หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 562
บทที่ 562
“พี่เจี่ยว ท่านแม่ข้าตายแล้ว วันหน้าข้าก็เป็นเหมือนอย่างท่าน กลายเป็นลูกกำพร้าแม่…” ตู้เฟยเสวี่ยกอดหลีเจี่ยวร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล
มือที่ตบแผ่นหลังญาติผู้น้องเบาๆ ของหลีเจี่ยวหยุดชะงัก ดวงตานางฉายแววเบื่อหน่ายรำคาญวูบหนึ่ง
ถึงเวลานี้แล้วเพราะอะไรยังต้องเหยียบย่ำนางอีก
นางกำพร้ามารดาแต่เด็กยังไม่เคยร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้เลย ดีชั่วตู้เฟยเสวี่ยยังถูกประคบประหงมตามใจทุกอย่างตั้งนานหลายปีเช่นนี้ โชคดีกว่านางมากมายนัก
หลีเจี่ยวนิ่งเงียบไปชั่วเวลาสั้นๆ มิได้ทำให้ตู้เฟยเสวี่ยเฉลียวใจ นางยังคงกล่าวปนสะอื้นไปเรื่อยๆ “พี่เจี่ยว ท่านว่าหลังจากนี้ข้าสมควรทำอย่างไรดี เป็นเพราะท่านพ่อคนเดียวที่จะหย่าขาดกับท่านแม่ ท่านแม่ถึงผูกคอตาย พอคิดถึงเรื่องนี้ข้าก็ไม่อยากเห็นหน้าท่านพ่อแล้ว…”
หลีเจี่ยวแทบกลอกตาขึ้นอย่างเอือมระอา
ญาติผู้น้องที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูอย่างล้นเหลือมาแต่วัยเยาว์ของนางผู้นี้เป็นพวกเบาปัญญาจริงๆ ถึงพูดติเตียนท่านน้าของนางต่อหน้านาง
ต่อให้ท่านน้ามิได้ปฏิบัติต่อนางเป็นพิเศษสักเพียงใด ถึงอย่างนั้นก็ต้องดีกว่าคนนอกอย่างน้าสะใภ้ หรือว่านางสติไม่ดีจะละทิ้งน้าชายแท้ๆ ไปยืนอยู่ข้างเดียวกับน้าสะใภ้ที่ตายไปแล้วเล่า
“พี่เจี่ยว ข้าทุกข์ใจเหลือเกิน ตอนนี้ข้าแค่เดินเข้าไปในเรือนที่ท่านแม่เคยอยู่ก็จะรู้สึกหายใจไม่ออก… ฮือๆๆ…”
ได้ยินตู้เฟยเสวี่ยร้องไห้คร่ำครวญอย่างโศกเศร้าเหลือแสน หลีเจี่ยวบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น นางตบหลังอีกฝ่ายช้าลง “น้องเฟยเสวี่ย หรือไม่เจ้ากลับไปพักอยู่ที่เรือนท่านตาชั่วคราวสิ”
เสียงร่ำไห้ของตู้เฟยเสวี่ยเงียบลง นางเงยหน้าขึ้นมองญาติผู้พี่ด้วยน้ำตาคลอหน่วย
ความคิดในหัวหลีเจี่ยวแล่นเร็วรี่ แต่ใบหน้าทอแววอ่อนโยนอบอุ่น แสดงท่าทางปรารถนาดีต่อญาติผู้น้องอย่างเต็มที่ “ในเมื่อตอนนี้เจ้าอยู่ในจวนป๋อแล้วไม่สบายใจ ไยไม่ไปพำนักที่จวนโหวชั่วคราวเล่า เจ้าเป็นสตรีไม่เหมือนน้องเฟยหยาง ต่อให้ฉลองวันตรุษอยู่ที่จวนโหวก็ไม่มีคนรู้สึกว่าไม่เหมาะไม่ควร”
แพขนตาที่เปียกชื้นของตู้เฟยเสวี่ยหลุบลง มันกระพือขึ้นลงเบาๆ เห็นได้ว่านางกำลังใคร่ครวญคำแนะนำของหลีเจี่ยวอยู่
หลีเจี่ยวถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “น้องเฟยเสวี่ย ข้ากำพร้าแม่ตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่นานนักท่านพ่อก็ตบแต่งภรรยาคนใหม่ เจ้าดูสิว่าตอนนี้ชีวิตข้าเป็นอย่างไรเล่า”
พอถ้อยคำนี้ดังขึ้นตู้เฟยเสวี่ยหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ชีวิตของญาติผู้พี่เป็นอย่างไรน่ะหรือ ย่อมต้องไม่ดีแน่นอน
ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องพึ่งพาตนเอง ซ้ำยังต้องยอมอ่อนข้อให้หลีซานทุกอย่าง แต่ถึงสู้ทนอดกลั้นถึงเพียงนี้แล้ว ลงท้ายหลีซานกำลังจะแต่งเข้าจวนโหวเป็นฮูหยินท่านโหว ขณะที่ญาติผู้พี่จำต้องออกเรือนไปอยู่ที่ชานเมืองหลวง มิหนำซ้ำยังไม่ได้รับอิสระแม้แต่จะออกนอกเรือน…
