หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 544
บทที่ 544
“หลีซาน เจ้ายอมกลับมาเสียทีนะ” เจียงซือหร่านพูดอย่างมีนัยกำกวม
“องค์หญิงกับคุณหนูเจียงมาแล้วหรือ” เฉียวเจากล่าวทักทายแล้วเอ่ยสั่งปิงลวี่ที่ติดตามอยู่ด้านหลัง “ชงชาที่ข้านำกลับมาจากแดนใต้”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ขานรับแล้วก้มหน้ามองก้อนอิฐในมือ นางตัดสินใจไม่ได้ว่าควรวางไว้ตรงที่ใดดี
เฉียวเจาเลื่อนสายตาลงไปมองเห็นก้อนอิฐก็ส่งเสียงไอเบาๆ เสียงหนึ่ง
ปิงลวี่รีบวางก้อนอิฐไว้ใต้ชั้นวางแจกันดอกไม้ นางมองเจียงซือหร่านแวบหนึ่งอย่างระแวดระวังถึงเดินออกไป
เจียงซือหร่านเห็นก้อนอิฐแล้วสีหน้านิ่งขึงไป นางแค่นเสียงกล่าว “อะไรกัน สาวใช้ของเจ้ายังคิดจะขว้างก้อนอิฐใส่ข้าด้วยหรือ”
เฉียวเจาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณหนูเจียงคิดมากไปแล้ว”
เจียงซือหร่านรออยู่ครู่หนึ่ง เห็นเฉียวเจาไม่พูดอะไรต่ออีก นางก็กัดริมฝีปากอย่างห้ามไม่อยู่
ถึงกับไม่เอ่ยอธิบายแม้สักคำ คงมั่นใจว่าข้าทำอะไรนางไม่ได้ใช่หรือไม่
“หลีซาน เจ้าบอกกับองค์หญิงเก้าไว้ดิบดีว่าสามวันให้หลังจะปรับวิธีการใช้ยาใหม่ วันนี้องค์หญิงเก้าเชิญเจ้าเข้าวัง เจ้ากลับไม่ไป ข้าว่าเจ้าไม่เห็นองค์หญิงเก้าอยู่ในสายตาเลยสักนิดกระมัง”
เฉียวเจาชายตามองเจียงซือหร่านอย่างเฉยเมยแล้วมองไปทางองค์หญิงเจินเจิน “องค์หญิงทรงดึงผ้าคลุมพระพักตร์ออกให้ข้าดูสักหน่อยเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินดึงผ้าคลุมหน้าออกเงียบๆ นางแอบขยุ้มผ้าเช็ดหน้าพลางจ้องมองเฉียวเจา ในใจกระสับกระส่ายอย่างมาก
สุ้มเสียงแฝงโทสะของเจียงซือหร่านกลับดังขึ้น “เจ้าหูหนวกใช่หรือไม่ ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ”
องค์หญิงเจินเจินอดขมวดคิ้วไม่ได้ เพียงรู้สึกว่าเสียงนี้บาดหูเป็นพิเศษ
เหตุใดในกาลก่อนไม่รู้สึกว่าสหายรักพูดมากน่ารำคาญเช่นนี้นะ
ในเวลานี้เฉียวเจาถึงหันไปมองเจียงซือหร่าน เอ่ยถามอย่างใจเย็น “คุณหนูเจียงสามารถพูดแทนองค์หญิงได้ใช่หรือไม่”
เจียงซือหร่านนิ่งชะงักไปกับคำถามนี้ นางอดมองไปทางองค์หญิงเจินเจินไม่ได้
องค์หญิงเจินเจินส่งยิ้มให้เฉียวเจาอย่างฝืดเฝื่อน “ข้าย่อมมิได้คิดอย่างนี้แน่นอน หร่านรานเป็นคนโผงผาง คุณหนูหลีซานอย่าเก็บมาใส่ใจ”
“เจินเจิน!” เจียงซือหร่านไม่คาดว่าสหายรักจะปฏิเสธทันที นางรู้สึกเสียหน้าฉับพลัน พาให้ในใจเคืองโกรธมาก
“เป็นอย่างนั้นก็ดีเพคะ หม่อมฉันยังนึกว่าองค์หญิงทรงคิดเช่นนี้เหมือนกัน ที่แท้เป็นความเห็นของคุณหนูเจียงเพียงผู้เดียว”
“เจ้า…” เจียงซือหร่านโกรธจนหน้าแดงก่ำ นางคิดโต้แย้งกลับหาจุดที่จะโต้แย้งไม่ออก
“เชิญดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ” ปิงลวี่ประคองถาดเข้ามายกถ้วยน้ำชาวางให้แล้วถอยไปอยู่ด้านข้างหยิบก้อนอิฐมาถือไว้ดังเก่า
ก้อนอิฐที่ใช้รองฐานก้อนนี้แข็งทนทานดี สาวใช้น้อยคิดอยู่ในใจ
แม้ว่าเฉียวเจาได้งีบหลับครู่หนึ่งในเรือนด้านข้าง แต่สองวันมานี้เพื่อลอกเลียนลายมือของผู้ตรวจการสิงแล้วเรียกได้ว่าเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ขณะนี้ยังรู้สึกปวดศีรษะตุบๆ ไม่หาย นางจึงพูดตรงเข้าเรื่อง “พระฉวีขององค์หญิงไม่ได้เกิดอาการแพ้ต่อยาขี้ผึ้ง ตั้งแต่วันนี้ก็ทาต่อไปเรื่อยๆ ตอนเช้าตื่นบรรทมแล้วล้างยาขี้ผึ้งที่ทาก่อนเข้าบรรทมออกแล้วทาใหม่ ทำเช่นนี้ซ้ำๆ อีกเจ็ดวันค่อยดูผลอีกทีเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินลอบผิดหวังอยู่บ้าง นางถามขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ “เท่านี้เองหรือ”
เฉียวเจาคลี่ยิ้มมองนาง “ปกติอยากให้รอยสิวเม็ดหนึ่งจางหายไปยังต้องใช้เวลาสิบวันครึ่งเดือนเลยนะเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินรู้ตัวว่าเสียกิริยาก็หน้าแดงเล็กน้อย “เป็นข้าใจร้อนเอง”
เสด็จย่าโปรดปรานสตรีที่มีมารยาทรู้ความ นางจะพูดจาตามอำเภอใจเฉกเดียวกับเจียงซือหร่านจนมีกิตติศัพท์แพร่ออกไปว่ายโสโอหังไม่ได้
ในยามนี้เองม่านผ้าสำลีอุ่นหนาไหวพะเยิบพะยาบ อาจูเดินเข้ามากระซิบบางอย่างที่ข้างหูผู้เป็นนาย
แววประหลาดใจผุดขึ้นบนใบหน้าของเฉียวเจา นางลุกขึ้นยืน “องค์หญิง คุณหนูเจียง ข้าขอตัวก่อนสักครู่”
“เช่นนั้นพวกข้า…” องค์หญิงเจินเจินกล่าวไปครึ่งๆ กลางๆ พลันรู้สึกว่าเจียงซือหร่านเตะตนเองเบาๆ ทีหนึ่ง นางจึงเปลี่ยนเป็นพูดว่า “เช่นนั้นพวกข้าจะรอท่าน คุณหนูหลีซานเชิญตามสบายเถอะ”
เฉียวเจายอบกายน้อยๆ เป็นเชิงขอขมา นางเดินไปถึงหน้าประตูแล้วหยุดฝีเท้า “ปิงลวี่ ตามข้าออกไป”
เพื่อป้องกันไว้ก่อนพาสาวใช้ที่ถือก้อนอิฐไว้ไปด้วยจะดีกว่า มิเช่นนั้นเกิดประเดี๋ยวนางเอาก้อนอิฐทุบสองคนที่นั่งอยู่ในโถงนี้ขึ้นมา คงได้ปวดเศียรเวียนเกล้ากันอีก
รอเมื่อเฉียวเจาไปแล้วองค์หญิงเจินเจินจิบน้ำชาคำหนึ่งก่อนเอ่ยกับสาวใช้ที่รอรับใช้อยู่ในโถง “เจ้าออกไปเถอะ ข้ามีบางอย่างจะคุยกับคุณหนูเจียง”
สาวใช้ซึ่งทำหน้าที่รินน้ำชาย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งองค์หญิง นางกุลีกุจอถอยออกไป
องค์หญิงเจินเจินมองไปทางเจียงซือหร่าน
“เจินเจิน เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าตอนสาวใช้ผู้นั้นเข้ามาบอกความเมื่อครู่นี้ หลีซานหน้าเปลี่ยนสีไปเลย”
องค์หญิงเจินเจินพยักหน้า เมื่อครู่นางเห็นเฉียวเจาทำหน้าประหลาดใจ แต่นางไม่รู้สึกว่าเกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง
เจียงซือหร่านเห็นสหายรักมิได้เอาใจใส่ นางขมวดคิ้วพลางกล่าว “เจินเจิน เจ้าไม่สนใจใคร่รู้เลยหรือ นางต้องเจอปัญหาใหญ่เป็นแน่ หาไม่แล้วคนหน้าตายอย่างนาง เหตุใดถึงมีสีหน้าอย่างนั้น”
“ปัญหาใหญ่?” ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด แผ่นหลังของเงาร่างที่ขี่ม้าสายหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิดขององค์หญิงเจินเจิน
ทิศทางที่กวนจวินโหวจากมาเป็นตรอกซิ่งจื่อ หรือว่าเขาไปเยี่ยมคารวะสกุลหลี
“ไม่ได้ ข้าต้องไปสืบสถานการณ์ดูสักหน่อย” เจียงซือหร่านตะเบ็งเสียงเรียกสาวใช้เข้ามา “พาข้าไปห้องเวจที”
