หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 557
บทที่ 557
“กวนจวินโหว” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นกลางฝูงชน
เซ่าหมิงยวนนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้า สุ้มเสียงของเขาละม้ายใบมีดคมกริบซึ่งตีขึ้นจากน้ำแข็งพันปี เสียบเข้ากลางอกของคนทั้งสอง “ใครบอกพวกเจ้าว่าทำอย่างนี้แล้วข้าก็จะเสียใจภายหลัง”
เขาถามสองคำถามต่อๆ กัน ไม่ใช่แค่นักเลงสองคนที่สีหน้านิ่งขึงไป กระทั่งกลุ่มคนที่มุงดูอยู่ยังสะท้านเยือกถึงกลางอก
ภายใต้สายตาคมปลาบที่จับจ้องอยู่อย่างคาดคั้นของแม่ทัพผู้เย็นชาบนหลังอาชาพ่วงพี นักเลงหัวไม้สองคนต้านทานบารมีน่ายำเกรงนี้ไม่อยู่อีกต่อไป แต่ยังทำใจดีสู้เสือกล่าวขึ้น “ไม่…ไม่มีคนบอกพวกข้า พวกข้า…พวกข้าแค่รู้สึกทนดูไม่ได้…”
เซ่าหมิงยวนหัวเราะเสียงต่ำๆ พลางกลอกตาเล็กน้อย สีหน้าสีตาที่ฉายอารมณ์ต่างๆ กันไปของคนที่มุงดูอยู่ตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด ชายหนุ่มกล่าวเสียงราบเรียบ “ให้พวกเขาสองคนเช็ดสิ่งที่สาดไปที่ประตูออกให้สะอาดหมดจด”
องครักษ์สองคนข้างหลังลงจากม้าแล้วก้าวเท้าไปข้างหน้า ต่างคนต่างหิ้วคอเสื้อของนักเลงคนหนึ่งไว้แล้วผลักไปตรงหน้าประตูใหญ่สีดำของจวนสกุลหลี
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพาหลิวซื่อนายหญิงรองออกมาทางประตูข้าง มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเบื้องหน้าสายตาแล้วมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวเต็มที่
“ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้มีน้ำโห ข้าเห็นว่ากวนจวินโหวต้องจัดการได้อย่างเรียบร้อยเป็นแน่เจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลิวซื่อมั่นอกมั่นใจยิ่ง
จุดสำคัญคือคนที่มาตอแยกับคุณหนูสามต้องเคราะห์ร้ายเสมอ นี่คือประสบการณ์อันล้ำค่าซึ่งได้มาจากการสังเกตการณ์นับครั้งไม่ถ้วนของนาง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้าแกนๆ นางสั่งกำชับเสียงเบา “ปิดปากบ่าวไพร่ให้สนิท อย่าให้เรื่องแพร่ไปถึงเรือนหยาเหอ พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าตั้งครรภ์อยู่ จะโดนยั่วโทสะไม่ได้”
“ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะไปกำชับกำชาพวกเขาเดี๋ยวนี้เลย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหันสายตากลับไปที่ประตูใหญ่ของจวนสกุลหลีดังเดิม มองเห็นคราบอุจจาระบนนั้นรวมถึงคนที่มุงดูอยู่พากันชี้นิ้วนินทา พาให้ไฟโทสะสุมอกจนอยากจะถือไม้เท้าไปฟาดคนแทบใจจะขาด
ผ่านมานานกี่ปีแล้วที่จวนตะวันตกแห่งสกุลหลีของพวกนางวางตัวเป็นมิตรกับผู้คนและอยู่อย่างสงบเสงี่ยมถ่อมตนมาโดยตลอด ตกลงเป็นผู้ใดกันแน่ที่ชั่วช้าต่ำทรามเช่นนี้ ถึงกับบงการให้พวกนักเลงหัวไม้ข้างถนนมากระทำเรื่องไร้คุณธรรมพรรค์นี้
เรื่องนี้เกิดขึ้นต่อหน้าขบวนขันหมากของฝ่ายชาย ยังมีคนที่มุงดูอยู่นับไม่ถ้วนเป็นประจักษ์พยาน หากสะสางได้ไม่ดี ถึงแม้จวนสกุลหลีกับจวนจิ้งอันโหวจะผูกดองกันได้สำเร็จ แต่สกุลหลีก็ต้องอับอายขายหน้า ส่วนหลานเจาต้องโดนคนหัวเราะเยาะตลอดไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งค่อยๆ เลื่อนสายตาไปมองชายหนุ่มบนหลังม้า นางอยากรู้เป็นอันมากว่าท่านโหวหนุ่มผู้นี้จะทำอย่างไร
นักเลงหัวไม้สองคนถูกผลักไปตรงหน้าประตูใหญ่ กลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนที่ลอยมาทำให้พวกเขาถอยหลังกรูดๆ ท่าทีนี้ยั่วโทสะขององครักษ์ทั้งสองแล้ว หนึ่งในนั้นออกแรงดันหน้าของพวกเขาไปแนบกับห่วงเหล็กบนประตู
อากาศหนาวเหน็บในเดือนสิบสองทำให้ห่วงเหล็กเย็นเฉียบ กอปรกับเศษอาจมเหนียวหนืดติดอยู่บนใบหน้า ส่งผลให้คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ส่งเสียงอุทานเป็นระลอก
“เช็ดให้สะอาดเร็วๆ” องครักษ์บอกเสียงดุดัน
“ต่อให้…ต่อให้พวกเจ้าเป็นคนของจวนโหว ก็ใช้อำนาจข่มเหงรังแกคนเช่นนี้ไม่ได้นะ” นักเลงคนหนึ่งพูดโวยวายเสียงแข็งทั้งที่ใจเสียอยู่
ท่านโหวซึ่งนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังม้าหยักยิ้มบางๆ เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าว “เจ้าอยากพูดเหตุผลกับข้าหรือ”
“เพียงเพราะท่านคือท่านโหว ก็ไร้เหตุผลได้ใช่หรือไม่” นักเลงหัวไม้ข่มความกลัวในใจไว้เอ่ยถามขึ้น
กวนจวินโหวเป็นบุคคลชั้นใด แม้แต่อันธพาลข้างถนนเช่นเขายังล่วงรู้ มิพักต้องเอ่ยถึงว่าไปกระตุกหนวดเสือเข้าแล้ว กระทั่งเพียงคิดยังแข้งขาสั่นพั่บๆ จนใจที่เงินทองช่างล่อใจ พวกเขาสองพี่น้องถึงตอบตกลงรับงานนี้อย่างห้ามใจไม่อยู่
ทว่าละครฉากนี้ไม่ได้เป็นไปตามบทอย่างเห็นได้ชัด ทางนั้นบอกไว้ว่าพอพวกเขาเอาอุจจาระสองถังสาดใส่ประตูใหญ่ของจวนสกุลหลีแล้วเดินหนีไปก็รอดตัวได้แล้ว แต่เพราะอะไรกวนจวินโหวถึงปรากฏขึ้นที่นี่
“ข้าไม่พูดเหตุผลกับเดรัจฉานมาแต่ไหนแต่ไร” เซ่าหมิงยวนเม้มปากแน่น เขาผงกศีรษะเล็กน้อยกับองครักษ์สองคนแล้วพูดเน้นเสียงหนักทีละคำ “ให้พวกเขาเลียให้สะอาด”
องครักษ์ออกแรงบีบมือ นักเลงหัวไม้สองคนร้องโหยหวนดังลั่นทันควัน คนที่มุงดูอยู่ได้ยินแล้วอกสั่นขวัญแขวน
ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอยู่นับไม่ถ้วน นักเลงหัวไม้สองคนถูกองครักษ์ของกวนจวินโหวใช้กำลังบังคับให้เอาปากเช็ดอุจจาระบนประตูจวนสกุลหลีออกทีละนิดๆ
เสียงอาเจียนลมดังระงมเป็นทอดๆ
ผู้ดูแลของจวนจิ้งอันโหวปาดเหงื่อเย็นออกแล้วสืบเท้าเข้าไปกล่าวท้วงติง “คุณชายรอง ต่อหน้าธารกำนัลท่านทำอย่างนี้จะเกินกว่าเหตุไปบ้าง…”
แต่พอมองสบสายตาปึ่งชาของท่านโหวหนุ่ม ผู้ดูแลก็กลืนถ้อยคำประโยคหลังกลับลงคอ
“คนอื่นจะทำอะไรข้าได้” เซ่าหมิงยวนถามเสียงเอื่อยๆ
เขาไม่ใช่ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวเพื่อรักษาชื่อเสียงไว้พวกนั้น เกียรติยศฐานะทั้งหมดของเขาแลกมาด้วยกำปั้นลุ่นๆ ซ้ำยังมีโลหิตของภรรยาเขารวมอยู่ในนั้นด้วยซ้ำไป
บัดนี้ในเมืองหลวงอันโอ่อ่าหรูหราแห่งนี้ คนที่เสพสุขโดยไม่ต้องทำอะไรพวกนี้อาศัยอะไรมาเหยียบย่ำภรรยาของเขา
จริงอยู่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าคุณหนูหลีซานคือภรรยาของเขา และเขาไม่อาจให้คนเหล่านี้ล่วงรู้ว่าสตรีอันเป็นที่รักของเขาก็คือคนที่เคยสละเลือดรินรดกำแพงเมืองเยี่ยนที่แดนเหนือ แต่อย่างน้อยเขาสามารถใช้ทุกสิ่งที่เขามีอยู่เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของนาง
“แต่ว่า…ขุนนางทัดทานพวกนั้นจะฟ้องร้องว่าท่านลุแก่อำนาจ กดขี่ข่มเหงชาวบ้าน…”
คิ้วเข้มพาดเฉียงของแม่ทัพหนุ่มเลิกขึ้นน้อยๆ ผ้าคลุมสีแดงบนหลังปลิวสะบัดตามแรงลมหนาว หากสุ้มเสียงของเขาเย็นเยียบยิ่งกว่าสายลมเหมันต์ “ก็ลองดูสิ”
สองเค่อผ่านไปนักเลงหัวไม้สองคนที่ใบหน้าซีดเผือดล้มกองอยู่บนพื้นพลางอาเจียนลมไม่หยุด
“ยังไม่ไสหัวไปอีก!” องครักษ์ง้างเท้าถีบใส่ “อยากเลียอุจจาระบนพื้นให้สะอาดด้วยใช่หรือไม่”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้นพวกเขาเด้งตัวขึ้นตาลีตาเหลือกวิ่งหนีไปประหนึ่งนกตื่นกลัวธนู
องครักษ์ย้อนกลับไปที่ข้างกายเซ่าหมิงยวน
ชายหนุ่มกระซิบสั่ง “ประเดี๋ยวตามไปง้างปากเจ้าสองคนนั้น ถามให้กระจ่างว่าพวกเขาถูกใครบงการกันแน่”
“น้อมรับคำสั่ง”
เซ่าหมิงยวนหันหน้าไปมองทางฝูงชนแวบหนึ่ง
กลุ่มคนที่มุงดูอยู่เงียบกริบดุจจักจั่นฤดูหนาวพร้อมกับถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
แม่ทัพหนุ่มรูปงามเผยรอยยิ้มน้อยๆ ละม้ายหิมะแรกละลายในวสันตฤดู ขับไล่ความเย็นเยือกตรงกลางอกของผู้อื่นให้สลายไป
“เหตุการณ์เมื่อครู่นี้คงทำให้พ่อแม่พี่น้องทุกท่านรู้สึกไม่สบายใจ ข้าขอขมาไว้ที่ตรงนี้ด้วย” เซ่าหมิงยวนประสานมือคารวะทุกคนอย่างสุภาพมีมารยาท “แต่ว่าสิ่งที่ข้ากระทำกับเจ้าเดรัจฉานสองคนนั้น ข้าเพียงทำในฐานะบุตรเขยที่ระงับความโกรธไม่อยู่เพราะครอบครัวของว่าที่ท่านพ่อตาได้รับความอัปยศเท่านั้นเอง หวังว่าพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายจะเห็นอกเห็นใจกันด้วย”
เมื่อเห็นชายหนุ่มแสดงคำนับอย่างเคารพอ่อนน้อม ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็อดนิ่งเงียบไปไม่ได้
นั่นสิ กวนจวินโหวมีความผิดอะไรเล่า ถ้าเปลี่ยนเป็นครอบครัวทั่วๆ ไป ครอบครัวของพ่อตาโดนกลั่นแกล้งหมิ่นหยามเฉกนี้ ขอเพียงเป็นคนที่มีเลือดเนื้อจิตใจล้วนต้องจับมีดเข้าไปแลกชีวิตกับเดรัจฉานสองคนนั้น
“ท่านโหว ท่านไม่ได้กระทำผิด เดรัจฉานสองคนนั้นสมควรโดนสั่งสอนแล้ว!” กลางฝูงชนมีคนตะโกนขึ้นอย่างทนไม่ไหว
ต่อจากนั้นเสียงสนับสนุนก็ดังระงมขึ้นอย่างรวดเร็ว
หยางโฮ่วเฉิงซึ่งแฝงกายอยู่ในกลุ่มคนมุงดูลูบปลายคางพลางพูดพึมพำ “รู้สึกไม่วายว่ามีตรงที่ใดไม่ถูกต้อง จื่อเจ๋อ เจ้ามีความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่”
จูเยี่ยนยืนอยู่ด้านข้างเขาโคลงศีรษะพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ถิงเฉวียนยังคงถนัดการกลบเกลื่อนเรื่องจริงโดยแท้”
“หมายความว่าอย่างไร” หยางโฮ่วเฉิงฉงนฉงาย
จูเยี่ยนหยักยิ้ม “การที่ผู้คนพากันคล้อยตามอย่างเดือดดาลพลุ่งพล่าน ล้วนแล้วแต่เพราะคิดโยงไปถึงว่าถ้าเปลี่ยนเป็นครอบครัวของพ่อตาตนเองจะทำเช่นไร หรือว่าบุตรเขยของตนจะปกป้องเกียรติของครอบครัวพ่อตาดุจเดียวกับถิงเฉวียนหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ย่อมบังเกิดความรู้สึกเกลียดชังเป็นปฏิปักษ์กับสองคนนั้นร่วมกัน เพียงทว่าพวกเขาต่างลืมเลือนไปว่าจวนจิ้งอันโหวกับจวนสกุลหลียังไม่ได้หมั้นหมายกันเลยนะ”
หยางโฮ่วเฉิงจุปากแล้วกล่าวรำพึงเสียงเบาๆ “เจ้าคนผู้นี้เหลี่ยมจัดจริงๆ”
พอได้ยินเสียงประณามด่าทอนักเลงหัวไม้สองคนนั้นของฝูงชนที่มุงดูอยู่ เซ่าหมิงยวนก็พลิกกายลงจากหลังก่อนม้า ยื่นมือไปหยิบห่านเป็นในอ้อมแขนของแม่สื่อที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ จากนั้นสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไปหาพวกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง