หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 552
บทที่ 552
เมื่องานเลี้ยงชมดอกไม้ของจวนหลิวซิ่งโหวสิ้นสุดลง ข่าวจิ้งอันโหวสู่ขอคุณหนูสามของตระกูลอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตให้บุตรชายคนรองก็แพร่สะพัดไปทั่วทุกจวนในเมืองหลวงประหนึ่งสายลมระลอกหนึ่ง แม้กระทั่งฮ่องเต้หมิงคังก็ยังได้รู้เรื่องนี้จากเจียงถัง
“นี่เป็นความประสงค์ของจิ้งอันโหว หรือความต้องการของกวนจวินโหวหรือ” ฮ่องเต้หมิงคังเหลือบเปลือกตาขึ้นเอ่ยถามตรงเข้าจุดสำคัญ
เจียงถังนึกถึงที่เซ่าหมิงยวนคอยปกป้องเฉียวเจาทั้งในที่ลับและที่แจ้งแล้วกล่าวตอบ “กระหม่อมเห็นว่าเรื่องนี้สมควรเป็นความต้องการของกวนจวินโหวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังตบโต๊ะทรงพระอักษรเบาๆ พลางหัวเราะ “เราก็คิดว่าเป็นความต้องการของกวนจวินโหว”
เขาหมุนคลึงเมล็ดเหอเถาสลักลายมังกรและหงส์ในมืออย่างเอื่อยเฉื่อย หากน้ำเสียงแฝงนัยชอบกล “กวนจวินโหวผู้นี้ของเราเป็นคนฉลาดเฉลียว”
เจียงถังซึ่งยืนฟังอยู่ด้านข้างหาได้กล่าวตอบไม่
เป็นคนใกล้ชิดของโอรสสวรรค์ที่มีความคิดอ่านแปลกพิสดารผู้นี้มาหลายสิบปี เขาย่อมต้องรู้แน่นอนว่าเมื่อใดควรพูด เมื่อใดควรเงียบ
ฮ่องเต้หมิงคังมิใช่กษัตริย์เลอะเลือนไร้ความสามารถในบันทึกพงศาวดารเหล่านั้น เขาเกียจคร้านไม่เข้าประชุมขุนนาง มิใช่ว่าปกครองแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ไม่ไหว แต่เพราะไม่คิดจะสนใจ ขอเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ไม่ต้องรับผิดชอบงานบ้านงานเมืองใดๆ อย่างสบายอกสบายใจ
เจียงถังไม่อยากขบคิดให้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง เขารู้สึกไม่วายว่าขืนคิดมากไปจะเกิดอารมณ์ชั่วแล่นอยากโยนภาระหน้าที่ทิ้งไปให้หมด
“ฉลาดเกินไปก็ไม่ใคร่จะดี พี่ถัง ท่านเห็นว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” เจียงถังโค้งกายลงเอ่ย เขายังจะพูดอะไรอีกได้
ฮ่องเต้หมิงคังเหลือบเปลือกตาขึ้นมองเขา “พี่ถัง เรามีพระธิดาที่ยังไม่อภิเษกอีกกี่พระองค์นะ”
เจียงถังลอบกระตุกมุมปาก เป็นพระบิดาประสาอะไร มีพระธิดายังไม่อภิเษกอีกกี่คนกลับมาถามข้า!
