หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 554
บทที่ 554
ในจวนจิ้งอันโหว หวังซื่อฮูหยินของซื่อจื่อจิ้งอันโหวกำลังร่ำไห้ปรับทุกข์กับสามี “ซื่อจื่อ ท่านว่าท่านโหวจะให้น้องรองหมั้นหมาย ไยไม่บอกไม่กล่าวพวกเราสักคำเล่า วันนี้ตอนข้าไปเป็นแขกที่จวนหลิวซิ่งโหวได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วงุนงงไปหมด อย่าให้พูดเลยว่าน่าขายหน้าเพียงใด”
“คนที่ท่านพ่อสู่ขอให้เซ่าหมิงยวนเป็นบุตรสาวตระกูลใดกันเล่า” ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของภรรยา เซ่าจิ่งยวนนึกรำคาญใจน้อยๆ
ไม่รู้เพราะเหตุใดตั้งแต่หวังซื่อเริ่มดูแลเรือนก็ไม่น่ารักน่าใคร่ดังเช่นในกาลก่อน ทั้งที่มีครรภ์อยู่กลับจับตาดูเขาอย่างเข้มงวดยิ่งกว่าตอนตั้งครรภ์บุตรชายสองคนแรก ชวนให้เอือมระอาจริงๆ
“คุณหนูสามของสกุลหลีที่บิดาเป็นอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิต คนที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ผู้นั้นเจ้าค่ะ” หวังซื่อเช็ดๆ หางตา “ข้าคิดแล้วไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดท่านโหวถึงตัดสินใจเลือกคู่ครองเช่นนั้นให้น้องรอง แต่ที่น่าอับอายที่สุดคือฝ่ายนั้นไม่ตอบตกลงด้วย ท่านคงไม่รู้ว่าวันนี้จวนโหวของเรากลายเป็นตัวตลกของคนทั่วทั้งเมืองหลวงไปแล้ว”
“ท่านพ่อมีความคิดอ่านของท่านเอง เจ้าจะสนใจมากมายอย่างนั้นไปด้วยเหตุใด” เซ่าจิ่งยวนหงุดหงิดอยู่บ้างอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หลังจากรู้ว่าเซ่าหมิงยวนเป็นเพียงบุตรชายของอนุลับๆ ที่เลี้ยงดูไว้ข้างนอกผู้หนึ่ง เขาก็ไม่อยากข้องเกี่ยวอะไรกับคนผู้นี้อีก
เขาเป็นทายาทสายเลือดภรรยาเอกของสกุลเซ่า พอคิดถึงที่ตนแอบชิงดีชิงเด่นกับน้องชายผู้นี้ตั้งแต่เล็กจนโตกลับเทียบไม่ได้สักอย่างเดียว แต่ผลปรากฏว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรชายของอนุแล้ว เขาก็รู้สึกคับแค้นใจสุดจะเปรียบ
เขาอยากให้คนผู้นี้ออกไปจากชีวิตเขายิ่งไกลยิ่งดี
หวังซื่ออ้าปากออก ความน้อยอกน้อยใจพุ่งขึ้นกลางอกเป็นระลอก
นี่คือสนใจมากไปได้อย่างไรกัน วันหน้านางคือประมุขหญิงของจวนโหว ตราบใดที่ไม่แยกเรือนการแต่งงานของน้องสามีสองคนมิใช่เรื่องที่นางสมควรสนใจหรือ
“เอาเป็นว่าเจ้าเลิกยุ่งเรื่องของเซ่าหมิงยวนได้แล้ว ข้ายังมีงานต้องสะสาง จะออกไปข้างนอกก่อน”
บุตรชายของอนุลับๆ ผู้หนึ่งไม่ตบแต่งสตรีชื่อเสียงฉาวโฉ่เป็นภรรยา แล้วจะให้แต่งงานกับองค์หญิงหรือไร
เซ่าจิ่งยวนพบหน้าเซ่าหมิงยวนที่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนตรงหน้าประตูจวนโหวพอดี
สองพี่น้องประสานสายตากัน
“พี่ใหญ่”
เซ่าจิ่งยวนพยักหน้ารับอย่างขอไปทีแล้วเดินผ่านข้างตัวเขาไปเลย
