หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 563
บทที่ 563
ฮ่องเต้หมิงคังอารมณ์ไม่ดีเลยเรียกตัวโค่วสิงเจ๋อเสนาบดีกรมอาญามาไต่ถามความคืบหน้าของคดี พอได้ยินว่ายังไต่สวนไม่เสร็จก็ได้ทีด่าทอเขาอย่างสาดเสียเทเสียทันที
โค่วสิงเจ๋อโดนด่าจนหน้าตาเหี่ยวแห้ง กลับถึงที่ว่าการก็ตะโกนด่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งกลุ่มเสียงดังลั่น พวกผู้ใต้บังคับบัญชาที่โดนด่าจนหน้าตาเหี่ยวแห้งเช่นกันได้แต่ปลุกใจตนเองให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป
เจียงซือหร่านตามเจียงถังเข้าวังไปเยี่ยมองค์หญิงเจินเจิน นางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกวังจบแล้วก็พูดอย่างฮึดฮัดว่า “ไม่รู้ว่าหลีซานเกิดบุญหล่นทับอะไรขึ้นมา เรื่องการแต่งงานกับกวนจวินโหวถึงได้สำเร็จจริงๆ”
องค์หญิงเจินเจินฟังแล้วปลอดโปร่งโล่งใจ จากนั้นความขมขื่นจางๆ ก็แผ่ลามอยู่ตรงกลางอก
กวนจวินโหวมีความสามารถดั่งเช่นที่นางคิดไว้จริงๆ
นางได้พบกับบุรุษผู้นี้ในวัยสาวที่สวยสดงดงามเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
“เจินเจิน?” เจียงซือหร่านสังเกตเห็นสหายใจลอย นางส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง
องค์หญิงเจินเจินดึงตนเองออกจากภวังค์ ส่งยิ้มน้อยๆ ให้นาง “ข้างนอกครึกครื้นกว่าในวังหลวงตั้งมาก”
เจียงซือหร่านกัดริมฝีปากอย่างไม่พอใจ “ข้าเล่าเรื่องหลีซานหมั้นหมายกับกวนจวินโหวให้เจ้าฟังอยู่นะ”
องค์หญิงเจินเจินเริ่มเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง
แม้ว่าเทียบกับองค์หญิงแปดแล้ว นางเต็มใจที่เห็นคุณหนูหลีซานกับกวนจวินโหวได้ลงเอยครองรักกัน แต่ตอนนี้ความรักของนางไม่สมหวัง เหตุใดสหายรักต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ซ้ำๆ แทงใจดำนางเล่า
“อย่าพูดถึงพวกเขาแล้วเลย พวกเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา” องค์หญิงเจินเจินจะหัวเสียกับเจียงซือหร่านก็ไม่ดี นางได้แต่เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา “จวนจะปลายปีพี่สือซานของเจ้าใกล้จะกลับมาแล้วกระมัง”
เจียงซือหร่านได้ยินนางเอ่ยถึงเจียงหย่วนเฉาก็ตาเป็นประกายทันควัน นางเม้มปากยิ้มแล้วกล่าว “อื้อ ท่านพ่อบอกว่าพี่สือซานใกล้จะกลับมาแล้ว ก่อนไปเขารับปากว่าจะนำของพื้นเมืองสวยๆ งามๆ จากแดนใต้กลับมาฝากข้า ถึงตอนนั้นข้าจะแบ่งมาให้เจ้าด้วยนะ”
องค์หญิงเจินเจินฝืนยิ้มเอ่ยตอบ “ขอบใจมากนะ”
บางทีอาจเป็นข้าที่ใจแคบเกินไป ไฉนฟังประโยคนี้แล้วอยากกลอกตาขึ้นอย่างระอาใจนะ
ข้าไม่นึกอยากได้ของฝากที่คู่หมั้นของสหายรักนำมาหรอก ฮึ…เป็นองค์หญิง ของสวยๆ งามๆ อะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น!
องค์หญิงเจินเจินค่อนขอดอยู่ในใจ นางดูนิ่งขรึมผิดไปจากเดิม
เจียงซือหร่านตบมือกะทันหัน “เจินเจิน ยาขี้ผึ้งบนหน้าเจ้าน่าจะล้างออกดูผลได้แล้วกระมัง ผ่านไปเจ็ดวันแล้วนะ”
องค์หญิงเจินเจินยกมือลูบแก้มโดยไม่ปริปาก
เจียงซือหร่านดึงๆ แขนนาง “เจินเจิน วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป”
“ข้า…” องค์หญิงเจินเจินอ้าปากแล้วถอนใจเฮือก “ข้าไม่ค่อยกล้าดู”
หลายวันมานี้ตอนเปลี่ยนยาใหม่นางไม่กล้าส่องคันฉ่องตลอด ด้วยหวั่นกลัวจะพบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักนิดแล้วจะผิดหวัง
ใบหน้าของนาง…จะหายดีได้จริงๆ หรือ
เจียงซือหร่านไม่เข้าใจความรู้สึกที่ขัดแย้งกันในใจสหายรักอยู่มาก นางกล่าวอย่างไม่คล้อยตาม “นี่มีอะไรไม่กล้าดูกัน หลีกหนีความจริงไปก็ไร้ประโยชน์ ใบหน้าจะเป็นเช่นไรก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่ดี”
องค์หญิงเจินเจินอึ้งงัน “…” เอาอย่างไรดี อยากตัดขาดกับสหายพรรค์นี้เหลือเกิน
ถึงแม้จะค่อนขอดอยู่ในใจเช่นนี้ กระนั้นอาการที่ใบหน้านางไม่อาจถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ ได้จริงๆ พอเจียงซือหร่านพูดรบเร้า องค์หญิงเจินเจินจึงออกคำสั่งให้นางกำนัลตักน้ำมาให้นางล้างหน้า
เมื่อน้ำใสสะอาดชะล้างยาขี้ผึ้งบนใบหน้าออกจนหมด นิ้วมือเรียวยาวทั้งสิบขององค์หญิงเจินเจินยังปิดดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือเอาไว้เป็นนานไม่ยอมขยับออกเสียที
“เจินเจิน เอามือออกสิ” เจียงซือหร่านรุนหลังนางไปนั่งลงเบื้องหน้าคันฉ่อง
นางกลับอยากดูนักว่ายาขี้ผึ้งของหลีซานสรรพคุณดีสักเพียงใด ถ้าหลอกลวงเจินเจินล่ะก็ นางจะหัวเราะเยาะหลีซานให้สาแก่ใจสักยกแน่นอน!
องค์หญิงเจินเจินผละมือออกช้าๆ นางยังคงหลับตาไม่กล้ามองคันฉ่อง ข้างหูกลับมีเสียงอุทานของเจียงซือหร่านดังขึ้น
นางใจดิ่งวูบลง ไม่มีแก่ใจคิดอะไรมากอีกต่อไป ลืมตาพรึ่บมองไปที่คันฉ่องบนโต๊ะเครื่องแป้งทันที
รูปโฉมของเด็กสาวในคันฉ่องงามสะคราญเป็นธรรมชาติดุจดั่งภาพวาด รอยแผลเป็นตะปุ่มตะป่ำอัปลักษณ์พวกนั้นเลือนหายไปแล้ว เผยให้เห็นผิวใหม่ที่เรียบเนียนเต่งตึง ดูไปแล้วยังขาวผ่องอ่อนนุ่มยิ่งกว่าแต่ก่อน
องค์หญิงเจินเจินเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ นางมองคันฉ่องอย่างงงงวย จากนั้นก็น้ำตาร่วงเผาะๆ
“เจินเจิน ใบหน้าเจ้าหายดีแล้ว” เจียงซือหร่านเขย่าแขนนางเป็นการใหญ่
องค์หญิงเจินเจินกลับไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ คล้ายเป็นรูปปั้น
“เจินเจิน เจ้างุนงงอะไรอยู่”
องค์หญิงเจินเจินกะพริบตาปริบๆ แล้วยกมือปิดหน้าร่ำไห้สุดเสียงฉับพลัน
นางร้องไห้เสียงดังมาก ไม่หลงเหลือความระมัดระวังตัวเฉกเช่นยามปกติให้เห็นโดยสิ้นเชิงราวกับทำนบน้ำตาพังครืนลงมา
ลี่ผินเดินมาถึงหน้าประตูตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจินเจินพอดี นางได้ยินเสียงร้องไห้ก็หน้าเสียทันควัน ยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน มองปราดเดียวเห็นพระธิดาร้องไห้จนตัวงอ ยังมีเจียงซือหร่านที่แตกตื่นทำอะไรไม่ถูกอยู่ด้านข้าง นางถลันเข้าไปกอดพระธิดาไว้
“เจินเจิน บอกเสด็จแม่มาว่าเจ้าเป็นอะไรไป”
