หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 54
เฉียวเจาไม่ทันตั้งตัว โดนผลักออกไปจนถึงกลางถนนเจียนจะชนถูกคนรอมร่อ
เซ่าหมิงยวนชะงักฝีเท้าเบี่ยงกายหลบ
ชั่วพริบตานั้นทั้งคู่ประสานสายตากัน
นัยน์ตาสีดำสนิทของชายหนุ่มไหวทอประกายวูบหนึ่ง
วันนั้นเขาเคยเห็นแม่นางน้อยผู้นี้ ยามนั้นนางขว้างต้นกระบองเพชรใส่เขา
เจียงหย่วนเฉาอยู่กลางฝูงชนหุบยิ้มตรงมุมปาก แม่นางน้อยชวนขันผู้นั้นยืนประจันหน้ากับกวนจวินโหวได้อย่างไร
เฉียวเจายืนทรงตัวได้ นางก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนนับพันนับหมื่นแล้ว
ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวคนใดก็ตามล้วนต้องอับอายยากจะทานทน แต่เฉียวเจาไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้
นางถึงขั้นฉวยจังหวะพิศดูเซ่าหมิงยวนชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง
ดวงตาของคนผู้นี้ทั้งดำเข้มทั้งบริสุทธิ์สะอาดประหนึ่งน้ำละลายจากหิมะบนยอดเขาสูง เย็นเยือกกระจ่างใสเข้าไปถึงกลางใจคน
เฉียวเจาคิดคำนึง
สิ่งที่นางเคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ผิดเสียแล้ว คนที่สองมือเปื้อนเลือดไม่จำเป็นต้องแผ่รังสีอำมหิตน่าหวาดกลัว เมื่อมารร้ายที่สังหารคนตาไม่กะพริบอยู่เบื้องหน้าผู้ที่ต้องการปกป้อง ก็สามารถอ่อนโยนดุจสายน้ำได้
ศพไม่เน่าเปื่อยหรือเจ้าคะ ขณะสบตากัน เฉียวเจาถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
แม่ทัพหนุ่มอึ้งงันไปโดยสิ้นเชิง
เรือนกายของเขาสูงใหญ่กว่าแม่นางน้อยวัยสิบสองสิบสามตรงหน้าเป็นอันมาก เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยแลมองนางด้วยแววตางุนงงเต็มเปี่ยม
ปัญหาที่เด็กสาวสมัยนี้ขบคิดกันล้วนแปลกใหม่ไม่เหมือนใครอย่างนี้หรือ
เฉียวเจาถามจบแล้วถึงได้สติเต็มที่ นางเห็นเขานิ่งเงียบไปก็กระแอมกระไอเสียงหนึ่งก่อนกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง ข้าแค่อยากรู้อยากเห็นเลยออกมาถามดู…
หญิงสาวนับไม่ถ้วนที่อยู่กลางหมู่คนกลอกตาขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
จะไร้ยางอายเช่นนี้ไม่ได้นะ แม่ทัพเซ่าด่านางเด็กผู้นี้ไปเลย เร็วเข้า!
เซ่าหมิงยวนกลับหัวเราะแผ่วเบา ตอบคำถามของเฉียวเจา ไม่หรอก วางไว้กับน้ำแข็งพันปี
สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือรักษาร่างกายของนางไว้ในสภาพเดิม ให้ญาติพี่น้องได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้าย
เซ่าหมิงยวนรู้สึกได้ว่าตรงชายโครงเริ่มเจ็บตงิดๆ ขึ้นมาอีกแล้ว นั่นเป็นบาดแผลที่ได้มาจากการไปเก็บน้ำแข็งพันปีแล้วลื่นตกลงไปติดคากับแง่งหินแหลมคมตรงหน้าผาตอนหลังสงครามจบลง คิดไม่ถึงว่าจะถูกไอพิษเย็นของภูเขาหิมะเล่นงาน ยากจะหายขาดได้เสียที
อ้อ เป็นอย่างนั้นก็ดีเจ้าค่ะ เมื่อคิดถึงว่าศพของตนเองยังไม่เน่าเปื่อย เฉียวเจารู้สึกโล่งอกในที่สุด พลิ้วกายหายเข้าไปกลางฝูงชนอย่างว่องไว
เซ่าหมิงยวนมองกลางถนนที่ว่างเปล่า … ที่แม่นางน้อยผู้นั้นดักหน้าข้าเมื่อครู่นี้ก็เพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องเก็บรักษาศพ?
เซ่าหมิงยวนออกเดินต่อไปข้างหน้าด้วยสีหน้าดุจเก่า
เจียงหย่วนเฉาที่ปะปนอยู่ในหมู่ราษฎรเบนสายตาไปหยุดอยู่ที่ตัวเฉียวเจา
เทียบกับกวนจวินโหวผู้น่าเบื่อ เขาพบว่ายังคงเป็นแม่นางน้อยผู้นี้ที่น่าสนใจกว่ามาก
หลานสาวบุญธรรมของหมอเทวดา?
