หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 555
บทที่ 555
ชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสสาวเท้าฉับๆ เข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ฮูหยินผู้เฒ่า ใต้เท้าซูเสนาบดีกรมพิธีการมาเยือนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยังตั้งตัวไม่ติด เจียงซื่อก็เอ่ยขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ “เป็นเสนาบดีซูที่ควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตท่านนั้นใช่หรือไม่”
“เรียนท่านเซียงจวิน เป็นใต้เท้าซูท่านนั้นเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเบะปาก “น้องสะใภ้ เจ้าใหญ่ของเรือนเจ้าคงไม่ได้ก่อเรื่องแล้วกระมัง”
นางรู้สึกมานานแล้วว่าเจ้าหลานหัวทื่อเป็นตอไม้ผู้นั้นสามารถอยู่รอดปลอดภัยในสำนักราชบัณฑิตมาได้หลายสิบปีนับเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง บัดนี้คงถึงเวลาที่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วสินะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำหน้าขรึมลง “ท่านเซียงจวินจะกล่าวคำนี้ส่งเดชไม่ได้นะ หงซง ไปเชิญนายท่านใหญ่ออกไปรับรองแขก ชิงอวิ๋น ประคองข้าไปพบใต้เท้าซู”
“ข้าไปพร้อมกับน้องสะใภ้เถอะ ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรยังพูดไกล่เกลี่ยให้เจ้าใหญ่ได้” เจียงซื่อลุกขึ้นยืนตาม
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโคลงศีรษะแล้วไปที่โถงรับแขกด้านหน้า
ซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตกำลังดื่มน้ำชาอยู่ พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมาถึง เขาก็วางถ้วยน้ำชาลงแล้วลุกขึ้นยืนคารวะทักทาย จากนั้นเอ่ยบอกอย่างตรงไปตรงมา
“ฮูหยินผู้เฒ่า ข้ามาทำหน้าที่เถ้าแก่สู่ขอให้กับจวนจิ้งอันโหว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้ยินแล้วอึ้งงันไปอย่างสุดระงับ
แม้ว่าเมื่อครู่นี้นางจะบอกกับเจียงซื่อว่าจวนจิ้งอันโหวอาจจะมาสู่ขออีกก็ไม่แน่ แต่นั่นเป็นคำพูดด้วยอารมณ์เท่านั้น จริงๆ แล้วในใจนางคิดว่าเป็นไปไม่ได้สักนิด ใครจะรู้ว่าจวนจิ้งอันโหวถึงกับเชิญคนมาอีกจริง มิหนำซ้ำหนนี้นอกจากแม่สื่อแล้วยังเชิญเสนาบดีกรมพิธีการมาอีกด้วย!
ไม่ว่าจะตอบตกลงหรือไม่ อย่างน้อยในชั่วขณะนี้ก็ได้เห็นสีหน้าตะลึงพรึงเพริดถึงขีดสุดของเจียงซื่อแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแสนจะเบิกบานสำราญใจยิ่งนัก
หลานเจาช่างได้ดั่งใจเหลือเกิน สมแล้วที่เป็นหลานสาวในไส้ของข้า!
ครั้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยังนิ่งขึงอยู่ ซูเหอกระแอมกระไอเบาๆ ทีหนึ่ง “ฮูหยินผู้เฒ่า?”
