หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 571
บทที่ 571
หลีกวงซูแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน
นี่ยังเป็นท่านแม่บังเกิดเกล้าผู้อบอุ่นใจดีและไม่คร่ำครึผู้นั้นในความทรงจำของเขาอีกหรือ
เขามิใช่เด็กไม่รู้ประสีประสาแล้ว เงินขาวตั้งสองหมื่นตำลึง อยากจะริบก็ริบ ท่านแม่เอ่ยปากพูดเช่นนี้ได้เช่นไร
เงินทองที่เขาหามาอย่างลำบากเหนื่อยยาก จะถูกยึดเข้ากองกลางไปอย่างนี้หรือ
ถ้าเลี้ยงดูท่านแม่คนเดียวเขาก็ไม่ว่ากระไร แต่พี่ใหญ่เล่า พี่ใหญ่มีมือมีเท้า ดีชั่วก็เป็นขุนนางในราชสำนัก แล้วจะให้เขาเลี้ยงดูครอบครัวพี่ใหญ่ด้วยหรือไร
น่าโมโหที่สุดคือต่อให้เขาเลี้ยงดูครอบครัวของพี่ใหญ่ แต่ด้วยนิสัยไร้เหตุผลของพี่ใหญ่ เอะอะก็จะอ้างคำกล่าวว่าพี่ชายเปรียบดั่งบิดาต่อหน้าเขาอีก เช่นนั้นเขาไม่กลายเป็นพวกหน้าโง่ไปแล้วหรือ!
หลีกวงซูรู้ดีว่าตนขัดใจฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่ได้ เขาเหลือบหางตาไปทางหลิวซื่อเพื่อส่งสายตาบอกนาง
ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี น่าจะยังรู้ใจกันเล็กๆ น้อยๆ ได้ หลิวซื่อมิใช่คนที่ยอมทนอดกลั้นอะไร เมื่อก่อนนางมักบ่นกระปอดกระแปดเรื่องพี่สะใภ้ใหญ่คนใหม่เข้าหูเขาอยู่บ่อยๆ
นายหญิงรองหลิวซื่อย่อมจะเห็นสายตาที่หลีกวงเหวินส่งให้ นางแค่นหัวร่ออยู่ในใจ
เมื่อครู่นี้ยังปกป้องนางจิ้งจอกอยู่เลย ตอนนี้ส่งสายตาให้นางแล้ว จะส่งสายตาด้วยเหตุใด อยากให้นางออกปากห้ามมิให้ฮูหยินผู้เฒ่ายึดเงินเข้ากองกลางใช่หรือไม่
เหอะ นางยังไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ ยึดเงินเข้ากองกลางแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ทำให้อาหารการกินในจวนดีขึ้น นางยังพลอยได้ลาภปากไปด้วย เรื่องอะไรจะให้เจ้าคนหลายใจผู้นี้เก็บเอาไว้ปรนเปรออนุของเขา
“สะใภ้รอง เจ้ามีความเห็นหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเบนหน้าไปถามหลิวซื่อ
หลีกวงซูส่งเสียงไอเบาๆ เป็นเชิงเตือนอย่างห้ามไม่อยู่
หลิวซื่อคล้ายไม่ได้ยิน นางเหยียดมุมปากออกแล้วกล่าว “ข้าไม่มีความเห็นอะไรแน่นอน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านแล้วกันเจ้าค่ะ”
พอกล่าวถึงตรงนี้หลิวซื่อปรายตามองสามีแวบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเย็นๆ “เมื่อยังไม่แยกเรือน จะแบ่งสันเงินทองเช่นไรต้องแล้วแต่ท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลีกวงซูจ้องมองหลิวซื่ออย่างตกตะลึงราวกับไม่รู้จักกันกระนั้น