ไม่รู้ว่าหมอเทวดาท่านนั้นพูดตามปากพาไปหรือว่าจริงจัง
เฉียวเจาเพิ่งโดนคนลอบกัดเมื่อครู่นี้ พอผลุบกลับเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนแล้วก็ระแวดระวังตัวทุกฝีก้าว ไม่กล้าเผลอตัวใจลอยสุ่มสี่สุ่มอีก
ครั้นสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองตนอยู่ตลอดเวลา นางหันหน้าขวับก็ปะทะเข้ากับสายตาของเจียงหย่วนเฉาที่เบนไปทางอื่นไม่ทัน
ชั่วพริบตานั้น รูม่านตาของเด็กสาวหดแคบลง
เป็นเขา?
ช่างประจวบเหมาะเสียจริง เป็นสหายเก่าจากจยาเฟิงอีกแล้ว
มีอยู่ปีหนึ่งนางออกไปเก็บสมุนไพรให้ท่านปู่ พบคนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ นางเอายาขี้ผึ้งที่มีอยู่มอบให้เขาไป ภายหลังยังได้พบเจอกันโดยบังเอิญอีกหลายครั้งหลายหน
จะว่าไปแล้ว นางรู้แค่ว่าเขาเรียกตนเองว่า ‘สือซาน’ ยังไม่รู้ชื่อแซ่แท้จริงของเขาด้วยซ้ำไป
เจียงหย่วนเฉาฉุกคิดในใจเฉกเดียวกัน
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าแม่นางน้อยผู้นี้มีความรู้สึกเฉียบไวเกินกว่าที่เขานึกภาพไว้ หากที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือสายตาที่นางมองเขา
นางรู้จักข้า?!
ในฐานะที่เป็นองครักษ์จินหลินชั้นยอดผู้หนึ่ง เจียงหย่วนเฉาได้ข้อสรุปนี้ในชั่วอึดใจ
เขาเชื่อว่าสัญชาตญาณของตนเองไม่มีทางผิดพลาดไปได้
เมื่อครู่รูม่านตาของนางหดแคบลงวูบหนึ่ง นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของสีหน้ายามพบกับคนรู้จักอย่างเหนือความคาดหมาย ถึงตอนหลังจะกลบเกลื่อนอย่างไร แต่ท่าทีที่เผยออกมาโดยไม่รู้ตัวในชั่วพริบตานั้นโกหกกันไม่ได้
เช่นนี้ก็ช่างแปลกประหลาดดีแท้ บุตรสาวของอาลักษณ์ชั้นผู้น้อยผู้หนึ่งเคยออกจากเมืองหลวงครั้งเดียวเพราะถูกล่อลวงไปขายทางทิศใต้ แล้วจะรู้จักกับองครักษ์จินหลินที่จากเมืองหลวงไปหลายปีอย่างเขาผู้นี้ได้เช่นไร
หรือจะบอกว่าเด็กสาวผู้นี้เคยเห็นเขาระหว่างทางที่เขาออกจากจยาเฟิงไปทางทิศเหนือโดยไม่ตั้งใจ
ชั่วครู่นี้ท่านเจียงสือซานผู้สะสางเรื่องต่างๆ ได้อย่างเจนจัดช่ำชองกลับฉงนฉงายอยู่บ้าง
เฉียวเจาดึงสายตากลับแล้วหมุนกายออกเดินไป
วันนี้ได้หน้าได้ตา (ขายหน้า) มากพอแล้ว จะตกเป็นจุดสนใจของคนอีกไม่ได้
ก่อนหน้านี้ตอนเฉียวเจาผลุบเข้าหลบกลางกลุ่มคนโดยไม่คิดอะไรก็พลัดกับพวกหลีเจี่ยวแล้ว ตอนนี้นางก็ไม่เปลืองแรงไปตามหาว่าพวกพี่น้องอยู่ที่ใด หันหลังกลับไปตามทางเดิมทันที
กลับไปที่รถม้าของท่านย่าจะเข้าท่ากว่า
เจียงหย่วนเฉาเห็นเฉียวเจาหมุนกายเดินไปแล้วก็ก้าวขาตามไป แค่แม่นางน้อยที่ไม่มีพิษมีภัยใดๆ สักนิดผู้หนึ่งกลับสร้างความกังขาขึ้นในใจเขาได้ เป็นธรรมดาที่ต้องลองหยั่งเชิงดู
ฝูงชนที่ยืนอยู่สองข้างทางเคลื่อนตัวไปด้านหน้าตามเหล่าทหาร เฉียวเจาเดินเบียดผ่านถนนช่วงนั้นมาได้ก็ถึงจุดที่ว่างโล่งแล้ว นางสูดอากาศบริสุทธิ์แล้วอดระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งไม่ได้
ทันใดนั้นมีเงาดำทาทาบลงมาจากเบื้องหน้า นางเงยศีรษะขึ้นก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาคือคนที่นางได้เจอะเจออย่างคาดไม่ถึงเมื่อชั่วครู่ก่อนหน้านั่นเอง
แม่นางน้อย พวกเราเคยพบกันมาก่อนหรือ เจียงหย่วนเฉายกสองมือกอดอก พลางไต่ถามยิ้มๆ
เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ คนผู้นี้จับตาดูข้าแต่แรก!
นางแต่งกายเรียบง่ายแต่ไม่ซอมซ่อ บุรุษที่ดูเหมือนจะสุขุมหนักแน่นผู้หนึ่งกลับเอ่ยปากถามคำนี้อย่างตรงไปตรงมา เป็นเพียงเพราะไม่ใส่ใจเท่านั้นเอง
เหตุใดไม่ใส่ใจนั้น ก็เพราะรู้ว่าชาติตระกูลของนางไม่สูงพอที่เขาต้องใส่ใจ ดังนั้นถึงได้ทำตามสบายเช่นนี้
บนหน้านางมิได้เขียนชื่อแซ่บอกไว้สักหน่อย การที่รู้ชาติตระกูลของนางได้ไม่มีทางเป็นเพราะนางดักหน้ากวนจวินโหวเมื่อครู่นี้อย่างแน่นอน หากแต่เขาพอจะรู้อะไรๆ อยู่ก่อนแล้ว
พินิจจากวงสมาคมของแม่นางน้อยหลีเจาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะข้องแวะกับคนผู้นี้ ความเป็นไปได้ประการเดียวน่าจะเป็นหลังจากถูกล่อลวง
หรือว่าคนผู้นี้ก็เพิ่งเดินทางขึ้นเหนือมาที่เมืองหลวงเหมือนกัน และสังเกตเห็นกลุ่มของพวกนางกลางทาง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องรู้ว่ามีพวกฉือชั่นอยู่ด้วยมิใช่หรือ
แม่นางน้อย เหตุใดจึงไม่พูดไม่จาเล่า
ไม่ทราบว่าท่านอามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรเจ้าคะ
รอยยิ้มตรงมุมปากเจียงหย่วนเฉานิ่งค้างไป เขายกมือขึ้นลูบจมูกโดยไม่รู้ตัว
ท่านอา? ข้าดูแก่ชราถึงเพียงนั้นเลยหรือ
หรือว่าพอเหินห่างจากความมั่งคั่งสูงศักดิ์ในเมืองหลวง พาให้รูปโฉมร่วงโรยจากความตรากตรำลำบาก
ข้าแซ่เจียง
ท่านอาแซ่เจียงหรือนี่… ความคิดในหัวเฉียวเจาแล่นเร็วรี่
เขาเรียกตนเองว่าสือซาน เจียงสือซาน… นางรู้ศักดิ์ฐานะของคนผู้นี้ในชั่วอึดใจ
แซ่เจียง อยู่ในลำดับที่สิบสาม ดูท่าทางเป็นพวกที่อยู่ดีไม่ว่าดีและช่างสอดรู้สอดเห็นเช่นนี้ มีโอกาสเก้าในสิบส่วนที่จะเป็นหนึ่งในสิบสามราชองครักษ์ใต้อาณัติของท่านผู้บัญชาการเจียงท่านนั้น
ที่แท้เป็นองครักษ์จินหลินนั่นเอง
เฉียวเจาภาคภูมิใจในตนเองอยู่บ้าง ไม่เสียแรงเปล่าจริงๆ ที่นางเฝ้ารบเร้าเซ้าซี้ท่านพ่อตลอดช่วงที่ผ่านมา นางอาศัยสมองที่เป็นเลิศจดจำชื่อขุนนางคนสำคัญๆ ในราชสำนักได้คร่าวๆ แล้ว
ยกคำกล่าวของท่านพ่อมากล่าวคือ ฮ่องเต้ชุบเลี้ยงสุนัขบ้าที่ชี้ตรงใดก็กัดตรงนั้นไว้ตัวหนึ่ง แล้วเจ้าสุนัขบ้าก็เลี้ยงดูลูกสุนัขอีกสิบสามตัว ชอบหมอบอยู่หน้าประตูเรือนจับตาดูผู้คนเป็นที่สุด
ตอนนั้นนางไม่กล้าฟังจนจบด้วยซ้ำ ในที่สุดก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุไฉนท่านพ่อซึ่งมีความสามารถเป็นบัณฑิตเอกทั่นฮวา ถึงต้องดักดานอยู่ในสำนักราชบัณฑิตแต่งตำราพงศาวดารมาสิบกว่าปี ขืนปล่อยให้คนเช่นนี้หลุดรอดออกไป มีสิทธิ์ต้องโทษประหารทั้งโคตรได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าท่านลุงใหญ่ของจวนตะวันออกติดสินบนผู้บังคับบัญชาของท่านพ่อไปเท่าไร ผู้อยู่เบื้องบนท่านนั้นถึงทนรับคำครหาว่าปัดแข้งปัดขาผู้ใต้บังคับบัญชา กดหัวเขาไว้ไม่ให้โยกย้ายเลื่อนขั้นไปที่อื่นเรื่อยมา
ใช่ ข้าแซ่เจียง
อ้อ ไม่เคยพบกัน ลาก่อนเจ้าค่ะท่านอา เฉียวเจาหันหลังออกเดินไป