“ทูลฝ่าบาท ขณะนี้ยังมีองค์หญิงห้า องค์หญิงแปด และองค์หญิงเก้าที่ยังมิได้อภิเษกสมรสพ่ะย่ะค่ะ”
“เอ๊ะ เหตุใดองค์หญิงหกกับองค์หญิงเจ็ดถึงได้อภิเษกก่อนองค์หญิงห้าเล่า” ฮ่องเต้หมิงคังผู้ไม่สนใจวังหลังมาเนิ่นนานบังเกิดความสนใจใคร่รู้ขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
เจียงถังกระแอมกระไอเบาๆ ทีหนึ่ง “เมื่อปีกลายองค์ชายของแคว้นซีเจียงเป็นผู้แทนเสด็จมาถวายเครื่องราชบรรณาการประจำปีแล้วทรงมีจิตปฏิพัทธ์ต่อองค์หญิงหกตั้งแต่แรกพบ จึงทูลสู่ขอองค์หญิงไปเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ เรานึกออกแล้ว มีเรื่องนี้จริงๆ เช่นนั้นองค์หญิงเจ็ดเล่า”
“องค์หญิงเจ็ด…สิ้นพระชนม์ไปด้วยพระอาการประชวรเมื่อปีที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…” เจียงถังถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ฮ่องเต้หมิงคังก็รู้สึกเสียหน้าอยู่บ้างที่ลืมเลือนกระทั่งว่าพระธิดาตายไปแล้ว เขากระแอมกระไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนกล่าว “เรารู้แล้ว พี่ถัง ท่านออกไปเถอะ”
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” เจียงถังลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
“รอประเดี๋ยว” ฮ่องเต้หมิงคังฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ ดวงตารียาวของเขาเหล่มองไปทางด้านข้าง “เว่ยอู๋เสีย หยิบโอสถทิพย์สองเม็ดให้พี่ถังของเรานำติดตัวไปด้วย”
ผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ทรงเกียรติเกือบล้มหน้าคว่ำอยู่ตรงหน้าโต๊ะทรงพระอักษร
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงถังมองฟ้าอย่างหมดคำพูด
เพราะอะไรฮ่องเต้ที่แม้แต่พระธิดาในไส้ตายไปแล้วยังจำไม่ได้ กลับ…กลับไม่เคยลืมพระราชทานโอสถทิพย์ให้ข้า!
เมื่อเอาตลับหยกที่ใส่โอสถทิพย์ไว้ยัดใส่มือเจียงถัง เว่ยอู๋เสียส่งเสียงไอเบาๆ เป็นเชิงเตือนเจียงถังที่เสียกิริยาไปบ้าง “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ถือไว้ดีๆ แล้วนะขอรับ”
เจียงถังดึงสติคืนมาแล้วขอบพระทัยอีกคำรบหนึ่ง
รอเจียงถังออกไปแล้วฮ่องเต้หมิงคังเบือนหน้ามองไปทางเว่ยอู๋เสีย “เหตุใดองค์หญิงห้ายังไม่อภิเษกสมรสหรือ”
เว่ยอู๋เสียลอบถอนใจเฮือกหนึ่งแต่ไม่กล้าแสดงสีหน้าผิดแผกไปแม้สักกระผีก “ทูลฝ่าบาท หลายปีก่อนองค์หญิงห้าเคยทรงออกหัด…”
ฮ่องเต้หมิงคังจับนัยความหมายที่แฝงอยู่ได้อย่างเฉียบไว “องค์หญิงห้าเป็นฝีดาษหรือ”
เว่ยอู๋เสียไม่กล้าปริปาก เขาก้มหน้าเป็นเชิงยอมรับโดยปริยาย
ฮ่องเต้หมิงคังนิ่งเงียบครู่หนึ่ง หากยกองค์หญิงหน้าปรุให้แต่งงานกับกวนจวินโหว…ช่างเถอะ นี่เขาติงว่ากวนจวินโหวไม่ก่อกบฏใช่หรือไม่
“เว่ยอู๋เสีย ไปเรียกองค์หญิงแปดกับองค์หญิงเก้ามาหาข้า”
“ฝ่าบาท…” เว่ยอู๋เสียตั้งใจจะเอ่ยเตือนฮ่องเต้หมิงคังให้รู้เรื่องที่องค์หญิงเก้าเสียโฉม แต่เพิ่งอ้าปากออก ดวงตารียาวฉายแววรำคาญของฮ่องเต้ก็ตวัดมองมา
เขาหลุบตาลงต่ำ “กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ในตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจินเจิน องค์หญิงซึ่งทายาขี้ผึ้งสีเขียวอ่อนจนทั่วใบหน้ากำลังพูดคุยกับเจียงซือหร่านที่รีบร้อนมาหา
“เจ้าพูดว่าคนที่ไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีเป็นจวนจิ้งอันโหวหรือ” มือที่วางอยู่บนหัวเข่าขององค์หญิงเจินเจินขยุ้มชายเสื้อ “แล้วสู่ขอให้ใคร”
สีหน้าของเจียงซือหร่านขรึมลงเล็กน้อยๆ “ให้กวนจวินโหว”
องค์หญิงเจินเจินตัวสั่นสะท้าน ริมฝีปากของนางกระตุกริกทว่าไม่เปล่งเสียงใดออกมา
เจียงซือหร่านเตะเสาสีแดงทีหนึ่งอย่างหงุดหงิด “เจินเจิน เจ้าว่าจิ้งอันโหวสติสตังไม่ปกติใช่หรือไม่ เพราะอะไรถึงสู่ขอคนที่ชื่อเสียงป่นปี้อย่างหลีซานมาเป็นภรรยาให้กวนจวินโหว”
แม้ว่าบิดาของนางเคยบอกว่ากวนจวินโหวปฏิบัติต่อหลีซานผิดจากสามัญ แต่นางยังคงไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษเช่นนั้นจะตบแต่งหลีซานเป็นภรรยา
นี่ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!
แพขนตาที่หลุบต่ำขององค์หญิงเจินเจินสั่นระริก นางกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นๆ “คงเป็นบุพเพสันนิวาสกระมัง”
ภาพแผ่นหลังสง่างามของร่างที่ขี่ม้าห่างไปไกลสายนั้นวาบผ่านเข้ามาในหัวสมองของนาง
บุรุษผู้นั้นมาจากทางตรอกซิ่งจื่อสวนผ่านรถม้าของนางไปอย่างองอาจผึ่งผาย ควบม้าเร็วฉิวราวกับเหาะจากไปโดยไม่หยุดเหลียวหลังแม้ชั่วเสี้ยวขณะ
เขาน่าจะไปพบคุณหนูหลี
ระหว่างคนทั้งคู่คงบังเกิดความรักต่อกันมานานแล้วกระมัง
องค์หญิงเจินเจินคิดคำนึงอย่างยอกแสลงใจ
“เจินเจิน เจ้าเป็นอะไรไป”
องค์หญิงเจินเจินดึงความคิดคืนมาแล้วสั่นศีรษะ “ไม่มีอะไร”
เวลานี้เองมีนางกำนัลเข้ามารายงาน “องค์หญิง ฝ่าบาททรงเรียกตัวพระองค์ไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษรเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินตระหนกตกใจแต่ไม่กล้าโอ้เอ้ชักช้าแม้สักนิด นางสวมผ้าคลุมหน้าเรียบร้อยแล้วสาวเท้าออกไป
เจียงซือหร่านเห็นดังนั้นก็ตามไป
คนที่มาเชิญองค์หญิงเจินเจินคือเสี่ยวเติ้งจื่อบริวารคนโปรดของเว่ยอู๋เสียขันทีตรวจฎีกา
องค์หญิงเจินเจินไร้ความมั่นใจ นางส่งเสียงถามเบาๆ “กงกงรู้หรือไม่ว่าเสด็จพ่อทรงเรียกข้าด้วยเหตุใด”
เสี่ยวเติ้งจื่อลังเลใจครู่หนึ่ง ตามหลักแล้วเรื่องพรรค์นี้ไม่พึงพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ทว่าองค์หญิงพระองค์นี้ได้รับความสำคัญจากไทเฮาต่างจากองค์หญิงพระองค์อื่นๆ ยิ่งกว่านั้น…
เสี่ยวเติ้งจื่อชำเลืองมองเจียงซือหร่านทางหางตา
ยิ่งกว่านั้นองค์หญิงเก้ากับบุตรสาวของท่านผู้บัญชาการเจียงสนิทสนมกันดุจพี่น้อง เขาไม่จำเป็นต้องล่วงเกินคน
“ฝ่าบาทตรัสถามถึงองค์หญิงที่ยังไม่อภิเษกสมรสพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเติ้งจื่อชี้แนะคำหนึ่ง
องค์หญิงเจินเจินสะดุ้งโหยงในใจ นางอดมองเจียงซือหร่านแวบหนึ่งไม่ได้
หร่านรานบอกว่าพวกนางพ่อลูกเข้าวังมาพร้อมกัน เสด็จพ่อกลับถามถึงองค์หญิงที่ยังไม่อภิเษกสมรส นี่แสดงว่าท่านผู้บัญชาการเจียงรายงานเรื่องที่จิ้งอันโหวสู่ขอคุณหนูหลีซานให้กวนจวินโหวต่อเสด็จพ่อแล้วเป็นแน่
เสด็จพ่อคิดจะรับกวนจวินโหวเป็นราชบุตรเขย?
