หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 573
บทที่ 573
พอเฉียวเจาอ้าปากพูด ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับคนอื่นๆ พากันหันขวับไปมองนาง
เหอซื่อตวัดสายตามองหลิวซื่ออย่างฉับไวก่อนจับมือบุตรสาวพลางกล่าว “เจาเจาเอ๊ย เจ้ายังเล็ก ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ พวกเราฟังคำท่านย่าดีกว่านะ”
แม้ว่าเมื่อก่อนนางกับหลิวซื่อจะไม่ลงรอยกัน แต่ล้วนเป็นเรื่องเล็กหยุมหยิมทั้งสิ้น กระนั้นเรื่องมีลูกเป็นแผลในใจของหลิวซื่อ นางทำเรื่องที่เป็นการแทงใจดำผู้อื่นไม่ลงคอหรอกนะ
เฉียวเจาคลายยิ้ม “ท่านแม่ ถึงข้ายังเด็กอยู่ แต่ก็รู้ว่ามีลูกเองย่อมดีกว่าแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองหลิวซื่อแล้วถอนใจเฮือก “หลานเจาคิดไม่ผิด ตามเหตุผลพึงเป็นเช่นนี้ แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด รอไว้เจ้าเติบใหญ่แล้วก็จะรู้เอง”
หลิวซื่อเป็นคนตรงไปตรงมา เห็นมารดาสามีกับเหอซื่อช่วยปิดบังให้ตนกลับบังเกิดความคับแค้นใจ นางจึงบอกออกมาอย่างเปิดเผย “เพราะท่านอาสะใภ้รองมีลูกไม่ได้น่ะสิ ดังนั้นชาตินี้นอกจากน้องสาวเจ้าสองคนแล้วก็ไม่มีทางมีลูกได้อีก”
กล่าวจบนางพลันขอบตาร้อนผ่าวอย่างสุดระงับ
นางเกือบเอาชีวิตไม่รอดตอนคลอดฉานเอ๋อร์ ร่างกายกระทบกระเทือนจนยากจะมีบุตรได้อีก ยามนั้นหลีกวงซูกุมมือนางพูดรับรองยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเขาไม่ถือสา บัดนี้คิดไปแล้วช่างน่าขันดีแท้
บุรุษผู้นั้นย่อมไม่ถือสาอยู่แล้ว คล้อยหลังเขาก็มีลูกกับคนอื่น ถึงอย่างไรมีกับใครล้วนเป็นลูกของเขา!
“ใครบอกเจ้าคะ ข้าว่าท่านอาสะใภ้รองยังมีลูกได้อีก” เฉียวเจาสบตาหลิวซื่อตรงๆ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มละไม
หลิวซื่อใจกระตุกวาบทันควัน นางหันไปมองท้องของเหอซื่อตามสัญชาตญาณ
ครรภ์ของเหอซื่อเห็นได้ชัดเจนมากแล้ว ลักษณะทั้งนูนทั้งกลม ตามประสบการณ์ของผู้เฒ่าผู้แก่แล้วน่าจะเป็นบุตรสาว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดพวกนางล้วนรู้สึกว่าสมควรเป็นบุตรชาย
ใช่แล้ว เป็นเพราะคุณหนูสาม!
ตอนที่เหอซื่อยังไม่ตั้งครรภ์ คุณหนูสามบอกว่าจะมีข่าวมงคล ไม่นานหลังจากนั้นเหอซื่อก็ตั้งครรภ์จริงๆ
ต่อมาคุณหนูสามยังพูดอีกว่าในครรภ์ของเหอซื่อเป็นน้องชาย…
หลิวซื่อยิ่งคิดยิ่งใจเต้นตึกตักถี่รัวจนกระทั่งเริ่มหายใจไม่ค่อยออก นางคว้ามือของเฉียวเจาไว้หมับ “นี่เจ้าบอกว่าข้ายังมีลูกได้อีกหรือ”
แววตาที่นางมองเฉียวเจาละม้ายคนจมน้ำที่คว้าขอนไม้ไว้ได้ ประกายแห่งความวาดหวังระคนหวาดหวั่นฉายฉานขึ้นกลางความสิ้นหวัง
เฉียวเจาผงกศีรษะ น้ำเสียงมั่นใจมาก “ท่านอาสะใภ้รองยังสาว มีลูกได้อีกแน่นอน”
“ข้า…ข้า…” หลิวซื่อตะกุกตะกัก
เหอซื่อลูบท้องพลางฟังพวกนางพูดโต้ตอบกันด้วยสีหน้างุนงง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโบกมือบอกให้บ่าวไพร่ที่รับใช้อยู่ในเรือนออกไป นางไต่ถามตรงๆ “หลานเจา ที่นี่ไม่มีคนนอก เจ้าบอกท่านย่ามาเลยเถอะว่าถ้อยคำนี้ของเจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่”
เฉียวเจาไม่อมพะนำต่อ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้ารักษาอาการตั้งครรภ์ยากของท่านอาสะใภ้รองได้เจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับหลิวซื่อลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริดพร้อมกัน
มาตรว่าในใจพวกนางคาดเดาได้รางๆ แต่พอได้ยินเฉียวเจาพูดออกจากปาก ความรู้สึกที่ปั่นป่วนพลุ่งพล่านตรงกลางอกประหนึ่งคลื่นคลั่งถาโถมนั้นยังคงยากที่จะบรรยายออกมาเป็นวาจาได้
เหอซื่ออยากลุกขึ้นยืนเหมือนกัน แต่จนใจที่ท้องใหญ่เกินไปเลยลุกไม่ขึ้นในชั่วขณะ
“เจ้าอย่าสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นอีกเลย” ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจับจ้องเฉียวเจาอย่างไม่คลาดคลา เพียงชายหางตามองสะใภ้ใหญ่อย่างอ่อนใจ
“คุณหนูสาม เจ้าบอกว่ารักษาอาการตั้งครรภ์ยากของข้าได้หรือ” มือที่สั่นเทาของหลิวซื่อกุมมือเฉียวเจาไว้ ลำคอนางตีบตัน ริมฝีปากสั่นระริกจนเริ่มเปล่งเสียงพูดไม่ค่อยออก “เจ้า…เจ้าอย่าโกหกข้า…”
กล่าวถึงท้ายประโยคเสียงของนางก็สั่นเครือจนยากจะเอื้อนเอ่ยวาจาแล้ว
เฉียวเจาย่อมจะไม่ถือสาคำพูดพลั้งปากของหลิวซื่อ นางถามยิ้มๆ “ท่านอาสะใภ้รอง ข้าเคยโกหกใครเมื่อใดเจ้าคะ”
หลิวซื่อจ้องเฉียวเจาตาเขม็ง น้ำตาไหลพรั่งพรูไม่หยุด “ใช่ๆ คุณหนูสามไม่โกหกใคร…”
“เช่นนั้นข้าไปเขียนใบสั่งยาให้คนไปเจียดยาก่อน ท่านอาสะใภ้รองต้องดื่มยา ฝังเข็ม และแช่น้ำสมุนไพรทั้งสามอย่างพร้อมกันถึงจะหายได้เร็วๆ เพียงแต่มีจุดหนึ่งต้องระวัง…”
“คุณหนูสามบอกมาได้เลย” น้ำเสียงของหลิวซื่อร้อนรนยิ่ง
เฉียวเจาวางหน้าเคร่งขรึม “ในระหว่างการรักษาจะร่วมหอไม่ได้เจ้าค่ะ”
หลิวซื่อหน้าแดงก่ำทันใด นางจับมือเฉียวเจาไว้อย่างประดักประเดิดไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี
ผู้เยาว์เป็นฝ่ายเอ่ยเตือนนางเรื่องพรรค์นี้ จะอย่างไรก็น่ากระอักกระอ่วนใจเหลือเกิน
“ข้าไปเขียนใบสั่งยาก่อนนะเจ้าคะ” เฉียวเจาดึงมือออกเบาๆ แล้วสาวเท้าไปทางหน้าประตู
“คุณหนูสาม…” หลิวซื่อดึงสติคืนมา ส่งเสียงเรียกไล่หลังนาง
เฉียวเจาหมุนกายมาคลี่ยิ้มพริ้มพราย “ท่านอาสะใภ้รองมีเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
“คือว่า…” หลิวซื่ออ้ำอึ้งเล็กน้อยถึงรวบรวมความกล้าถามขึ้น “เจ้าว่าข้าจะมีบุตรชายหรือไม่”
เฉียวเจาฟังแล้วยิ้มน้อยๆ ตอบเสียงนุ่มเบา “ท่านอาสะใภ้รองจะได้สมดังใจหวังเจ้าค่ะ” ว่าแล้วนางก็เลิกม่านผ้าสำลีขึ้นเดินออกไป
ภายในโถงเงียบกริบไร้สุ้มเสียงไปชั่วขณะ
เหอซื่อโอบท้องตนเองตรึกตรองเป็นนานก่อนจะโพล่งขึ้นคำหนึ่ง “เจาเจาของข้าไม่พูดจาส่งเดชแน่นอน”
คิกๆ ข้ากำลังจะมีบุตรชายแล้ว เจาเจาก็กำลังจะมีน้องชายแล้ว
“หลานเจาไม่ใช่คนที่พูดจาส่งเดชจริงๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งปริปากพูดด้วยสีหน้าสับสนปนเป
ตามความรู้สึกแล้วนางเต็มใจเชื่อคำพูดของหลานสาวคนที่สาม ทว่าด้วยสติและเหตุผลแล้วยังไม่อาจยอมรับได้
หลานเจากับหมอเทวดาหลี่มีวาสนาต่อกันมาก ถึงการรักษาอาการตั้งครรภ์ยากของหลิวซื่อได้จะน่าตกตะลึง แต่นางยังคงเชื่อว่าเป็นความจริง แต่ตอนนี้หลานเจาบอกว่าทำให้หลิวซื่อมีบุตรชายได้ เรื่องนี้…
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้สึกว่าพิสดารพันลึกเกินไป
เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรยังไม่กล้ากล่าวถ้อยคำนี้กระมัง
“ข้าเชื่อคำพูดของคุณหนูสาม” หลิวซื่อเอ่ยก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกหรือเหตุผลก็ตามทีนางล้วนเต็มใจเชื่อคุณหนูสาม
ถึงอย่างไรเดินตามหลังคุณหนูสามยังไม่เคยผิดพลาดเลย!
หลิวซื่อคิดเช่นนี้แล้วรู้สึกคล้ายว่าจิตใจปลอดโปร่งผ่องใสกะทันหัน
ขอเพียงคุณหนูสามทำให้นางมีบุตรชายได้จริงๆ นอกจากนางกับบุตรสาวทั้งสองจะมีที่พึ่งในวันหน้าแล้วยังไม่ต้องคับใจที่ต้องเลี้ยงดูบุตรชายของนางจิ้งจอกอยู่ทุกวันทุกคืน
“ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าอยากให้คุณหนูสามรักษาให้ข้าก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกทีวันหน้าเถอะเจ้าค่ะ” หลิวซื่อเอ่ยอย่างอ้อมค้อม
นางกระจ่างแจ้งถึงความปรารถนาดีของมารดาสามี แต่หากไม่เข้าตาจนนางไม่อยากเลือกทางสายนั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยิ้มแย้ม “รักษาหายได้ย่อมต้องดีที่สุด”
หากเป็นอย่างนี้วันหน้านางยังหมดห่วงไปได้บ้าง แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับหลานเจาแล้ว
ยามเที่ยงตรงโถงรับแขกของเรือนชิงซงตั้งโต๊ะเตรียมจะกินอาหาร
หลีกวงซูซึ่งจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยหลังกลับจากจวนตะวันออกแล้วกำลังหนักอึ้งในใจ
ท่าทีของญาติผู้พี่ทางจวนตะวันออกมีนัยชวนขบคิดอยู่บ้าง
ถึงแม้ญาติผู้พี่จะถูกลดตำแหน่ง แต่เป็นขุนนางในเมืองหลวงมานานปี ยังมีพรรคพวกเส้นสายสัมพันธ์อยู่ อาจจะกลับเข้ารับตำแหน่งเดิมได้เมื่อไรก็ไม่แน่
กระนั้นพบหน้ากันหนนี้ท่าทีที่ญาติผู้พี่แสดงต่อเขาดูเหมือนจะกระตือรือร้นมากเกินไป
เรื่องนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เขาไม่ล่วงรู้เป็นแน่
เหล่าเจ้านายทุกคนในจวนตะวันตกล้วนเข้านั่งประจำที่ในโถงรับแขกแล้ว วันนี้เดิมทีหลีฮุยไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวงเป็นวันสุดท้ายของปีนี้ แต่เขาก็เลิกเรียนก่อนเวลาแล้วรุดกลับมาที่จวน
หลีกวงซูกวาดสายตามองญาติพี่น้องที่ไม่ได้พบเจอกันมานานเหล่านี้อย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ใบหน้าคุณหนูใหญ่หลีเจี่ยว เขาคิดคำนึงในใจ
หลานสาวผู้นี้อายุไม่น้อยแล้ว อีกทั้งเป็นบุตรสาวคนโตสายเลือดภรรยาเอกของจวนสกุลหลีทั้งสองฝั่ง หรือว่านางจะมีคู่หมั้นคู่หมายเป็นคนตระกูลสูงศักดิ์ ถึงทำให้ญาติผู้พี่ของจวนตะวันออกผู้นั้นเปลี่ยนท่าทีไป
“ข้ามิได้กลับมาหลายปีในจวนเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก กลับเป็นพวกเด็กๆ ที่เจริญวัยกันหมดแล้ว พี่ใหญ่ขอรับ คุณหนูใหญ่น่าจะหมั้นหมายแล้วกระมัง”
“ยังเลย” หลีกวงเหวินตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย
“คุณหนูใหญ่อายุไม่น้อยแล้วยังไม่หมั้นหมายอีก ประเดี๋ยวเรื่องการแต่งงานของหลานสาวคนหลังๆ จะล่าช้าเอาได้ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ต้องเร่งมือหน่อยนะ”
หลีเจี่ยวได้ยินแล้วหน้าชาวาบๆ ด้วยความอับอาย นางก้มหน้าไม่พูดไม่จา
หลีกวงเหวินเหล่ตามองน้องชายแวบหนึ่ง “ใครบอก บุตรสาวคนเล็กของข้าหมั้นหมายแล้ว”