ไฉนถึงเป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนตอนเขากับหลิวซื่อยังรักกันดี เขารู้ว่าบางครั้งหลิวซื่อใจแคบมาก ต่อให้เป็นช่วงที่รักกันหวานชื่นที่สุดเขายังเคยว่ากล่าวนางด้วยเรื่องนี้
คิ้วเข้มหนาของหลีกวงซูขมวดมุ่นจนเกิดรอยย่นเป็นแนว
เหตุไฉนผ่านไปหลายปีไม่เพียงมารดาที่กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว ภรรยาของเขาก็เช่นกัน
หลิวซื่อหลุบตาลงในอกขมปร่า
บุรุษที่นางเฝ้าคอยอย่างใจจดใจจ่อมาห้าปีผู้นี้ ตอนที่เพิ่งกลับมาพบกันอีกครั้งมิได้ตั้งใจมองนางสักนิด เพราะนางจิ้งจอกนั่นสะดุดล้ม ทำให้เจ้าลูกสุนัขที่อุ้มไว้ในอ้อมแขนร้องไห้กระจองอแง เขาก็ปรี่เข้าไปปลอบอนุโฉมงามสาวสะพรั่งแล้ว
ตอนนั้นในหัวสมองนางเหลือความคิดเพียงประการเดียวว่านางจะข่วนหน้าเจ้าลูกเต่านั่นให้เละ จะได้ไม่ต้องเห็นสีหน้าทิ่มแทงใจนางบนใบหน้านั่นอีก
ครั้นตอนนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ เจ้าคนบัดซบกลับมองนางตาไม่กะพริบ…
“ในเมื่อสะใภ้รองไม่มีความเห็นใดเหมือนกัน ข้าก็เป็นคนตัดสินใจนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่งแล้วกล่าวเรียบๆ “เงินขาวสองหมื่นตำลึงนี้ แบ่งหมื่นหนึ่งเข้ากองกลางจุนเจือการกินอยู่ใช้สอยในเรือน อีกหมื่นหนึ่งที่เหลือเก็บเอาไว้สำหรับตอนหลานสี่กับหลานหกออกเรือน นอกจากเงินส่วนที่พึงได้จากกองกลางให้แต่ละคนสมทบอีกห้าพันตำลึงเป็นเงินก้นหีบ ทุกคนคงไม่มีข้อขัดข้องกระมัง”
ถึงแม้จะชอกช้ำใจเพียงใด พอได้ยินการแบ่งสันปันส่วนของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้ว หลิวซื่อยังคงอดยกมุมปากโค้งขึ้นไม่ได้ นางเอ่ยตอบเป็นคนแรก “ข้าไม่มีข้อขัดข้องเจ้าค่ะ”
ชั่วขณะนี้นางพลันซาบซึ้งใจต่อมารดาอย่างเปี่ยมล้น
ก่อนออกเรือนนางไม่เคยเห็นหน้าหลีกวงซู การแต่งงานนี้เป็นมารดากับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดคุยหารือกันแล้วตัดสินใจตอบตกลง
ยามนั้นท่านแม่บอกกับนางว่า ‘สตรีเราต้องอยู่โยงเฝ้าเรือนหลัง รอวันหน้าเจ้าจะเข้าใจเองว่ามีมารดาสามีที่พึ่งพาได้ดีกว่ามีสามีที่พึ่งพาได้มากนัก’
นางได้พบกับบุรุษแล้งน้ำใจคงได้แต่พูดว่าโชคไม่ดี หรือจะพูดว่าบุรุษในใต้หล้านี้มีแปดถึงเก้าในสิบที่เป็นจำพวกเดียวกับหลีกวงซู แค่ว่าสตรีทุกคนต่างใฝ่ฝันว่าตนเองคือผู้โชคดี ต้องได้พานพบกับบุรุษที่ต่างจากบุรุษอื่นอย่างแน่นอน
แต่ในความเป็นจริงนั้นคนส่วนใหญ่ล้วนเป็นทำนองเดียวกัน
ไม่ต้องพูดถึงอื่นไกล ดั่งเช่นหลีกวงเหวินพี่ชายของสามีนาง ถึงแม้เป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ก็ปล่อยให้เหอซื่อพี่สะใภ้ใหญ่คนใหม่ต้องเฝ้าห้องหอเดียวดายหลายปี บัดนี้ถึงเหอซื่อหมดทุกข์พบสุขแล้ว ทว่าช่วงก่อนหน้านั้นมิใช่ต้องกล้ำกลืนทนทุกข์ทรมานใจมาคืนแล้วคืนเล่าหรอกหรือ กระนั้นนี่คือคนมีโชคที่อดทนจนได้ดี ส่วนสตรีที่ไม่ได้ลืมตาอ้าปากนั้นมีอยู่อีกมากมายเท่าใดกัน
“เจ้าใหญ่กับสะใภ้ใหญ่เล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหันหน้าไปมองหลีกวงเหวินกับภรรยา
เขาส่ายหน้าเอ่ย “เรื่องพวกนี้ท่านแม่ตัดสินใจได้เลยขอรับ”
นายท่านใหญ่สกุลหลีเอ่ยถึงตรงนี้แล้วทำตาเป็นประกาย “ท่านแม่ เดือนนี้ข้าได้รับเบี้ยหวัดสองเท่า ถึงเวลาข้าจะมอบให้ท่านหมดเลยนะขอรับ”
หลีกวงซูซึ่งคุกเข่ากับพื้นโมโหแทบหงายหลังตึง
นึกว่าข้าไม่รู้รึ เบี้ยหวัดของพี่ใหญ่แค่แปดตั้น สองเท่าจะเป็นสักเท่าไรเชียว รวมกันแล้วเป็นเงินไม่กี่สิบตำลึงเท่านั้น ยังจะทำเอาหน้ากับท่านแม่อีกหรือนี่
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวเสียงขรึม “อื้อ ในจุดนี้พี่ชายเจ้าทำได้ดีมากจริงๆ ทุกเดือนล้วนนำเบี้ยหวัดเข้ากองกลางทันทีเสมอ”
หลีกวงซูฟังแล้วหน้าเขียวไปหมด นิ้วมือสั่นระริกด้วยความโกรธ
นี่เป็นเรื่องตลกชวนขันที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา เขาเดินทางรอนแรมกลับถึงเรือนยังไม่ได้ดื่มน้ำชาร้อนสักคำ เงินสองหมื่นตำลึงก็สูญไปเช่นนี้ ผลปรากฏว่าในสายตามารดายังเทียบมิได้กับเงินไม่กี่สิบตำลึงของพี่ชาย
เขามองออกแล้วว่าพี่ใหญ่ต่างหากคือบุตรในไส้ของท่านแม่ ส่วนเขาเป็นเด็กที่ถูกลมหอบมาเป็นแน่แท้!
“เจ้ารอง เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหรี่ตา นางไม่เข้าใจความคิดของบุตรชายผู้นี้ดุจเดียวกัน
สินเจ้าสาวของลูกสะใภ้สองคน นางไม่มีทางแตะต้องแม้สักอีแปะเดียว ทว่าเมื่อยังไม่แยกเรือนเงินที่บุตรชายหามาได้เดิมก็สมควรเก็บเข้ากองกลาง นี่มิใช่ปัญหาว่าเงินน้อยเงินมาก แต่เป็นการแสดงท่าที อีกทั้งเป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผลซึ่งคนทั่วหล้ายอมรับกัน ไฉนบุตรชายคนรองยังมีข้อข้องใจ
“ลูกไม่กล้าขอรับ” หลีกวงซูได้แต่กลืนเลือดอย่างเงียบๆ
เป็นมารดาของตนเองแล้วจะไปร้องทุกข์ที่ใดได้ เขาจากเมืองหลวงไปนานเพิ่งกลับมา ปีหน้าจะเป็นช่วงที่กำหนดอนาคตของเขา หรือว่าจะให้มีเสียงโจษจันแพร่ออกไปว่าเป็นลูกอกตัญญูจนโดนผู้ตรวจการเพ่งเล็ง
เขายอมทน!
“พูดเช่นนี้แสดงว่าไม่เห็นด้วย แค่ไม่กล้าคัดค้าน?” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่พึงใจกับคำตอบของบุตรชายคนรองเป็นอันมาก
หลีกวงซูโกรธจนหน้ามืดวูบๆ แต่ยังพูดพร้อมรอยยิ้มบนหน้า “ท่านแม่คิดมากไปแล้วขอรับ ข้าย่อมกตัญญูต่อท่านด้วยความยินยอมพร้อมใจเป็นธรรมดา”
ท่านช่างเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของข้าโดยแท้!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถึงคลายโทสะลงบ้าง นางเอ่ยถามเหอซื่อ “สะใภ้ใหญ่ เจ้าล่ะคิดอย่างไร”
พอกล่าวถึงตรงนี้สีหน้าของหญิงชราฉายแววลำบากใจอยู่บ้าง “ตามหลักแล้วพึงปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ถึงอย่างไรเจ้าใหญ่เอาเบี้ยหวัดทุกๆ เดือนเข้ากองกลางทันที ไม่มีเหตุผลอะไรที่สมควรเอาเงินของเจ้ารองที่เก็บเข้ากองกลางแบ่งให้บุตรสาวสองคนของเขา ทว่าเจ้ารองไปจากเมืองหลวงหลายปี น้องสะใภ้กับหลานสาวสองคนของเจ้าก็ผ่านแต่ละคืนวันมาอย่างไม่ง่ายดาย ขอให้ยายเฒ่าอย่างข้าลำเอียงสักหนเถอะนะ”
หลีกวงซูนิ่งคิด ที่แท้คำว่า ‘ลำเอียง’ ยังหมายความอย่างนี้ได้ด้วย นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
เหอซื่อเม้มปากอย่างขบขัน “ฮูหยินผู้เฒ่าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น เงินขี้ปะติ๋วแค่นี้มีอันใดน่าคิดเล็กคิดน้อยกันเจ้าคะ”
เงินขี้ปะติ๋ว? หลีกวงซูตัวโงนเงนจนแทบคุกเข่าไม่อยู่
อย่าห้ามข้า ข้าขอสู้ตายกับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่แล้ว!
เฉียวเจาที่อยู่ด้านข้างมองดูสีหน้าของหลีกวงซูที่ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียวแล้วลอบหัวร่อ
ประเดี๋ยวพอปลอดคน เกรงว่าท่านอารองผู้นี้คงต้องกระอักเลือดยกใหญ่ด้วยความเดือดดาล
ฮึ ยั่วโทสะเขาได้ก็ดีแล้ว เขาพาอนุกับบุตรชายของนางกลับมาทำให้ทุกคนหงุดหงิดหัวเสีย เรื่องอะไรยังยิ้มย่องลำพองใจได้อีก
คนทำบัญชีมาถึงในเวลารวดเร็ว จากนั้นดีดลูกคิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ในห้องด้านข้างนี่เอง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหรี่ตาฟังครู่หนึ่งแล้วเอ่ยสั่ง “หรงมามา ไปเชิญคนค้าทาสมาได้แล้ว”
“ท่านแม่ก็มีเงินแล้วมิใช่หรือขอรับ”
นางปรายตามองบุตรชายแวบหนึ่ง “นั่นเป็นเงินกองกลาง มีที่ต้องใช้สอยยุบยับ ไหนเลยจะชุบเลี้ยงบ่าวไพร่ที่ไร้ประโยชน์ได้ เหตุใดรึ หรือว่าเจ้ายังมีเงินส่วนตัวอีก”