บุตรชายของอนุไม่มีสิทธิ์ยื้อแย่งแข่งขันกับเขามาตั้งแต่เกิด ถ้าท่านพ่อลำเอียงเกินไป อย่างมากเขาก็ขอให้ผู้อาวุโสในวงศ์ตระกูลช่วยตัดสินความเป็นธรรม
เซ่าหมิงยวนเหลียวไปมองแผ่นหลังของพี่ชายแวบหนึ่งแล้วเหยียดยิ้มมุมปาก
นับแต่รู้ว่าเขากับพี่ใหญ่และน้องสามมิได้ถือกำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน เขาก็รู้ว่าความสัมพันธ์ฉันพี่น้องระหว่างพวกเขาเป็นอันขาดสะบั้นลง
นี่ก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี พอได้รู้ว่าเหตุผลที่ตนเองไม่ได้รับความรักใคร่อบอุ่นนั้นมิใช่เพราะเขาไม่ดีพอ จิตใจของเขากลับสงบลงได้
เซ่าหมิงยวนเดินไปหาจิ้งอันโหวซึ่งกำลังซ้อมวิชาหมัดมวยอยู่ที่ลานฝึกยุทธ์
“เจ้าอยากให้ข้าไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีอีกครั้งหรือ” จิ้งอันโหวทำหน้าลำบากใจ “เพิ่งโดนปฏิเสธมา ไปตอนนี้คงไม่ดีกระมัง”
“ท่านพ่อวางใจได้ หนนี้สกุลหลีไม่ปฏิเสธแล้วขอรับ”
จิ้งอันโหวพินิจดูบุตรชายคนรองที่รีบร้อนมาหาแล้วลังเลใจอยู่สักหน่อย
เจ้าลูกผู้นี้ร้อนใจเช่นนี้ดูผิดปกติเกินไปจริงๆ
“ท่านพ่อรู้สึกว่าลูกใจร้อนเกินไปใช่หรือไม่ขอรับ” เซ่าหมิงยวนหัวเราะอย่างขบขันตนเอง “มีบางอย่างที่ท่านพ่อไม่ทราบ ข้าได้ข่าวมาว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์จะยกองค์หญิงให้แต่งงานกับข้า…”
จิ้งอันโหวตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด “จริงหรือ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ข้าจะเชิญคนไปสู่ขอที่จวนสกุลหลีอีกครั้งเดี๋ยวนี้เลย” จิ้งอันโหวมีท่าทางร้อนรนยิ่งกว่าเซ่าหมิงยวนในชั่วอึดใจ
ชายหนุ่มลอบยกมุมปากขึ้น ทอดสายตาไปทั่วเมืองหลวง คนที่กลัวจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับองค์หญิงมากที่สุดก็คือท่านพ่อของเขานั่นเอง
สมัยจิ้งอันโหวยังเป็นหนุ่ม ทางราชสำนักเคยมีความคิดจะให้องค์หญิงใหญ่ฉางหรงแต่งงานกับเขา ยามนั้นติดขัดที่องค์หญิงใหญ่ฉางหรงยังไม่ปักปิ่นถึงมิได้หมั้นหมายไว้ ทว่าเป็นเรื่องที่สองฝ่ายต่างรู้กันอยู่ในใจ ใครจะรู้ว่าจิ้งอันโหวไปอยู่ที่ชายแดนครึ่งปี กลับมาอีกทีองค์หญิงใหญ่ฉางหรงก็ทรงเลือกบัณฑิตยากจนผู้หนึ่งเป็นพระสวามีด้วยตนเองอย่างรวดเร็วฉับไวจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงด้วยความชื่นชมสรรเสริญในชั่วเวลาหนึ่ง
จิ้งอันโหวในเวลานั้นเรียกได้ว่าต้องอัดอั้นตันใจถึงขีดสุด พวกลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ไปมาหาสู่กันเสมอๆ ต่างหัวเราะเยาะเขา ขณะที่ชาวบ้านชาวเมืองพากันมองว่าเขาเป็นคนเลวที่กีดกันความรักของคนสองคน ท้ายที่สุดทั้งที่เขาเป็นฝ่ายที่ต้องคับข้องหมองใจกลับปริปากไม่ได้สักแอะ ได้แต่หวานอมขมกลืนอยู่เงียบๆ
อันว่าถูกงูกัดหนึ่งครั้งกลัวเชือกไปสิบปี* ผู้ใดเอ่ยเรื่ององค์หญิงจะแต่งงานเข้าตระกูลเขาอีก จิ้งอันโหวก็เอาเรื่องกับคนผู้นั้น!