หญิงชราหลุดจากภวังค์ แต่นางยังคงรู้สึกยุ่งยากใจเหลือหลาย
จวนจิ้งอันโหวเชิญเสนาบดีกรมพิธีการมาเป็นเถ้าแก่สู่ขอ เห็นได้ว่ามีความจริงใจเต็มเปี่ยม ส่วนเจาเจายังอายุน้อยไปสักนิด แต่เด็กสาวก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่สักวัน ได้แต่งงานกับกวนจวินโหวเป็นฮูหยินท่านโหวขั้นหนึ่ง อย่างไรก็ดีกว่าเป็นสาวทึนทึกในสกุลหลีไปชั่วชีวิต
จะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงกันแน่…หรือว่าจะตอบตกลงดีนะ
ภายในจิตใจฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกำลังต่อสู้กันอย่างหนัก นางพลันรู้สึกได้ว่าถูกเจียงซื่อดึงทีหนึ่งจากทางด้านหลัง บันดาลให้นางได้สติทันที
วู่วามไม่ได้ วู่วามไม่ได้เป็นอันขาด!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งส่งเสียงไอทีหนึ่งก่อนกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าทราบจุดประสงค์ที่ใต้เท้าซูมาที่นี่แล้ว แต่การแต่งงานออกเรือนเป็นเรื่องใหญ่ ต้องถือคำสั่งของบิดามารดาและการชักพาของแม่สื่อเป็นสำคัญ ผู้เป็นย่าเช่นข้าจะก้าวก่ายก็ไม่เหมาะสม รอให้บุตรชายคนโตของข้ามาถึงแล้ว ใต้เท้าซูค่อยหารือกับเขาดีกว่านะ”
ซูเหออึ้งงันไป เขาได้ยินมาว่าผู้ใต้บังคับบัญชาหัวทื่อของเขาผู้นั้นเป็นบุตรยอดกตัญญู ให้ความเคารพนับถือต่อมารดาเฒ่ามาก ไฉนฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ไม่ยื่นมือยุ่งเรื่องแต่งงานของหลานสาวเล่า
เจียงซื่อกลับเริ่มไอโขลกๆ เสียงดัง นี่คู่สะใภ้ของนางผู้นี้โง่เขลาใช่หรือไม่ เสนาบดีกรมพิธีการมาเยือนถึงที่ด้วยตนเองแล้ว ยังจะไว้ท่าอีกหรือ!
บุตรชายคนโตบอกกับนางแล้วว่าเพราะเขาบกพร่องในการทำคดีเหตุเพลิงไหม้เรือนสกุลเฉียว รอเมื่อสะสางคดีที่รับผิดชอบอยู่ในขณะนี้เสร็จสิ้นจะต้องโดนลงทัณฑ์อย่างแน่นอน ถึงเวลาสกุลหลีคงตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ใคร่จะดี ครั้นตอนนี้อุตส่าห์มีโอกาสก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นอย่างไม่ง่ายดาย จวนตะวันตกกลับไม่รู้จักไขว่คว้าไว้!
คนครอบครัวนี้ล้วนสติไม่ดีกระมัง
อู่ซื่อภรรยาของหลีกวงเยี่ยนยืนอยู่ข้างหลังเจียงซื่อ สายตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
นี่คือความแตกต่างระหว่างมารดาสามีของนางกับฮูหยินผู้เฒ่าของจวนตะวันตก
หากท่านแม่สามีรู้จักแยกแยะได้อย่างฮูหยินผู้เฒ่าของจวนตะวันตก เจียวเจียวของนางจะเสื่อมเสียชื่อเสียงดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ได้เช่นไร
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหันมามองด้วยสีหน้าห่วงใย “ท่านเซียงจวินเหนื่อยแล้วกระมัง อู่ซื่อ รีบพยุงท่านเซียงจวินกลับไปพักที่จวนตะวันออกโดยไวเถอะ”
คู่สะใภ้ออกปากส่งแขกแล้ว ทั้งยังอยู่ต่อหน้าซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการ เจียงซื่อจะกล่าวอะไรอีกก็ไม่ถนัดปากเป็นธรรมดา นางจำต้องให้ลูกสะใภ้พยุงกลับไปอย่างคับแค้นใจเต็มอก
ทว่าเพิ่งย่างเท้าออกจากประตูใหญ่จวนตะวันตก เจียงซื่อก็พูดเสียงกร้าว “ส่งคนไปจับตาดูจวนตะวันตกไว้ มีข่าวอะไรให้กลับมารายงานทันที”