ตู้เฟยเสวี่ยคิดถึงตรงนี้แล้วสะท้านเยือก
นางก็ไม่มีมารดาแล้ว ส่วนท่านพ่อยังหนุ่มแน่น จะต้องตบแต่งภรรยาคนใหม่เป็นแน่ ถึงเวลานั้นนางจะไม่อยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถอย่างญาติผู้พี่หรอกหรือ
ญาติผู้พี่กล่าวได้ถูกต้อง นางต้องไปที่เรือนท่านตา ท่านตาท่านยายเอ็นดูนางอย่างนั้น นางอยู่ที่นั่นต้องดีกว่าอยู่ในจวนป๋ออย่างแน่นอน อีกทั้งยังได้เจอหน้าญาติผู้พี่จูทุกเวลา…
พอเห็นตู้เฟยเสวี่ยทำสีหน้าโอนเอน หลีเจี่ยวลอบยกมุมปากโค้งขึ้น
พอท่านน้าสะใภ้ตายไป ตู้เฟยเสวี่ยคงได้แต่เก็บตัวอยู่ในจวนป๋อไม่ย่างเท้าออกนอกเรือนเพื่อไว้ทุกข์ให้มารดา ต่อให้นางมาที่จวนป๋อได้แล้วจะทำอะไรได้ แต่ถ้าตู้เฟยเสวี่ยไปอยู่ที่จวนไท่หนิงโหวก็ไม่เหมือนกันแล้ว ถึงตอนนั้นนางยกข้ออ้างปลอบใจญาติผู้น้องไปเยี่ยมเยือนจวนโหว อย่างไรก็ต้องมีโอกาสให้ไขว่คว้าฉกฉวย
ด้านตู้เฟยเสวี่ยยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าหลีเจี่ยวพูดได้มีเหตุผล เมื่อได้พบกับฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหว นางโอบคอหญิงชราไว้แล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ท่านยาย ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ข้าอยากตามท่านกลับเรือน…”
คำกล่าวนี้เรียกน้ำตาของฮูหยินผู้เฒ่าให้ไหลพรากๆ “เด็กดีไม่ร้องนะ ท่านยายจะพาเจ้ากลับเรือน”
เวินซื่อฮูหยินของไท่หนิงโหวซึ่งประคองมารดาสามีอยู่หลุบตาลงซ่อนแววตาหลากใจแกมขุ่นเคือง
หรือว่าหลานสาวต่างสกุลผู้นี้อยากอาศัยอยู่ที่จวนโหวหลังจากนี้
ตามหลักแล้วบุตรสาวที่สูญเสียมารดาไปถูกรับตัวกลับไปอาศัยอยู่กับตระกูลท่านตาไม่นับว่าผิดธรรมเนียม ทว่าความรู้สึกที่หลานสาวผู้นี้มีต่อบุตรชายนางมองเห็นอยู่กับตามานานแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าตอบตกลงไปแล้วเช่นนี้จะไม่เป็นการชักพาตัวปัญหาเข้าจวนโหวหรือไร ทว่านางเป็นท่านป้าสะใภ้ยังจะพูดอะไรได้
เพราะคำขออย่างกะทันหันของตู้เฟยเสวี่ย ทำให้เวินซื่อกลัดกลุ้มอึดอัดใจสุดจะกล่าว ฝ่ายฮูหยินผู้เฒ่าของกู้ชางป๋อก็ทั้งตกตะลึงทั้งอับอาย
นางมีหลานสาวอยู่คนเดียว ตลอดเวลาที่ผ่านมานางรักใคร่ทะนุถนอมหลานสาวผู้นี้ยิ่งกว่าพวกหลานชาย คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายคนที่อุ้มชูมาจะกลายเป็นพวกอกตัญญู
จูซื่อเพิ่งตายไป หลานสาวก็ร้องห่มร้องไห้ขอไปอยู่กับตระกูลท่านตา หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะให้คนอื่นมองจวนป๋ออย่างไร
หลีเจี่ยวที่มองดูอยู่ด้านข้างลอบยกมุมปากโค้งขึ้น
เห็นหรือไม่เล่า ทันทีที่ไม่มีมารดาคอยปกป้อง ก็เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของญาติสนิทเฉกท่านย่าได้ง่ายดายเช่นนี้เอง
เมื่อตู้เฟยเสวี่ยได้ไปอยู่ที่จวนไท่หนิงโหวสมดังใจ เหตุการณ์วุ่นวายของจวนกู้ชางป๋อก็ปิดฉากลงด้วยบทลงเอยที่น่าสะทกสะท้อนใจ
ทางด้านเฉียวเจานั้น หลังจากผ่านพิธีถามชื่อและเทียบดวงสมพงศ์แล้ว เรื่องการแต่งงานของนางกับเซ่าหมิงยวนก็เป็นผลสำเร็จในที่สุด