ยามเฉียวเจารุดไปถึงโถงรับแขกอย่างเร่งร้อน ยังไม่ถึงหน้าประตูก็ได้ยินหลีกวงเหวินแผดเสียงอย่างโกรธจัด “ไร้เหตุผลสิ้นดี เจาเจายังอายุไม่ถึงสิบสี่ปี จวนจิ้งอันโหวกลับเชิญแม่สื่อมาสู่ขอ จิ้งอันโหวโดนลาดีดกะโหลกไปแล้วกระมัง”
เสียงกระแอมกระไอของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลอยมาจากในโถง “เจ้าใหญ่ เจ้าใจเย็นสักนิด”
“ใจเย็น? ข้าใจเย็นไม่ไหวขอรับ พอคิดถึงว่าบุตรสาวที่ยังไม่ย่างวัยสิบสี่ปีก็โดนคนหมายตาไว้ ข้าก็โกรธแทบอกแตกตายแล้ว”
แม่นางเฉียวที่นอกประตูอดพยักหน้าไม่ได้
ใช่ ตอนนี้นางก็โกรธแทบอกแตกตายเช่นกัน
พูดกันเป็นมั่นเหมาะว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าถึงจะมาสู่ขอ จู่ๆ เซ่าหมิงยวนเกิดเสียสติอะไรขึ้นมา ถ้าเปลี่ยนเป็นครอบครัวทั่วไปอาจยินดีแทบคลั่งกับเรื่องนี้ แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าท่านพ่อที่เคารพของนางผู้นี้ไม่เหมือนกับคนทั่วไป
“คุณหนูสามมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูส่งเสียงบอก
เฉียวเจาย่างเท้าเข้าไป
ในโถงเงียบเชียบลงกะทันหัน
ตลอดทางที่เดินมาเฉียวเจาปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้แล้ว นางแสดงคำนับต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งและหลีกวงเหวิน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอ้าปากกล่าวด้วยสีหน้าที่ฉายอารมณ์ปนเป “หลานเจา เมื่อครู่มีแม่สื่อมาที่จวนสู่ขอเจ้าให้คุณชายรองของจวนจิ้งอันโหว ท่านย่ารู้สึกว่าเรื่องนี้กะทันหันไปบ้าง ถึงเรียกเจ้ามาถามไถ่”
“แม่สื่อเล่าเจ้าคะ” เฉียวเจาเอ่ยถาม นางก็รู้สึกว่ากะทันหัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งชายตามองหลีกวงเหวินที่ทำสีหน้าฉุนเฉียวแวบหนึ่งก่อนบอกอย่างอ่อนใจ “ถูกท่านพ่อเจ้าไล่กลับไปแล้ว”
หลีกวงเหวินแค่นเสียงฮึ “แม่สื่อเลอะเลือนพรรค์นั้นไม่ไล่กลับไป จะรั้งตัวไว้อยู่ฉลองวันตรุษในเรือนเราหรือ”
มุมปากของเฉียวเจายกโค้งขึ้น ทีแรกนางโกรธเคืองอยู่สักหน่อย ไม่รู้เพราะเหตุใดได้ยินถ้อยคำของท่านพ่อ นางเพียงอยากหัวเราะแล้ว
เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังมา สาวใช้ไม่ทันได้กล่าวรายงาน เหอซื่อกับหลิวซื่อนายหญิงรองก็เดินเข้ามาพร้อมกัน
หลิวซื่อตั้งท่าจะแสดงคารวะต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ด้านเหอซื่อกลับเอ่ยถามขึ้นทันควัน “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านพี่ ข้าได้ยินว่ามีแม่สื่อมาสู่ขอที่จวนหรือเจ้าคะ”
“ฮึ” หลีกวงเหวินยังมีน้ำโหจนไม่อยากพูดจาดุจเก่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลัวเหอซื่อจะบันดาลโทสะจนกระทบกระเทือนทารกในครรภ์ นางรีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “นั่งก่อนเถอะ อย่าเพิ่งร้อนรนหัวเสีย มีแม่สื่อมาสู่ขอที่จวนจริงๆ แต่ว่า…”
เหอซื่อฟังได้ครึ่งเดียวก็หน้าชื่นตาบาน นางตบมือพร้อมกล่าว “ดีเหลือเกิน ข้าว่าแล้วเชียวว่าต้องมีตระกูลที่ตาแหลม เจาเจาของข้าจะไม่ได้ออกเรือนได้อย่างไรเล่า!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดไม่ออกไปทันที “…”