อู่ซื่อเหยียดมุมปากอย่างเย้ยหยัน หากแต่ยังกล่าวเสียงอ่อนนุ่ม “ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมามารดาสามีชอบวางอำนาจข่มจวนตะวันตก ต่อให้คุณหนูสามขยับฐานะขึ้นไปเป็นผู้สูงศักดิ์จริงๆ เกรงว่าจวนตะวันออกก็คงไม่ได้พึ่งใบบุญ
มารดาสามีของนางผู้นี้ตามองไม่เห็นแล้ว จิตใจยังมืดบอดตามไปด้วย
ทว่านางไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว ก็ปล่อยให้ยายเฒ่าผู้นี้วุ่นวายตามใจชอบเถอะ ไม่อย่างนั้นประเดี๋ยวท่านพี่ของนางจะไม่พอใจอีก
ไม่นานนักหลีกวงเหวินก็ออกจากเรือนหยาเหอมาถึงโถงรับแขก
พอเห็นซูเหอเขาตกใจยกหนึ่งแล้วพูดอุบอิบ “ไม่ต้องถึงขั้นนี้กระมัง ข้าลาหยุดงานเพียงวันเดียว ท่านก็ตามมาถึงเรือนข้าเลยหรือ”
ซูเหอทำหนวดกระดิกๆ เขาพูดอย่างอ่อนใจ “บ่นพึมพำอะไรส่งเดช ข้ามีเวลาว่างทำอย่างนั้นหรือ”
หลีกวงเหวินลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่ใช่มาฟ้องมารดาข้าก็ดีแล้ว!
“เช่นนั้นใต้เท้ามาเพื่อ…”
“ข้ามาเป็นเถ้าแก่สู่ขอ”
หลีกวงเหวินทำสีหน้าระแวดระวัง “ใต้เท้าขอรับ ข้าจำได้ว่าท่านมีหลานชายที่ยังไม่แต่งงานผู้เดียวกระมัง อีกทั้งมีวัยเพียงแปดขวบ”
ลูกเขยอายุน้อยเกินไปจะรู้จักเอาใจใส่คนอื่นที่ใดกัน อย่างน้อยก็ทำกระเพาะหมูผัดพริกหวานให้เขากินแกล้มสุราไม่เป็น
ซูเหอไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี “ขืนพูดจาเหลวไหลอีกจะโดนตัดเบี้ยหวัดครึ่งปี”
หลีกวงเหวินนิ่งคิดคำนวณในใจ
ข้าได้เบี้ยหวัดเดือนละแปดตั้น ครึ่งปียังไม่ถึงห้าสิบตั้น ส่วนว่าที่ลูกเขยได้เบี้ยหวัดปีละสองพันตั้น…
พอเขาคิดอย่างนี้แล้วใครจะตัดก็เชิญตัดตามสบายเลย ถึงอย่างไรก็น้อยไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ซูเหอโมโหจนแทบลืมตัวกับสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของหลีกวงเหวิน แต่นึกถึงเหตุผลที่มาแล้วถึงมิได้ด่าทอคน เขาบอกกล่าวเล่าสิบถึงจุดประสงค์ที่มาเยือนครั้งนี้
“จวนจิ้งอันโหวจะสู่ขอคุณหนูสามของเรือนข้าให้คุณชายรอง?” หลีกวงเหวินกะพริบตาปริบๆ “คุณชายรองของจวนพวกเขาก็คือกวนจวินโหวกระมัง”
“ถูกต้อง”
“ได้ ข้าตอบตกลงแล้ว”
ซูเหอเกือบพ่นน้ำชาในปากออกมา
ไหนบอกว่าแม่สื่อที่เพิ่งมาสู่ขอที่จวนสกุลหลีก่อนหน้านี้ถูกไล่กลับไปมิใช่หรือ เขานึกว่าต้องเปลืองน้ำลายพูดหว่านล้อมอีกยกหนึ่ง พออีกฝ่ายตอบตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้กลับทำให้เขาตั้งรับไม่ทันอยู่บ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเองก็ประหลาดใจเป็นอันมากอย่างเห็นได้ชัด นางกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนเอ่ยเตือนขึ้น “เจ้าใหญ่ เจ้ารู้ว่าตนเองพูดอะไรอยู่กระมัง”
“ทราบขอรับ ใต้เท้าซูทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่แทนจวนจิ้งอันโหว ข้ารู้สึกว่าไม่เลวก็ตอบตกลงแล้วขอรับ”
ซูเหอพลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ที่แท้เพราะเขามาเป็นเถ้าแก่สู่ขอ เจ้าผู้ใต้บังคับบัญชาตอไม้ผู้นี้ถึงได้ตอบตกลง เขาก็มีหน้ามีตาอยู่มากโข!
