คุณหนูใหญ่รู้”
“แล้วคุณหนูเจ็ดสกุลจูเล่า”
“จูเยี่ยนบอกกับนาง” เฉียวเจาไม่ทันถาม เซ่าหมิงยวนก็พูดต่อ “บังเอิญคุณหนูซูอยู่กับคุณหนูเจ็ด ไม่รู้ว่าเหตุใดนางก็ร่วมวงด้วย”
“ถึงอย่างไรล้วนไม่เกี่ยวกับท่าน?”
เขาอมยิ้มพยักหน้า “อื้อ”
“หน้าหนา!” เฉียวเจาพูดดุ
เซ่าหมิงยวนฉวยมือนางมาวางทาบข้างแก้มตนเอง เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่หนา เจ้าจับดูสิ”
“ใครอยากจับเล่า…” พวงแก้มของเด็กสาวเป็นสีชมพูดุจดอกท้อ ครั้นมองสบเข้ากับนัยน์ตาพราวระยับหวานซึ้งของชายหนุ่ม นางพลันลืมเลือนกล่าววาจา
ยามทั้งคู่ประสานสายตากันรอบด้านไร้สรรพเสียงไปในชั่วขณะ มีเพียงประกายไฟที่มองไม่เห็นแตกปะทุอยู่ระหว่างชายหนุ่มกับเด็กสาวอย่างเงียบงัน
พอรับรู้ได้ว่าฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือตนไว้ข้างนั้นบีบเข้าหากันแน่นขึ้นทุกที เฉียวเจาแตกตื่นอยู่บ้างโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย นางกระตุกมือกลับแล้วยกขึ้นจับปอยผมที่รุ่ยลงมาให้เข้าที่ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วคุณหนูใหญ่สกุลเจียงเล่า”
“อะไรหรือ” เซ่าหมิงยวนเคลิ้มลอยไปอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าบอกว่าคุณหนูใหญ่สกุลเจียง ไฉนนางก็เข้ามาร่วมวงเชิญข้าไปเป็นแขกที่จวนสกุลเจียง”
เซ่าหมิงยวนทำหน้าเหลอหลา “อันนี้ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ…”
เฉียวเจาเก็บหนังสือฎีกาที่ผู้ตรวจการสิงเขียนผิดไว้อย่างมิดชิด จากนั้นนิ่งคิดแล้วกล่าวว่า “จะบอกปัดไม่ไปทั้งหมดก็ไม่ใคร่ดี ข้าไปที่จวนสกุลโค่วก็แล้วกัน”
นางขอไปที่จวนสกุลโค่วยังดีกว่าพูดจาวิสาสะกับเจียงซือหร่าน เมื่อไปจวนสกุลโค่วก็จะปฏิเสธทางนั้นได้พอดี
ทั้งคู่ต่างมีเรื่องสำคัญต้องทำ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่มากก็น้อย แต่ยังคงแยกกันไปอย่างรีบเร่ง
* จางเหลียง (เตียวเหลียง) เป็นกุนซือคนสำคัญที่ช่วยให้หลิวปังได้รับชัยชนะในสงครามฉู่ฮั่น และสถาปนาราชวงศ์ฮั่นตะวันตกขึ้นมา ส่วนบันไดไต่กำแพงเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่หลู่ปันปรมาจารย์ด้านงานไม้และการก่อสร้างคิดค้นขึ้นมาเพื่อทำสงครามในช่วงปลายยุคชุนชิว