ชาวต้าเหลียงไม่เคร่งครัดธรรมเนียมประเพณีโบราณนัก ชายหนุ่มหญิงสาวที่หมั้นหมายกันแล้วสามารถนัดพบกันได้อย่างเปิดเผย
ฝ่ายเซ่าหมิงยวนรู้สึกคล้ายได้ลืมตาอ้าปากในที่สุดด้วยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป เขาชักชวนเฉียวเจาไปที่ร้านไป่เว่ยซึ่งเป็นร้านอาหารเก่าแก่นับร้อยปีชื่อดังของเมืองหลวง
“ฤดูหนาวกินเนื้อแพะช่วยบำรุงร่างกายดีที่สุด เจาเจา เจ้ากินเยอะๆ นะ” ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งริมหน้าต่างตักเนื้อแพะตุ๋นชามหนึ่งยื่นให้นาง
เฉียวเจารับมากินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ครั้นรู้สึกได้ว่าสายตาแรงกล้าของคนบางคนจับจ้องที่ใบหน้าตนอยู่ตลอด นางหยุดกินแล้วมองเขา
“อร่อยหรือไม่” บุรุษฝั่งตรงข้ามอมยิ้มพลางถาม
“ไม่เลว” นางพยักหน้าเอ่ยตอบ
เซ่าหมิงยวนใช้ช้อนในมือคนเนื้อแพะตุ๋นในชาม “แปลกนัก ไฉนข้ารู้สึกเค็มไป”
“ไม่นี่ ข้าว่ารสชาติกำลังดี”
“เค็มไปจริงๆ นะ เจ้าชิมดูสิ” เซ่าหมิงยวนตักเนื้อแพะตุ๋นช้อนหนึ่งยื่นไปจ่อข้างปากนาง
เฉียวเจาก้มหน้ากินเข้าไปแล้วเอ่ยอย่างงุนงง “เค็มไปที่ใดกัน”
“ถ้าอย่างนั้นข้าลองชิมของเจ้าบ้างสิ” เซ่าหมิงยวนหยิบช้อนของเฉียวเจาตักมากินคำหนึ่งลิ้มรสอย่างละเลียด “เจาเจา ของเจ้าอร่อยกว่า”
เฉียวเจาถึงคิดตามทันในตอนนี้เอง นางตีหลังฝ่ามือเขาเบาๆ ทีหนึ่งแล้วพูดดุ “มียางอายหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนเพ่งมองนัยน์ตาสุกใสแวววาวของเด็กสาวพลางกล่าวเสียงเบา “ไม่มียางอาย ขอเพียงมีเจ้าเท่านั้น”
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านสุรายกสุราข้าวที่อุ่นร้อนมาให้พอดี นางขึงตามองเขาแวบหนึ่งเป็นเชิงเตือน รอกระทั่งเสี่ยวเอ้อร์ถอยออกไปถึงกัดริมฝีปากเอ่ยขึ้น “เซ่าหมิงยวน ไม่พบกันสองสามวันท่านก็พูดจาส่งเดช”
เขากุมมือนางไว้เบาๆ “เจาเจา บัดนี้พวกเราเป็นคู่หมั้นกันแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่”
ผ่านอุปสรรคมานานัปการกว่าจะได้ครองคู่กันเฉียวเจาย่อมต้องดีใจ แต่ชายหนุ่มจ้องมองอยู่ด้วยสายตาหวานซึ้งทำให้นางพูดไม่ออก ได้แต่เม้มปากไม่กล่าววาจา
เขาดึงมือนางมาวางทาบอกก่อนกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าดีใจมากที่สุด หัวใจข้าสงบลงได้เสียที”
ไม่ว่าโอรสสวรรค์หรือใครหน้าไหนก็ตาม อย่าหมายว่าจะขัดขวางความตั้งใจแน่วแน่ของเขาที่จะตบแต่งเจาเจาเข้าเรือนได้
เขากับนางต้องได้แต่งงานกันอย่างแน่นอนในที่สุด
ด้านฮ่องเต้หมิงคังที่ยังไม่ลืมเรื่องรับกวนจวินโหวเป็นราชบุตรเขยให้องค์หญิงแปดซึ่งเป็นพระธิดาพระองค์เดียวที่พอจะอวดใครๆ ได้ ทันทีที่ออกจากการจำศีลก็เรียกผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินมาหารือ
“อะไรนะ กวนจวินโหวหมั้นหมายกับบุตรสาวของอาลักษณ์หลีแล้ว?”
เจียงถังพยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หมิงคังหัวเสียยกใหญ่ “เหตุไฉนไม่รายงานเรา”
“พระองค์ทรงจำศีลอยู่พ่ะย่ะค่ะ” เจียงถังเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง
ฮ่องเต้หมิงคังเงียบงันไป “…”
จำศีลจนราชบุตรเขยที่ถูกใจหลุดมือไปแล้วหรือนี่ น่าหงุดหงิดยิ่งนัก!