“ในเมื่อพวกท่านตอบตกลงแล้ว ข้าจะกลับไปบอกกล่าวจิ้งอันโหวสักคำ ต่อจากนี้พวกท่านสองตระกูลก็พูดคุยหารือกันตามสบาย ข้าผู้เป็นเถ้าแก่ก็นับว่าทำหน้าที่สำเร็จลุล่วงแล้ว ขอตัวกลับก่อน”
“ต้องลำบากใต้เท้าซูแล้ว อยู่ดื่มน้ำชาสักถ้วยเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรีบกล่าวขึ้น
เขาโบกมือไปมา “ไม่ล่ะ ข้านำข่าวดีไปแจ้งต่อจิ้งอันโหวโดยเร็วจะดีกว่า”
ซูเหอเพิ่งออกจากจวนสกุลหลี พวกคนที่จับตาดูอยู่ก็แพร่กระจายข่าวนี้ไปทุกๆ จวนอย่างว่องไว
เจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินได้รับข่าวนี้แล้วคิดทบทวนไปมา สุดท้ายก็ถอนใจเฮือก
มาตรว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์จะรับกวนจวินโหวเป็นราชบุตรเขย ทว่ายังไม่ได้พูดอย่างชัดเจน พรุ่งนี้เขาค่อยนำข่าวนี้ไปทูลรายงานจะดีกว่า หาไม่แล้วได้รับพระราชทานโอสถทิพย์สองครั้งในวันเดียวเขาคงทนไม่ไหวจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นเจียงถังไปถึงวังหลวงกลับได้รับคำบอกกล่าวจากปากของเว่ยอู๋เสียว่าฮ่องเต้ทรงจำศีลบำเพ็ญตบะแล้ว
“กลับไปก่อนเถอะขอรับ เมื่อคืนท่านราชครูเฝ้าดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวแล้ว จะมีปรากฏการณ์ปราณม่วงมาแต่บูรพา* ในเจ็ดวัน เหมาะต่อการจำศีลบำเพ็ญตบะอย่างยิ่งยวด อีกเจ็ดวันให้หลังฝ่าบาทถึงจะเสด็จออกมาขอรับ”
เจียงถังลูบๆ จมูกแล้วกลับไป
ภายในวังหลวงท่านราชครูคนใหม่ทอดถอนใจเบาๆ
เฮ้อ…หนี้น้ำใจของกวนจวินโหวชดใช้คืนได้ไม่ง่ายเอาเสียเลยจริงๆ
* ปราณม่วงมาแต่บูรพา มาจากเรื่องเล่าลือกันว่าก่อนหน้าที่เหล่าจื่อ (เล่าจื๊อ) จะเดินทางถึงด่านหานกู่ อิ่นสี่ผู้เป็นนายด่านเห็นว่ามีไอสีม่วงมาจากบูรพาทิศ ก็รู้ว่าจะมีผู้วิเศษผ่านมา สุดท้ายก็เห็นเหล่าจื่อขี่กระบือเขียวมาดังคาด คำนี้จึงมีนัยยะถึงนิมิตหมายอันเป็นมงคล