หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 540
บทที่ 540
เฉียวเจาไปที่จวนสกุลโค่วตามคำเชิญ โค่วจื่อโม่สวมเสื้อคลุมกันหนาวยืนต้อนรับอยู่ที่ซุ้มประตูเสาลอย
นางเห็นโค่วจื่อโม่แล้วตกใจยกหนึ่งอย่างสุดระงับ
ไม่พบหน้ากันหลายเดือนสองแก้มอวบอิ่มแต่เดิมของเด็กสาวร่างสูงระหงซูบตอบลง ชุดเสื้อกระโปรงสีเขียวไข่กาคู่กับเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกหิมะทำให้เด็กสาวผอมบางราวกับจะทานน้ำหนักอาภรณ์ไม่ไหว แลดูหมองเศร้าอย่างลึกล้ำอยู่หลายส่วน
“คุณหนูใหญ่ผอมลงนะเจ้าคะ” เฉียวเจาสาวเท้าเข้าไป
โค่วจื่อโม่เพ่งมองเด็กสาวตรงหน้าครู่หนึ่งถึงยื่นมือไปกุมมือนาง “น้องหลีซานดูเหมือนจะตัวสูงขึ้นแล้ว ข้างนอกหนาว พวกเราเข้าเรือนไปสนทนากัน”
สุ้มเสียงของนางนุ่มนวลสงบนิ่งทว่าชวนให้รู้สึกเศร้าสร้อยอย่างปราศจากเหตุผล
เฉียวเจาตามนางเข้าไปในเรือน
ห้องส่วนตัวของโค่วจื่อโม่วางอ่างไฟไว้หลายใบ พอก้าวเข้าไปก็ทนสวมเสื้อคลุมตัวนอกไม่ไหวแล้ว นางถอดเสื้อคลุมกันหนาวออกส่งให้สาวใช้ ถึงกล่าวชักชวนเฉียวเจา “น้องหลีซานนั่งลงสิ”
สาวใช้ยกน้ำชาร้อนมาวางให้แล้วถอยออกไปเงียบๆ
“เดี๋ยวน้องหลีซานอยู่กินอาหารกลางวันกับข้าที่นี่เถอะนะ”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ตอนออกมาข้าบอกกับท่านแม่ว่าจะกลับไปกินที่เรือน วันหน้าข้าขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารคุณหนูใหญ่ ค่อยเรียกพวกคุณหนูเจ็ดสกุลจูมาสังสรรค์กันวงเล็กๆ”
โค่วจื่อโม่มองเฉียวเจาอย่างจดจ่อ นางเม้มมุมปากทีหนึ่งค่อยกล่าวเสียงเบา “ข้าได้ยินว่าญาติผู้พี่รับน้องหลีซานเป็นน้องสาวบุญธรรมแล้ว”
เฉียวเจาพยักหน้าอย่างเปิดเผย “อื้อ ข้ากับพี่เฉียวโม่ถูกชะตากันมาก”
“ถูกชะตากันอย่างไรหรือ” โค่วจื่อโม่ซักถาม
นางมองโค่วจื่อโม่อย่างพินิจ ในดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้แกมฉงน ไม่เห็นวี่แววหวาดระแวงหรือไม่ชอบใจที่เกิดจากชายในดวงใจใกล้ชิดกับสตรีอื่นตามประสาเด็กสาว
เฉียวเจายิ้มน้อยๆ “ข้าเห็นพี่เฉียวโม่ก็รู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ราวกับว่าชาติที่แล้วข้ากับเขาเคยเป็นพี่น้องมาก่อน”
โค่วจื่อโม่ฟังแล้วก้มหน้าลง นางขยำผ้าเช็ดหน้าในมือเงียบๆ
“คุณหนูใหญ่?” เฉียวเจารู้สึกว่านางผิดแผกไปจากปกติ คล้ายมีความในใจอย่างไม่สิ้นสุดจึงส่งเสียงเรียกเบาๆ
โค่วจื่อโม่เงยหน้าขึ้น มองลึกเข้าไปในดวงตาของเฉียวเจา “น้องหลีซานเรียกข้าว่าพี่โค่วเถอะ ท่านกับญาติผู้พี่เป็นพี่น้องบุญธรรมกันแล้ว ในใจข้าท่านก็เป็นดั่งน้องสาวเช่นเดียวกัน”
เฉียวเจาอมยิ้มพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ พี่โค่ว”
โค่วจื่อโม่เห็นท่าทางกลั้นยิ้มไม่อยู่ของเด็กสาวตรงหน้า นางคิดตามทันก็หน้าแดงซ่าน “น้องหลีซานอย่าเข้าใจผิด ขะ…ข้ามิได้มีความหมายอื่นใด”
เฉียวเจามองนางพลางแย้มยิ้มพริ้มพราย ถึงนางจะรู้มาโดยตลอดว่าโค่วจื่อโม่มีความรู้สึกต่อพี่ชายตนอย่างลึกซึ้ง หากท่าทีของนางต่อเรื่องนี้คือปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของมัน
นางหวังว่าพี่ชายจะได้ตบแต่งภรรยาที่มีความรักซึ่งกันและกัน
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ นะ…” โค่วจื่อโม่กลับพลุ่งพล่านขึ้นมากะทันหัน นางพูดถึงตอนท้ายก็ถอนสะอื้นทีหนึ่ง จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ประหนึ่งทำนบน้ำตาแตกในพริบตา
“พี่โค่ว…”
โค่วจื่อโม่กอดเฉียวเจาไว้หมับ มือของนางสั่นเทาอย่างรุนแรง น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเย็นเฉียบ “น้องหลีซาน ท่านไม่ต้องพูดอะไร ขอข้าพิงซบ…พิงซบครู่เดียวก็พอ…”
เฉียวเจานิ่งเงียบไม่เปล่งเสียง เพียงยกมือขึ้นตบไหล่ของโค่วจื่อโม่เบาๆ
นางไม่ถามโค่วจื่อโม่ว่าเพราะอะไรถึงร่ำไห้ แต่เดาได้รางๆ ว่าต้องเกี่ยวข้องกับพี่ชายของตนอย่างแน่นอน
นับแต่พี่ใหญ่ย้ายออกจากจวนสกุลโค่วไปอยู่ที่จวนกวนจวินโหว ซ้ำยังเคยโดนจองจำในคุกหลวง โค่วจื่อโม่ไปเยี่ยมพี่ใหญ่หลายครั้ง ระหว่างสองคนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่นั้นไม่อาจรู้ได้แล้ว
โค่วจื่อโม่ยกตัวขึ้นนั่งหลังตรง หยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาแล้วกล่าวอย่างกระดากใจ “ทำให้น้องหลีซานหัวเราะเยาะแล้ว”
“พี่โค่วไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าอับอาย ไม่ว่าใครก็มีเวลาที่เสียใจทั้งนั้น เวลาเสียใจไม่ร้องไห้แล้วจะให้หัวเราะหรือไร สมควรร่ำไห้ก็ร่ำไห้ สมควรหัวร่อก็หัวร่อ นี่มิใช่เรื่องใหญ่อันใดสักหน่อยเจ้าค่ะ”
โค่วจื่อโม่หลุบตาเม้มปาก นางยิ้มบางๆ “น้องหลีซานกล่าวได้ถูกต้อง ขอบคุณมากนะ วันนี้ท่านอยู่กินอาหารด้วยกันเถอะ ถือเสียว่าอยู่คุยเป็นเพื่อนข้า”
ได้ยินโค่วจื่อโม่พูดเช่นนี้อีกครา เฉียวเจาจึงพยักหน้าตกลง
พวกนางพูดคุยสัพเพเหระกันไปไม่กี่คำก็ตั้งใจจะกินอาหาร สาวใช้ถือกล่องอาหารจากเรือนครัวใหญ่แล้วยกออกมาวางเรียงบนโต๊ะ
โค่วจื่อโม่ร้องไห้ต่อหน้าเฉียวเจามายกหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าทั้งสองคนสนิทสนมกันขึ้นไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว นางเอ่ยถามสาวใช้โดยไม่ทันคิด “กำชับเจ้าแล้วว่าให้บอกทางเรือนครัวใหญ่ทำน้ำแกงเนื้อแพะใส่ซานเย่าอีกอย่างหนึ่ง แล้วก็เพิ่มคางคกหิมะตุ๋นน้ำตาลกรวดอีกสองชามมิใช่หรือ”
สาวใช้กัดริมฝีปาก ตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนหลุบตาลงกล่าวว่า “เรือนครัวใหญ่บอกว่าคุณหนูสั่งช้าเกินไป ทำน้ำแกงเนื้อแพะใส่ซานเย่าไม่ทันเจ้าค่ะ”
“แล้วคางคกหิมะตุ๋นน้ำตาลกรวดเล่า”
สาวใช้ก้มหน้าต่ำลงอีก “คางคกหิมะหมดพอดี พรุ่งนี้ถึงจะไปซื้อเจ้าค่ะ”
คิ้วเรียวสวยของโค่วจื่อโม่ขมวดน้อยๆ นางมองดูอาหารบนโต๊ะอย่างละเอียดแล้วฉุกคิดขึ้นได้ นางเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
นางเป็นคนสุขุมหนักแน่น ถึงแม้มือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อหลวมกว้างจะกำแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ทว่าใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ นางเอ่ยบอกเสียงเรียบ “ออกไปเถอะ”
หลังจากสาวใช้ออกจากห้อง โค่วจื่อโม่ฝืนยิ้มกับเฉียวเจา “วันนี้ฉุกละหุกเลยต้อนรับได้ไม่เต็มที่ ต้องขออภัยน้องหลีซานแล้ว”
เฉียวเจาคลี่ยิ้มอย่างสบายอารมณ์ “ไม่หรอกเจ้าค่ะ อาหารของเรือนพี่โค่วพรั่งพร้อมกว่าที่จวนข้าตั้งมาก อย่างปลาไนผัดน้ำแดงจานนี้เป็นของโปรดของข้าพอดีเลย”
โค่วจื่อโม่ถอนหายใจโล่งอก “ถูกปากท่านก็ดี ฤดูหนาวกับข้าวเย็นเร็ว พวกเรากินเสร็จแล้วค่อยคุยต่อ”
พวกนางถือธรรมเนียมยามกินไม่สนทนา ยามนอนไม่พูดจา ต่างลงมือกินอาหารกันเงียบๆ
เนื้อปลาเกือบเย็นชืดอยู่ในปาก เฉียวเจารู้สึกว่ารสชาติเหมือนเคี้ยวเทียน
ขอบตานางร้อนผ่าวอยู่สักหน่อย นางกะพริบตาหลายทีถึงสะกดความขมขื่นใจไว้ได้
บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วกลับมาเยี่ยมสกุลเดิมคือแขกอันทรงเกียรติ ฐานะหลานสาวนอกสกุลก็ยังนับเป็นแขกที่มีเกียรติอยู่บ้าง นางมาที่เรือนท่านตาท่านยายหลายครั้ง รู้ว่าที่นี่แบ่งโต๊ะอาหารเลี้ยงแขกเป็นหกระดับ นางในอดีตเคยได้รับการรับรองในระดับที่หนึ่ง บัดนี้กลับอยู่ในระดับสุดท้ายเสียแล้ว
แม่นางน้อยหลีเจาอาจไม่เข้าใจ แต่นางจดจำได้แม่นยำ โต๊ะอาหารเลี้ยงแขกระดับสุดท้ายของสกุลโค่วนั้นใช้รับรองบ่าวไพร่คนสำคัญที่แขกผู้ทรงเกียรติพาติดตามมาด้วย
สกุลโค่วรับรองสหายของคุณหนูใหญ่ด้วยอาหารที่รับรองบ่าวไพร่ นัยความหมายที่แฝงอยู่นี้ชัดเจนโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยเป็นวาจา
พวกเขาคงดูแคลนว่าคุณหนูสกุลหลีไม่รู้เรื่องรู้ราว ดังนั้นมีเจตนาจะบอกกับโค่วจื่อโม่ หวังว่าวันหน้านางอย่าได้เชิญคุณหนูสกุลหลีมาที่จวนอีก
ท่านป้าสะใภ้ใหญ่โดนกักขังเอาไว้ด้วยเหตุผลเพราะมีอาการฟั่นเฟือน เพลานี้ผู้ดูแลจวนเสนาบดีคือโต้วซื่อท่านป้าสะใภ้รอง
กระนั้นโต้วซื่อไม่จำเป็นต้องฉีกหน้าโค่วจื่อโม่อย่างนี้ คนเป็นป้าสะใภ้ยื่นมือยุ่งกับเรื่องคบหาสหายของหลานสาวเป็นเรื่องที่เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ ไยไม่เอาเวลานี้ไปอบรมสั่งสอนบุตรชายบุตรสาวของตนเล่า
ด้วยเหตุนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าคนที่บงการให้เรือนครัวใหญ่ทำเช่นนี้คือเซวียซื่อ ท่านยายของนาง
ในอดีตท่านยายเมตตาใจดีต่อนางมาก ทุกครั้งที่มาจะให้ความสนิทสนมเสียยิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ บัดนี้นางกลายเป็นหลีเจา กลับได้กินอาหารที่ใช้รับรองบ่าวไพร่มื้อหนึ่ง
กระนั้นเมื่อความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในทีแรกจางหายไป เฉียวเจาเหยียดแผ่นหลังตรง
นี่ไม่เห็นจะเป็นอะไร นางมีท่านพ่อท่านแม่กับท่านย่าที่รักใคร่นางเพราะนางคือหลีเจา ตอนนี้ได้รับการปฏิบัติเฉกนี้ก็เพราะนางคือหลีเจาอีกเช่นกัน
มีได้ย่อมมีเสียเท่านั้นเอง อย่างน้อยนางได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเป็นกำไรเสียยิ่งกว่ากำไรแล้ว
ครั้นเฉียวเจาปล่อยวางจิตใจได้ อาหารในปากก็เริ่มมีรสชาติ
โค่วจื่อโม่กลับเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม รอกระทั่งเฉียวเจากลับไปนางก็ก้าวขาเดินไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเซวีย
“จื่อโม่มาแล้วหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียกวาดตามองหลานสาวอย่างมึนตึง “มาหาท่านย่าแล้วไฉนไม่พูดไม่จาเล่า”
นางกัดริมฝีปาก “ท่านย่า วันนี้…”
“เจ้าอยากถามเรื่องอาหารกลางวันกระมัง”
โค่วจื่อโม่หลุบตาลงเป็นเชิงยอมรับ
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียกล่าวเอื่อยๆ “จื่อโม่ วันหน้าอย่าไปมาหาสู่กับคุณหนูสกุลหลี”
“เพราะอะไรเจ้าคะ”