หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 566
บทที่ 566
ณ ถนนที่ตั้งศาลาพักม้า เกล็ดหิมะปลิวว่อนทั่วฟ้า
เฉียวโม่ยกมือจับพู่กลมขนปุกปุยน่ารักบนเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกหิมะของเฉียวเจาให้เข้าที่พลางกล่าวเสียงนุ่ม “ความแค้นของครอบครัวเราได้รับการสะสางในครานี้ต้องขอบคุณน้องพี่ที่ต้องลำบากลำบนวิ่งวุ่นไปทั่ว พี่ใหญ่ละอายใจอย่างมาก”
ท่ามกลางพายุหิมะเฉียวเจาคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “พี่ใหญ่พูดอะไรกัน ถ้าไม่มีพี่ใหญ่เสี่ยงตายนำสมุดบัญชีออกมา ข้าก็คงหมดปัญญา อีกอย่างความแค้นของพวกเราเพิ่งชำระไปได้ครึ่งเดียว ยังมีภูเขาลูกใหญ่ที่ยังไม่โค่นล้มลงนะเจ้าคะ”
ภูเขาลูกใหญ่ตามคำกล่าวของเฉียวเจาหมายถึงหลันซาน สมุหราชเลขาธิการคนปัจจุบันนั่นเอง
คดีของสิงอู่หยางหลันซานอาจถูกฮ่องเต้หมิงคังตำหนิอย่างรุนแรงยกหนึ่ง แต่ก็เพียงริบเบี้ยหวัดเท่านั้น ซึ่งมิได้กระทบกระเทือนถึงฐานอำนาจบารมีของเขาแต่อย่างใด สำหรับหลันซานแล้วเท่านี้ไม่นับว่ามีอะไรจริงๆ
กระนั้นเฉียวเจากับพี่ชายแจ่มแจ้งดีว่าความผิดของหลันซานมิใช่แค่สะเพร่าเลินเล่อส่งเสริมคนผิดอย่างสิงอู่หยางดังที่เห็นอยู่ภายนอก อย่างน้อยเรื่องที่เฉียวโม่โดนวางยาพิษประหลาดที่เรือนท่านตาก็มีเงาของหลันซานอยู่เบื้องหลังรางๆ
กล่าวให้ลึกลงไปหลันซานต่างหากที่เป็นตัวการใหญ่อยู่เบื้องหลัง มีเพียงกำจัดเขาทิ้ง ความแค้นของครอบครัวถึงนับว่าได้รับการชำระสะสางอย่างหมดจด
ไม่ว่าเฉียวเจาหรือว่าเฉียวโม่ต่างรู้ซึ้งถึงจุดนี้ แต่ขณะเดียวกันก็รู้ว่าหมายโค่นภูเขาลูกใหญ่เฉกหลันซานมิใช่จะทำสำเร็จได้ในวันเดียว จำต้องค่อยเป็นค่อยไป
“จะอย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเราบรรลุเป้าหมายเล็กได้แล้ว เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การยินดี” ผ้าโปร่งสีดำที่บดบังใบหน้าของเฉียวโม่ทำให้สุ้มเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนยิ่งขึ้นกลางพายุหิมะ
“พี่ใหญ่กล่าวได้ถูกต้องเจ้าค่ะ”
“เจาเจา…”
“หือ?”
“วันหน้าสวมอาภรณ์ที่มีสีสันสดใสขึ้นเถอะ พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้าต้องการไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อท่านแม่ แต่บัดนี้เจ้าเป็นบุตรสาวสกุลหลีแล้ว อายุยังน้อยก็แต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้จะสร้างความไม่พึงใจให้ผู้อาวุโสได้”
เฉียวเจาเม้มปาก
เฉียวโม่พูดกล่อมต่อ “ดวงวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่บนสวรรค์รับรู้ความตั้งใจของเจ้าได้ อย่างอื่นเป็นเพียงพิธีการอย่างหนึ่ง เจ้าว่าพี่ใหญ่พูดถูกหรือไม่”
เฉียวเจาผงกศีรษะ “ข้าเชื่อพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
เฉียวโม่ถึงมองไปทางเซ่าหมิงยวนที่ยืนข้างกายนางแล้วกางร่มให้เงียบๆ
“ท่านโหว…”
แม่ทัพหนุ่มในชุดสีขาวปลอดตัดบทเฉียวโม่ “พี่เฉียวโม่เรียกข้าว่าหมิงยวนเถอะ”
โดยทั่วไปแล้วผู้อาวุโสกว่าจะเรียกชื่อจริง คนอายุเท่ากันเรียกชื่อรอง เซ่าหมิงยวนขอให้เฉียวโม่เรียกชื่อจริงของตน แสดงให้เห็นถึงความเคารพนับถือที่มีต่ออีกฝ่าย
เฉียวโม่ชะงักไปเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเรียกขานชื่อจริงๆ ของท่านโหวขั้นหนึ่งผู้ทรงเกียรติ หากในใจกลับรู้สึกปลาบปลื้มยินดี เขาอมยิ้มกล่าวว่า “ถิงเฉวียน หลังจากนี้ฝากน้องสาวข้าไว้กับเจ้าด้วย เจ้าต้องดูแลนางให้ดีๆ”
เซ่าหมิงยวนกุมมือเฉียวเจาต่อหน้าเฉียวโม่พร้อมกล่าวยิ้มๆ “พี่เฉียวโม่วางใจได้ ข้าจะดูแลเจาเจาเป็นอย่างดี ไม่ทำให้นางต้องคับข้องหมองใจแน่นอน”
สายตาของเฉียวโม่จับอยู่ที่สองมือที่กุมกันของคนทั้งคู่ จู่ๆ เขาชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีก
เขาให้เจ้าหนุ่มผู้นี้ดูแลน้องสาว ไม่ได้พูดว่าตอนนี้ก็สามารถทำปากว่ามือถึงแตะเนื้อต้องตัวน้องสาวของเขาได้แล้วนะ!