องค์หญิงเจินเจินเริ่มใจเต้นแรง แต่พอภาพแผ่นหลังของร่างที่ขี่ม้าเร็วรี่ราวกับเหาะสายนั้นผุดขึ้นในหัว จิตใจของนางก็สงบลง
เสี่ยวเติ้งจื่อเห็นองค์หญิงเจินเจินหยุดฝีเท้ากะทันหันเขาจึงกระซิบเตือน “องค์หญิง ฝ่าบาทยังทรงรออยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงเจินเจินดึงสติคืนมา นางเอ่ยกับเจียงซือหร่านอย่างเร่งรีบ “รอข้ากลับมาแล้วค่อยกลับนะ”
พื้นทางเดินที่เชื่อมไปยังห้องทรงพระอักษรถูกกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ไม้ประดับสูงค่าหายากสองข้างทางสวยสดงดงามละลานตา
เป็นคราแรกที่องค์หญิงเจินเจินรู้สึกว่าทางเดินสายนี้ยาวเหยียดปานนั้น
“ฝ่าบาท องค์หญิงเก้าเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงเจินเจินก้าวเท้าเข้าไปแล้วหมอบคำนับ “ถวายพระพรเสด็จพ่อเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงคังก้มลงมองพินิจพระธิดาที่ไม่พบหน้ามานานเบื้องล่างพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ
ลูกเก้าชื่อว่าอะไรนะ
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วเวลาสั้นๆ ฮ่องเต้หมิงคังเอ่ยปากขึ้น “เสี่ยวจิ่ว* ลุกขึ้นเถอะ เงยหน้าขึ้นให้เสด็จพ่อดูสิ”
องค์หญิงเจินเจินเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่อฟัง
ฮ่องเต้หมิงคังอึ้งงันไป “เหตุใดถึงสวมผ้าคลุมหน้า”
องค์หญิงเจินเจินหลุบตาลง “ทูลเสด็จพ่อ เมื่อหลายเดือนก่อนใบหน้าของหม่อมฉันมีแผลเป็นหนองจนเสียโฉม พักนี้กำลังทายารักษาอยู่เพคะ”
“ถอดผ้าคลุมหน้าออก”
องค์หญิงเจินเจินกัดริมฝีปากก่อนยกมือดึงผ้าคลุมหน้าออก
ฮ่องเต้หมิงคังมองแวบเดียวก็เบนสายตาออก “คลุมไว้เถอะ”
องค์หญิงที่เราเลี้ยงดูอยู่ล้วนเป็นอะไรกันไปหมด พอถึงเวลาสำคัญกลับไม่มีสักคนที่ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้!
ฮ่องเต้หมิงคังโบกมือไปมา “ใบหน้าเป็นแผลอยู่ก็รักษาให้ดีๆ เถอะ ต้องการอะไรก็บอกกับเสด็จแม่ของเจ้านะ”
“หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ” องค์หญิงเจินเจินเดินออกไปข้างนอกด้วยสายตาเย็นชา นางยิ้มเยาะในใจ
เกรงว่าเสด็จพ่อยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าเสด็จแม่ของข้าเป็นใคร
องค์หญิงเจินเจินเดินสวนกับองค์หญิงแปดตรงบันไดหยกขาวหน้าประตู
* เสี่ยวจิ่ว แปลว่าเจ้าเก้าน้อย