“ท่านพ่อ ในเมื่อแม่สื่อไปมาแล้วครั้งหนึ่งกลับโดนบอกปัด หนนี้ก็เชิญคนที่เป็นที่นับหน้าถือตาสักคนไปพร้อมกับแม่สื่อเถอะขอรับ”
“จะหาคนที่เป็นที่นับหน้าถือตาในชั่วประเดี๋ยวประด๋าวมิใช่ง่ายดาย” จิ้งอันโหวลำบากใจอยู่บ้าง
จวนจิ้งอันโหวอยากจะเชิญคนชั้นนี้มาเป็นเถ้าแก่ฝ่ายชายใช่ว่าจะหาไม่ได้ แต่การสู่ขอครั้งนี้ออกจะฉุกละหุกเกินไปสักหน่อย
“ท่านเห็นว่าใต้เท้าซูเสนาบดีกรมพิธีการเป็นเช่นไรขอรับ”
“ซูเหอ?” จิ้งอันโหวขมวดคิ้ว “ซูเหอยังควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชบัณฑิต เป็นผู้บังคับบัญชาของอาลักษณ์หลี ตามหลักแล้วเหมาะสมมากที่สุด เพียงแต่ข้ากับเขามีไมตรีกันผิวเผิน…”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้มตัดบทบิดา “ข้าส่งคนไปเชิญใต้เท้าซูแล้วขอรับ ถึงเวลาท่านพ่อแค่ช่วยรับรองใต้เท้าซูเท่านั้นเป็นพอ จะอย่างไรการแต่งงานผูกดองนั้นยึดถือคำสั่งของบิดามารดาและการชักพาของแม่สื่อเป็นสำคัญ ข้าไม่สะดวกจะออกหน้ามากเกินไปขอรับ”
จิ้งอันโหวอ้าปากตั้งท่าจะไต่ถามว่าเซ่าหมิงยวนเชิญซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการมาได้อย่างไร ครั้นมองสบเข้ากับดวงตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของอีกฝ่าย สุดท้ายเขาก็กลืนคำถามกลับลงคอไป
บุตรชายเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งเป็นผู้อยู่ในตำแหน่งสำคัญของเมืองหลวง เรื่องบางเรื่องย่อมจะซักไซ้ไล่เลียงอีกไม่ได้เป็นธรรมดา
สกุลหลีที่ตรอกซิ่งจื่อเริ่มครึกครื้นขึ้นมาในชั่วข้ามคืน
บรรดาฮูหยินซึ่งไปมาหาสู่กับสกุลหลีไม่บ่อยนักพากันยื่นเทียบขอเยี่ยมคารวะ แน่นอนว่ามาเป็นแขกคือเรื่องเท็จ ความจริงแล้วอยากสืบถามเบื้องลึกเบื้องหลังการสู่ขออย่างกะทันหันของจวนจิ้งอันโหว
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเหนื่อยหน่ายกับการรับหน้า เลยบอกปัดไปหมดโดยยกข้ออ้างว่าไม่สบาย
เจียงซื่อท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกได้ข่าวแล้วสั่งให้คนประคองตนรุดมาที่จวนตะวันตก
“น้องสะใภ้ จวนจิ้งอันโหวมาสู่ขอเป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ไฉนเจ้าไม่บอกกับข้าเล่า”
“ท่านเซียงจวินนั่งลงก่อนเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยปากบอกอย่างใจเย็น
ดวงตาของเจียงซื่อมองไม่เห็น นางได้ยินน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็มีน้ำโห นางพูดเสียงดังขึ้น “น้องสะใภ้! ข้าได้ยินว่าเจ้าใหญ่ของเรือนเจ้ายังปฏิเสธการผูกดองกับจวนจิ้งอันโหวด้วยหรือ เขาช่างเลอะเลือนจริงๆ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังแล้วไม่ชอบใจ
บอกว่าบุตรชายข้าเลอะเลือน? บุตรชายของข้าอย่างมากก็แค่เถรตรง พูดว่าเลอะเลือนได้อย่างไร นี่มิใช่เหยียดหยามกันรึ!
“หลานเจายังเด็กอยู่ เจ้าใหญ่ปฏิเสธการแต่งงานนี้ ข้าเห็นว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”
“ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม?” เจียงซื่อเงื้อง่าไม้เท้าในมือจนเกือบฟาดโดนตัวฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้ว “ชื่อเสียงของหลานเจาเป็นเช่นไร ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ อย่าว่าแต่จวนจิ้งอันโหวเลย แค่มีตระกูลที่พอจะเข้าท่าเข้าทางมาสู่ขอก็ต้องจุดธูปไหว้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าจะบอกให้นะ หลานเจาพลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่มีโอกาสหน้าแล้ว วันหน้าจะเป็นสาวทึนทึกในสกุลหลีไปชั่วชีวิตหรือไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่ชอบใจมากขึ้น นางกล่าวเสียงเรียบ “นั่นก็ไม่แน่เสมอไป ดีไม่ดีจวนจิ้งอันโหวอาจไม่ถอดใจยอมแพ้มาสู่ขออีกก็เป็นได้”
เจียงซื่อแค่นเสียงพูด “เช่นนั้นข้าก็จะคอยดู”
ฝ่ายนั้นยังจะมาสู่ขออีกน่ะหรือ เฮอะ เว้นแต่ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก!
* ถูกงูกัดหนึ่งครั้งกลัวเชือกไปสิบปี หมายถึงได้รับความทุกข์ทรมานจากเหตุการณ์หนึ่งมา เมื่อเจอเรื่องที่คล้ายคลึงเหตุการณ์นั้นจึงหวาดกลัวฝังใจ