องค์หญิงเจินเจินปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ
ลี่ผินร้อนใจยกใหญ่ คิดจะแกะมือพระธิดาออกก็ไม่กล้าออกแรงมากเกินไปเลยได้แต่กอดนางไว้แน่นๆ พลางกล่าว “ยาขี้ผึ้งมีปัญหาใช่หรือไม่ ข้าก็คิดอยู่ว่าเด็กสาวผู้นั้นเชื่อถือไม่ได้! เจินเจินอย่าร้องไห้ เสด็จแม่จะเรียกตัวคุณหนูหลีซานผู้นั้นเข้าวังหลวงมาเดี๋ยวนี้ ให้เจ้าได้ระบายความแค้นให้เต็มที่เลย”
เจียงซือหร่านด้านข้างกลอกตาขึ้นเงียบๆ
แม้แต่นางยังรู้ว่าหลีซานกลายเป็นคู่หมั้นของกวนจวินโหวแล้ว มิใช่มะพลับนิ่มที่ใครจะบีบเค้นได้ตามใจชอบอีก พระสนมพระองค์นี้ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย
แต่ก็ไม่แปลก สตรีที่เคยเป็นนางรำผู้หนึ่งจะมีสติปัญญาอะไรได้
“เข้ามา!” ลี่ผินตะเบ็งเสียงเรียกคน
องค์หญิงเจินเจินถึงปล่อยมือที่กอดแขนพระมารดาลง “เสด็จแม่ อย่าทรงเรียก…”
ดวงตาคู่งามของลี่ผินเบิกกว้างแทบถลน นางพูดเสียงแหลมสูง “เจินเจิน ใบหน้าของเจ้า…”
องค์หญิงเจินเจินยิ้มทั้งน้ำตา นางพยักหน้าไม่หยุด “เสด็จแม่ ใบหน้าของหม่อมฉันหายแล้ว หายสนิทแล้ว…” นางพูดถึงท้ายประโยคก็สะอื้นตัวโยนอีก
“สวรรค์!” ลี่ผินราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน ล้มลงนั่งแปะลงบนพื้นลาดพรมขนแกะ ไม่หลงเหลือท่วงทีกิริยางดงามอ่อนช้อยดุจบุปผาพลิ้วไหวในยามปกติอีกต่อไป “ยาขี้ผึ้งนั่นมหัศจรรย์จริงๆ”
สองแม่ลูกสบตากันแล้วเดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะสลับกัน สุดท้ายเป็นองค์หญิงเจินเจินที่สงบอารมณ์ลงได้ก่อน นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยขึ้น “ใบหน้าของหม่อมฉันหายดีแล้ว อยากไปทูลให้เสด็จย่าทรงทราบก่อน จากนั้นค่อยไปกล่าวขอบคุณคุณหนูหลีซานด้วยตนเอง”
“สมควรแล้วๆ” ลี่ผินยังเต็มตื้นในอก นางพูดละล่ำละลัก
สำหรับนางแล้วใบหน้าของบุตรสาวแสนสำคัญเหลือเกิน
นางมีพระธิดาพระองค์นี้พระองค์เดียว ฮ่องเต้หมกมุ่นกับการบำเพ็ญตบะ วันหน้าหลังจากทรงบรรลุขึ้นสวรรค์ไปเป็นเทพเซียนแล้ว นางยังหวังให้พระธิดาได้ราชบุตรเขยดีๆ สักคนจะได้เลี้ยงดูนาง
องค์หญิงเจินเจินล้างหน้าประทินโฉมใหม่ ยังตั้งใจเลือกเสื้อคลุมบุนวมตัวสั้นลายค้างคาวล้อมเมฆสีแดงทับทิมคู่กับกระโปรงลายดอกสีม่วงอมฟ้า
ใกล้สิ้นปีพวกผู้อาวุโสล้วนปรารถนาความเป็นสิริมงคล ไทเฮาก็มิใช่ข้อยกเว้น เห็นผู้เยาว์แต่งกายกันอย่างครึกครื้นรื่นเริงก็จะถูกพระทัย องค์หญิงเจินเจินรู้ถึงจุดนี้เป็นอย่างดี
เพลานี้หยางไทเฮารับรองแขกอยู่ที่ห้องด้านใน แขกผู้นี้มีศักดิ์ฐานะพิเศษอยู่สักหน่อย นางก็คืออู๋เหมยซือไท่ซึ่งย้ายออกจากอารามซูอิ่งแล้วนั่นเอง
เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงเจินเจินมาถวายพระพร หยางไทเฮามองอู๋เหมยซือไท่แวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยสั่งไหลสี่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บอกองค์หญิงเก้าว่าข้ามีแขกอยู่ อีกประเดี๋ยวค่อยให้นางมาใหม่”
ไหลสี่เตรียมจะออกไปบอกความ อู๋เหมยซือไท่พลันเอ่ยปากขึ้น “เจินเจินกับอาตมาก็นับว่ามีวาสนาต่อกันอยู่บ้าง ให้นางเข้ามาเถอะ”
หยางไทเฮาพยักหน้า พอเห็นองค์หญิงเจินเจินที่เดินเข้ามาพร้อมด้วยรูปโฉมที่กลับเป็นดังเดิมแล้ว นางก็ตกตะลึงอย่างสุดระงับ