ในฐานะพี่เขยเฉียวโม่รู้สึกคับใจเป็นอันมาก เขากำมือป้องปากส่งเสียงไอเบาๆ แสร้งทำเหมือนไม่ใส่ใจก่อนเอ่ยเตือนขึ้น “แม้พวกเจ้าหมั้นหมายกันแล้ว แต่เวลานี้เจาเจายังอายุน้อยอยู่ พวกเจ้าอย่าพบหน้ากันบ่อยเกินไปจะได้ไม่ตกเป็นที่ครหาของผู้คน”
เซ่าหมิงยวนปล่อยมือเฉียวเจาอย่างเก้อกระดาก พร่ำพูดรับรองว่าจะเป็นคู่หมั้นที่สำรวมระวังตนผู้หนึ่ง
เฉียวโม่พยักหน้าอย่างพอใจ เขาเปลี่ยนเรื่องพูด “ยังมีหว่านวาน เด็กผู้นั้นมีนิสัยกระโดกกระเดก นางอยู่คนเดียวในจวนโหวข้าก็ไม่ใคร่วางใจเท่าไรนัก ถิงเฉวียน เจ้าช่วยดูแลนางแทนข้าด้วยนะ”
เซ่าหมิงยวนย่อมต้องรับปาก
เฉียวโม่สบายใจแล้ว สายตาของเขามองเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสลับไปมา จากนั้นกล่าวเสียงนุ่มว่า “อากาศหนาวเหน็บ พวกเจ้าไม่ต้องอยู่ส่งข้าแล้ว รีบกลับไปเถอะ”
“พี่ใหญ่ รอท่านไปแล้วพวกข้าค่อยกลับ”
“ตกลง เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” เฉียวโม่มองน้องสาวนิ่งๆ แล้วผงกศีรษะให้เซ่าหมิงยวน พอเขาขึ้นรถม้าไปพร้อมกับองครักษ์หลายคนที่เซ่าหมิงยวนส่งมาอารักขาเขาโดยเฉพาะ มันก็แล่นห่างไปไกลขึ้นทุกทีๆ
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนยืนเคียงข้างกัน จนกระทั่งรถม้าลับตาไปแล้วชายหนุ่มถึงจับมือนางขึ้นมา ยกยิ้มเอ่ยบอกว่า “เจาเจา พวกเราก็กลับกันเถอะ”
นางมองเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เมื่อครู่เป็นใครกันที่รับรองกับพี่ใหญ่ของข้าว่าจะสำรวมระวังตน”
เซ่าหมิงยวนจูงนางขึ้นรถม้า เขายิ้มตาหยีกล่าวว่า “ข้าสำรวมระวังตนมากนะ”
พอเห็นปลายจมูกที่แดงระเรื่อด้วยความหนาวและดวงหน้าเล็กที่ขาวเนียนปานหยกหิมะของเด็กสาว ชายหนุ่มอ้าแขนออก “มานี่ ข้าจะให้ไออุ่นแก่เจ้า”
เฉียวเจาถอดเสื้อคลุมออกแขวนกับตะขอตรงประตูรถม้า นางมองค้อนเขาวงหนึ่งพลางเอ่ย “ในรถม้าอบอุ่นถึงเพียงนี้ ใครอยากให้ท่านทำเรื่องเกินจำเป็น…”
นางกล่าวไม่ทันจบประโยคก็เปลี่ยนเป็นเสียงอุทานอ่อนหวาน ตัวพลันถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมอกกว้างแข็งแรงของคนผู้หนึ่ง
“เซ่าหมิงยวน!” เฉียวเจาทุบเขาทีหนึ่ง
ชายหนุ่มคว้ามือเด็กสาวไว้หมับ พูดกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ “อย่าทุบ ระวังเจ็บมือ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านปล่อยมือสิ” แผงอกบึกบึนแน่นแข็งของอีกฝ่ายแนบชิดกาย พาให้เฉียวเจาหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไร้สาเหตุ นางจะยกมือยันหน้าอกเขาถอยห่างออกไป กลับพบว่าขยับเขยื้อนไม่ได้สักนิด
เขาคลายมือออก
เฉียวเจาพรูลมหายใจออกเบาๆ ตั้งท่าจะยืดตัวนั่งหลังตรงเงาดำก็ทาทาบลงมาเหนือศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษขยายใหญ่ขึ้นเบื้องหน้าสายตานาง
เรียวปากของเขาที่ประทับลงบนกลีบปากนางร้อนผ่าวชวนให้ปั่นป่วนใจ
