หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 564
บทที่ 564
“ถวายพระพรเสด็จย่าเพคะ” องค์หญิงเจินเจินแสดงคารวะต่อหยางไทเฮา พอเห็นอู๋เหมยซือไท่ ในดวงตานางเผยแววประหลาดใจแกมยินดี “ซือไท่ ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือเจ้าคะ”
ชะรอยว่าพอรูปโฉมกลับเป็นดังเดิมหลังเสียโฉมไป ส่งผลให้องค์หญิงเจินเจินรู้สึกโชคดีและซาบซึ้งกับการได้รับสิ่งที่สูญเสียไปคืนมา ความปีติยินดีที่นางแสดงออกมาโดยไม่ตั้งใจจึงมาจากน้ำใสใจจริงมากกว่าในกาลก่อน
อู๋เหมยซือไท่อดมององค์หญิงเจินเจินซ้ำอีกคราไม่ได้แล้วเผยรอยยิ้มบางๆ “อาตมาก็มิได้เจอเจินเจินนานมากแล้ว วันนี้กลับบังเอิญนัก”
องค์หญิงเจินเจินเม้มปากยิ้ม “ข้ามาขอบพระทัยเสด็จย่าเจ้าค่ะ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับซือไท่ เห็นได้ว่าวันนี้ข้าโชคดีเป็นที่สุดแล้ว”
นางพูดพร้อมกับคุกเข่าลงคำนับหยางไทเฮาอย่างเต็มพิธีการ “เสด็จย่า เจินเจินมาขอบพระทัยพระองค์เพคะ”
หลังจากหายตะลึงพรึงเพริดในทีแรก ใบหน้าของหยางไทเฮากลับมาสงบนิ่งอีกครา นางคลี่ยิ้มจางๆ “เด็กผู้นี้ยังจะเกรงอกเกรงใจเสด็จย่าเพียงนี้ไปด้วยเหตุใดกัน”
“ต้องขอบพระทัยเพคะ หากมิใช่เพราะเสด็จย่าใบหน้าของเจินเจินจะหายดีได้เช่นไร” องค์หญิงเจินเจินโขกศีรษะไม่หยุด น้ำเสียงของนางเจือสะอื้น
หยางไทเฮาเอ่ยสั่งนางกำนัลข้างกาย “ยังไม่ประคององค์หญิงเก้าลุกขึ้นอีก”
นางกำนัลสืบเท้าเข้าไปพยุงองค์หญิงเจินเจินขึ้น
หยางไทเฮากวักมือเรียกหลานสาวด้วยท่าทีสนิทสนม “เจินเจิน มานั่งใกล้ๆ เสด็จย่านี่”
องค์หญิงเจินเจินเดินเข้าไปนั่งลงข้างกายหยางไทเฮาอย่างว่านอนสอนง่าย
หยางไทเฮาพิศดูนางอย่างละเอียดแล้วพูดยิ้มๆ “หายดีแล้วจริงๆ ผิวหน้าขาวกระจ่างยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีกนะ”
องค์หญิงเจินเจินลูบแก้มเบาๆ ทีหนึ่งก่อนกล่าวด้วยความทึ่ง “ใช่เพคะ ยาขี้ผึ้งของคุณหนูหลีซานใช้ได้ผลดีอย่างยิ่ง นางบอกกับหม่อมฉันว่าให้ทาติดกันเจ็ดวันทั้งกลางวันกลางคืนแล้วก็หายดีจริงๆ เพคะ”
“เอ๊ะ เป็นยาขี้ผึ้งของคุณหนูหลีที่ทำให้ใบหน้าเจินเจินหายเป็นปกติหรือ” อู๋เหมยซือไท่อ้าปากถามขึ้น
หยางไทเฮาหัวเราะ “แม่นางน้อยผู้นั้นมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ ตอนแรกนางพูดว่ารักษาใบหน้าเจินเจินให้หายดีได้ จริงๆ แล้วข้าไม่เชื่อ”
เหตุผลที่ให้นางออกทะเลไปเสาะหาตัวยา ในใจเพียงคิดว่าลองดูเท่านั้น สำเร็จย่อมดีแน่นอน ถึงไม่สำเร็จก็ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้
“เสด็จย่า เจินเจินอยากกล่าวขอบคุณคุณหนูหลีซานด้วยตนเองเพคะ”
หยางไทเฮาผงกศีรษะ “เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปนอกวังสักคราเถอะ”
มาตรว่าในความคิดของนางเด็กสาวผู้นั้นจะประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทาง ทำให้ยากมากที่นางจะบังเกิดความรู้สึกดีๆ ด้วย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคู่หมั้นของกวนจวินโหว เจินเจินผูกมิตรกับนางไว้ก็ไม่เลว
เสียงพูดเอื่อยๆ ของอู๋เหมยซือไท่ดังขึ้นในห้องที่อบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ “จะว่าไปแล้ว อาตมาไม่ได้พบกับเด็กผู้นั้นมานาน ไทเฮามิสู้เชิญนางเข้าวังมาพบกันจะดีกว่า”
หยางไทเฮาอึ้งงันไปเล็กน้อย นางลอบประหลาดใจ
เมื่อครู่อู๋เหมยซือไท่ให้เจินเจินเข้ามายังไม่น่าแปลกเพราะประจวบเหมาะพอดี แต่ตอนนี้ตั้งใจให้คุณหนูหลีซานเข้าวังออกจะเหนือความคาดหมายไปบ้าง
คนอื่นอาจไม่เข้าใจแต่นางแจ่มแจ้งดี อดีตองค์หญิงใหญ่ผู้นี้มีนิสัยถือตัวและเย็นชามาก คนทั่วไปไม่มีทางอยู่ในสายตาของนาง
“ไหลสี่ ไปเชิญคุณหนูสามสกุลหลีเข้าวัง”
ลี่ผินซึ่งรออยู่นอกตำหนักฉือหนิงเห็นไหลสี่ออกมา นางกระซิบถาม “ไหลสี่กงกง ไฉนองค์หญิงเก้ายังไม่ออกมาอีกเล่า”
ไหลสี่กงกงพูดอย่างยิ้มแย้ม “ไทเฮาทรงรั้งตัวองค์หญิงเก้าไว้คุยกัน พระสนมมิสู้เสด็จกลับไปก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ลี่ผินพยักหน้าแต่มิได้กลับไปยังตำหนักบรรทมของตน นางเดินชมไปรอบๆ พระราชอุทยานอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ ข่าวองค์หญิงเก้าคืนโฉมแล้วก็แพร่กระจายไปทุกซอกมุมของวังหลวงทันควัน
เมื่อรู้สึกว่าตนได้ลืมตาอ้าปากทัดเทียมคนอื่นๆ เสียที ลี่ผินถึงกลับไปอย่างปลอดโปร่งใจ
ไม่นานนักเฉียวเจาก็ได้รับพระเสาวนีย์เรียกตัวเข้าเฝ้าของหยางไทเฮา ระหว่างทางที่เดินตามไหลสี่ไปยังตำหนักฉือหนิง นางรับรู้ว่ามีคนเฝ้ามองดูอยู่ในที่ลับได้อย่างปราศจากเหตุผล
เฉียวเจาชะงักฝีเท้า
“ไฉนคุณหนูหลีซานไม่เดินเล่า” ไหลสี่มองนางอย่างงุนงง
เฉียวเจาคลี่ยิ้มแล้วเดินตามเขาต่อไป
“ไทเฮา คุณหนูสามสกุลหลีมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยางไทเฮายกหางคิ้วขึ้นเล็กน้อย พอเห็นเด็กสาวในอาภรณ์สีเรียบสาวเท้าตามหลังไหลสี่เข้ามา นางก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ใกล้จะขึ้นปีใหม่แล้วเด็กสาวนางหนึ่งกลับแต่งกายเรียบง่ายไร้สีสันเฉกนี้ ทำให้ไม่สบอารมณ์จริงๆ
หยางไทเฮาคิดคำนึงอย่างนี้แล้วตวัดสายตามององค์หญิงเจินเจิน นางนึกในใจ ต้องหลานสาวของข้าสิที่น่ารักน่าเอ็นดู สวมเสื้อสีแดงทับทิมเห็นแล้วเจริญตาเจริญใจ
“ถวายพระพรไทเฮาเพคะ”
“คุณหนูหลีซานไม่ต้องมากพิธี” มุมปากของหยางไทเฮายกยิ้มเล็กน้อยทันที นางทำมือบอกให้เด็กสาวลุกขึ้น
เฉียวเจายืดตัวขึ้นแล้วหันไปคารวะทักทายอู๋เหมยซือไท่
แม้ว่าอู๋เหมยซือไท่จะมีสีหน้าเฉยเมย แต่แววยิ้มในดวงตาดูไปแล้วอบอุ่นเป็นมิตรกว่าหยางไทเฮามากนัก “ไม่ได้พบกันนาน คุณหนูหลีซูบลงนะ”
เฉียวเจาผลิยิ้มน้อยๆ กล่าวอย่างเปิดเผย “ซือไท่ยังมีสง่าราศีดุจเก่าเจ้าค่ะ”
หยางไทเฮาลอบขมวดคิ้วอีกคราอย่างสุดระงับ
ไมตรีระหว่างคนสองคนคงจะเป็นเรื่องชะตาต้องกัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ชมชอบท่าทางสุขุมเยือกเย็นของเด็กสาวผู้นี้ มันทำให้นางรู้สึกคล้ายโดนหมิ่นประมาทอย่างไรก็ไม่รู้
“คุณหนูหลีซาน ใบหน้าข้าหายดีแล้ว” องค์หญิงเจินเจินยากจะปิดบังความยินดีปรีดาไว้ได้
เฉียวเจาพิศดูนางแล้วเผยรอยยิ้มจริงใจ “ยินดีกับองค์หญิงด้วยเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินเม้มปากยิ้ม นางจะพูดอะไรมากต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสก็ไม่เหมาะ จึงเอ่ยกับหยางไทเฮา “เสด็จย่า หม่อมฉันอยาก…”
อู๋เหมยซือไท่พลันส่งเสียงไอเบาๆ ทีหนึ่ง “ไทเฮา คุณหนูหลีเคยคัดลอกพระธรรมเป็นเพื่อนอาตมาเป็นเวลาหลายเดือน อาตมาชื่นชอบลายมือของเด็กผู้นี้มาก ในเมื่อวันนี้มีวาสนาได้พบกัน อาตมาอยากพูดคุยกับนางตามลำพังสักหน่อย”
หยางไทเฮารีบกล่าวยิ้มๆ “เชิญซือไท่ตามสบาย”
องค์หญิงเจินเจินที่อยู่ด้านข้างมองดูเฉียวเจาตามอู๋เหมยซือไท่ไปสนทนากันในมุมส่วนตัวแล้วลอบฉงนใจ
ท่าทีของเสด็จย่าน่าแปลกยิ่งนัก เหตุใดนางรู้สึกชอบกลๆ ว่าเสด็จย่าดูจะประจบเอาใจซือไท่อยู่เป็นนัยๆ นะ
หรือบางทีข้าอาจจะคิดมากไปเอง
“นั่งสิ” อู๋เหมยซือไท่ชี้ที่ม้านั่งตัวเล็ก
เฉียวเจานั่งลงอย่างเชื่อฟังแล้วรอผู้อาวุโสเอ่ยปากพูดก่อน
อู๋เหมยซือไท่กล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆ “อาตมาได้ข่าวว่าคุณหนูหลีออกเดินทางไกล ระหว่างทางคงพบกับปัญหาอย่างเลี่ยงไม่ได้กระมัง”
“ปัญหาก็มีบ้างเล็กน้อย ยังดีที่ไทเฮาทรงมอบหมายให้องครักษ์จินอู๋ตามไปคุ้มครอง ด้วยเหตุนี้ยังนับว่าราบรื่นดีเจ้าค่ะ”
“อาตมาได้ยินได้ฟังมาว่าแดนใต้วุ่นวายมาก จะอย่างไรคุณหนูหลีก็เป็นสตรี วันหน้าอย่าไปยังที่ที่มีอันตรายจะดีกว่า”
เฉียวเจาอมยิ้มรับคำ “ขอบคุณซือไท่ที่ห่วงใย วันหน้าคงจะไม่มีโอกาสไปแล้วเจ้าค่ะ”
อู๋เหมยซือไท่เลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่แขนนาง ยามนี้ข้อมือเรียวเล็กของเด็กสาวสวมสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาไว้ เป็นเส้นที่ตนกำนัลให้นางนั่นเอง
“ช่วงที่ผ่านมาซือไท่สบายดีกระมังเจ้าคะ”
“นับว่าไม่เลวหรอก”
ทั้งสองคุยสัพเพเหระกันพักหนึ่ง เฉียวเจารู้กาลเทศะดี มิได้ซักถามว่าตอนนี้อีกฝ่ายถือศีลปฏิบัติธรรมอยู่ที่ใด
นางรู้สึกได้รางๆ ว่าอู๋เหมยซือไท่อยากสนทนากับนางตามลำพังเป็นเรื่องแปลกชอบกลอยู่บ้าง แต่กลับขบไม่แตกว่าแปลกประหลาดที่ตรงใดเลยได้แต่สะกดความสงสัยเอาไว้ชั่วคราว
จวบจนกล่าวอำลาอู๋เหมยซือไท่และออกจากตำหนักฉือหนิงแล้ว เฉียวเจาก็ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก
อู๋เหมยซือไท่มิใช่คนช่างพูด แล้วเหตุใดต้องชวนข้าคุยเรื่อยเปื่อยเช่นนั้นนะ