“เซ่าหมิงยวน…” เฉียวเจาแตกตื่นอยู่บ้าง นางอยากจะพูดดุอย่างเคร่งขรึมจริงจังก็กลัวเฉินกวงที่หูไวและชอบสอดรู้สอดเห็นเป็นพิเศษจะได้ยิน สุดท้ายหลังจากปลายลิ้นของอีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามา นางก็ได้แต่โอนอ่อนคล้อยตามปล่อยให้เขายึดครองตักตวงตามแต่ใจ
ดูเหมือนเป็นเพราะว่าขับพิษไอเย็นไปแล้ว ร่างกายของเขาจึงไม่เย็นน้อยๆ อยู่เสมออีกต่อไป ไอร้อนผ่าวที่แผ่มานั้นราวกับจะแผดเผาคนได้
เฉียวเจาเพียงรู้สึกว่ามีกระแสความร้อนวิ่งพล่านวูบวาบอยู่ในกาย ทั้งคล้ายเต็มอิ่มทั้งคล้ายโหวงเหวง ความรู้สึกที่ปนเปกันอย่างบอกไม่ถูกทำให้หัวสมองของนางว่างเปล่าขาวโพลน มีเพียงดอกไม้ไฟแตกกระจายเบ่งบานนับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดแม้แต่ปลายนิ้วของนางก็เริ่มสั่นระริก
เสียงหอบเบาๆ ดังสะท้อนก้องอยู่ในรถม้าอันอบอุ่น
ร่างของเฉียวเจาพลันลอยขึ้นจากพื้น นางรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกเขาอุ้มไปนั่งอยู่บนตักแล้ว
ท่วงท่าอย่างนี้ทำให้สองแก้มของนางร้อนซู่ด้วยความสะเทิ้นอาย นางดิ้นขัดขืนเป็นพัลวัน “เซ่าหมิงยวน วางข้าลงเร็วสิ”
เสียงที่เปล่งออกมาออดอ่อยเสียจนเฉียวเจาได้ยินแล้วยังหน้าแดงใจสั่น
น้ำเสียงข่มกลั้นของชายหนุ่มดังขึ้นเหนือศีรษะ “เป็นเด็กดี อย่าพูด”
เขากอดนางไว้นิ่งๆ นานครู่หนึ่งถึงอุ้มนางลงวางข้างกายอย่างเงียบๆ แล้วพิงผนังรถม้าพ่นลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
เฉียวเจาจับผมที่ลุ่ยลงมาให้เข้าที่ก่อนจะถลึงตาใส่เขา
เซ่าหมิงยวนเปิดยิ้มแจ่มกระจ่าง เอ่ยถามเสียงนุ่มขึ้นว่า “ยังกลัวอีกหรือไม่”
เขารู้ว่าสตรีตรงหน้าใจแข็งมาก ใจแข็งถึงขั้นที่ต้องเห็นเหล่าฆาตกรที่สังหารบิดามารดาของนางโดนลงทัณฑ์กับตาตนเองให้ได้
นางมองดูคนพวกนั้นศีรษะหลุดออกจากบ่าทีละคนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง โลหิตอุ่นจัดไหลกระฉูดออกมาจากลำคอที่ไร้ศีรษะพุ่งขึ้นสูงเป็นจั้ง
พวกชาวบ้านที่มุงดูอยู่บ้างโห่ร้องเสียงดัง บ้างอุทานเสียงหลง ยังมีคนที่อายุน้อยตกใจจนร้องไห้จ้า ทั่วทั้งบริเวณเสียงดังอึกทึกวุ่นวาย มีเพียงสตรีของเขาที่มองดูตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเงียบเชียบโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักครั้งเดียว
แต่เขายังคงรู้ว่าจริงๆ แล้วเจาเจาของเขากลัวอย่างยิ่งยวด
เขามองเห็นนางกำมือไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดหลังฝ่ามือปูดโปนและสั่นเทาไม่หยุด
เขาหักใจไม่ได้ที่จะห้ามไม่ให้นางดึงดันต่อไป แต่ก็สงสารนางที่ต้องแบกรับหน้าที่เอาไว้
เมื่อมองสบดวงตากระจ่างใสอ่อนโยนของอีกฝ่าย แพขนตาของเฉียวเจากระพือขึ้นลงเบาๆ นางเอ่ยเสียงค่อยว่า “ไม่กลัวแล้ว”
คงเป็นเพราะรู้ว่าหนทางกลางพายุหิมะในวันข้างหน้าจะมีคนเดินเคียงข้างเสมอก็เลยไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว