หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 574
บทที่ 574
มือที่ถือถ้วยน้ำชาไว้ของหลีกวงซูชะงักค้าง เขามองเฉียวเจาอย่างหลากใจ
หากเขาจำได้ไม่ผิดหลานสาวผู้นี้ยังไม่ปักปิ่นกระมัง จะหมั้นหมายเร็วเกินไปบ้างหรือไม่ อีกอย่างให้บุตรสาวคนเล็กหมั้นหมายก่อนบุตรสาวคนโตที่ถึงวัยออกเรือนแล้ว เขารู้สึกไม่วายว่ามีเงื่อนงำบางอย่าง
หรือว่าหลานสาวผู้นี้ก่อเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรไว้ถึงต้องรีบร้อนหมั้นหมาย
หลีกวงซูวางถ้วยน้ำชาลงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่รู้ว่าคุณหนูสามหมั้นหมายกับคนตระกูลใดหรือ การมีเหย้ามีเรือนเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตพวกหลานๆ จะสะเพร่าไม่ได้”
นี่คืออยากพูดเยาะเย้ยเป็นนัยๆ ว่าหลีกวงเหวินกับภรรยาไม่เอาใจใส่เรื่องการแต่งงานออกเรือนของบุตรชายบุตรสาว
หลีกวงเหวินมองน้องชายอย่างแปลกใจ เขารำพึงในใจว่า บุตรสาวข้าหมั้นหมายกับใคร เจ้ามาวุ่นวายอะไรด้วย เรื่องอนุของตนเองยังสะสางไม่เรียบร้อยเลยนะ!
“คู่หมั้นของหลานเจาเป็นคนในจวนจิ้งอันโหว” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอาจจะโกรธเคืองที่หลีกวงซูพาอนุกลับมา แต่อย่างไรก็เป็นบุตรชายในไส้ แม้จะโมโหก็จริงแต่นางยังคงห่วงหาอาทรและคิดถึงเขาอย่างแท้จริงเช่นกัน
“จวนจิ้งอันโหว?” หลีกวงซูตกใจอย่างมาก เขารู้สึกคล้ายๆ แจ่มแจ้งเรื่องท่าทีของญาติผู้พี่ได้ในบัดดลแล้ว
มิน่าญาติผู้พี่ซึ่งวางท่าถือตนในอดีตเห็นเขาในคราวนี้ถึงมีท่าทีเป็นมิตรเช่นนี้ ที่แท้จวนตะวันตกสานสัมพันธ์กับจวนจิ้งอันโหวได้แล้วนี่เอง
พี่ใหญ่เป็นเพียงอาลักษณ์เล็กๆ ผู้หนึ่ง ทั้งยังจัดอยู่ในจำพวกไร้ความก้าวหน้าอันใดอย่างเห็นได้ชัด แล้วไปผูกดองกับจวนโหวได้อย่างไรกันแน่
หลีกวงซูสับสนว้าวุ่นใจไปหมดเหมือนทุกสิ่งหลุดจากการควบคุม เขาไม่ชมชอบความรู้สึกเฉกนี้อย่างมากจึงดื่มชาติดๆ กันหลายคำก่อนเอ่ยขึ้น “กวนจวินโหวก็เป็นสายเลือดของจวนจิ้งอันโหวกระมัง คุณหนูสามหมั้นหมายกับน้องชายของกวนจวินโหวใช่หรือไม่”
เขาห่างหายจากเมืองหลวงนานเกินไป จดจำความสัมพันธ์ระหว่างจวนต่างๆ ได้ไม่แม่นยำแล้ว เห็นทีต้องหาเวลาเร่งรื้อฟื้นโดยด่วน
“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจะเหมาะสมกับบุตรสาวข้าได้อย่างไร คู่หมั้นของเจาเจาคือกวนจวินโหว” หลีกวงเหวินพูดอย่างหงุดหงิด
คนเป็นท่านอาสนใจเรื่องแต่งงานของหลานสาวถึงเพียงนี้? แปลกคนจริงๆ
“กวนจวินโหว?” น้ำเสียงของหลีกวงซูแปร่งไปอย่างชัดเจน เขาโคลงศีรษะพลางพูดขันๆ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าล้อข้าเล่น”
หลีกวงเหวินทำหน้าตึงกล่าวว่า “น้องรองควรจะรู้ว่าข้าเคร่งขรึมจริงจังเสมอ ไม่เคยพูดจาล้อเล่น”
หลีกวงซูข่มอารมณ์ชั่ววูบอยากกลอกตาขึ้น เขามองไปทางมารดา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งผงกศีรษะ “พี่ใหญ่ไม่ได้หลอกเจ้า หลานเจาหมั้นหมายกับกวนจวินโหว”
หลีกวงซูยกมือกุมหน้าผาก
ข้ารู้แล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องเท็จ ตอนนี้ข้าน่าจะยังอยู่บนรถม้ากำลังฝันอยู่
มิน่าภรรยาที่ไม่ได้พบกันหลายปีถึงข่วนหน้าข้าทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากัน
มิน่ามารดาบังเกิดเกล้าแท้ๆ ถึงยึดเงินสองหมื่นตำลึงที่ข้าอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาด้วยความยากลำบากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
มิน่าญาติผู้พี่ถึงมีทีท่าสุภาพอ่อนน้อมกับข้า
มิน่า…
หลีกวงซูลอบหยิกต้นขาตนเองทีหนึ่ง ความเจ็บปวดที่แล่นปราดมาทำให้เขาหน้าเหยเกไปถึงได้สติคืนมาเต็มที่
ไม่ได้ฝันไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง!
“ยินดีด้วยขอรับพี่ใหญ่” หลีกวงซูอ้าปากเค้นเสียงกล่าวคำนี้ออกมา
เขาด่วนใจร้อนไปเอง ประเดี๋ยวกลับไปแล้วควรจะลอบสืบถามความเป็นไปต่างๆ ในจวนตลอดหลายปีมานี้ให้รู้ชัดก่อนค่อยว่ากัน ความรู้สึกที่ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียวในตอนนี้มันน่าอึดอัดจริงๆ
หลีกวงเหวินปรายหางตาใส่น้องชายทันที “มีอะไรน่ายินดี บุตรสาวข้ายังเด็กอยู่เลย” ก็โดนเจ้าหนุ่มเรือนอื่นล่อลวงไปแล้ว! แต่ว่า…
หลีกวงเหวินคิดๆ แล้วพูดยิ้มๆ “แต่ว่าบุตรเขยข้าหาเงินหาทองได้เก่งไม่เบา มีเบี้ยหวัดปีละถึงสองพันตั้นเท่ากับพวกเรารับราชการทั้งชาติเลย”
หลีกวงซูโกรธแทบหงายหลัง
พวกปากกับใจไม่ตรงกัน มิหนำซ้ำยังได้ทีทับถมเขาอีก พี่ใหญ่หัวทื่อเป็นตอไม้ผู้นี้นึกว่าใครๆ ล้วนเป็นอย่างตนหรือ นอกจากเบี้ยหวัดแปดตั้นแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีกจริงๆ
ครั้นเห็นพวกบ่าวรับใช้เริ่มยกอาหารมาตั้งโต๊ะ หลีกวงเหวินยิ้มจนตาหยีกล่าวเสริมขึ้น “บุตรเขยข้ายังมีฝีมือทำกระเพาะหมูผัดพริกหวานได้อร่อยเป็นที่หนึ่ง เพียงจุดนี้ข้าก็พึงพอใจที่สุด ไม่เช่นนั้นเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ข้ายังต้องใคร่ครวญให้ดีๆ สักหน่อย”
หลีกวงซูอึ้งงัน “…” ดาบอยู่ที่ใด ใครก็ได้ส่งดาบมาให้ข้าสักเล่ม
“เอ๊ะ ท่านพี่เคยกินกระเพาะหมูผัดพริกหวานที่บุตรเขยของเราทำตั้งแต่เมื่อไรกัน” สุ้มเสียงแฝงรอยแปลกใจของเหอซื่อดังขึ้น
รอยยิ้มตรงมุมปากหลีกวงเหวินนิ่งค้างไป แย่แล้ว! หลุดปากพูดโดยไม่ทันระวัง
“ทดสอบน่ะ มันเป็นการทดสอบเฉยๆ” หลีกวงเหวินพูดด้วยสีหน้าขึงขัง
หลีกวงซูไม่แสดงสีหน้าแต่ตรงกลางอกเดือดพล่านแทบคลั่ง จิตใจเขาสับสนวุ่นวายจนกินอาหารอย่างไม่รู้รสชาติ
เมื่อพวกสาวใช้ยกน้ำชารสอ่อนมาวางให้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจิบคำหนึ่งถึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า “เจ้ารอง เรื่องของเฮ่าเกอเอ๋อร์…”
หลีกวงซูหน้าเปลี่ยนสี “ท่านแม่ เฮ่าเกอเอ๋อร์ยังเล็กเกินไป อีกทั้งเพิ่งจากสถานที่ที่เคยคุ้นมาเมืองหลวงเป็นคราแรก จับเขาแยกกับมารดาแท้ๆ เขาจะทนไม่ไหวนะขอรับ”
“ยังเล็กอยู่ถึงจะปรับตัวได้เร็ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวอย่างเฉยเมย
หลีกวงซูอดมองไปทางหลิวซื่อไม่ได้ หรือว่าตอนเขาไปที่จวนตะวันออกหลิวซื่อพูดอะไรกับท่านแม่
เขารู้อยู่แล้วว่าหลิวซื่อพูดว่าไม่อยากเลี้ยงดูเฮ่าเกอเอ๋อร์เพื่อเอาใจเขา ตอนหลิวซื่อคลอดบุตรสาวคนเล็ก ร่างกายกระทบกระเทือนจนยากจะมีบุตรได้อีกในภายหลัง เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่อยากเอาตัวเฮ่าเกอเอ๋อร์มาเลี้ยงดูเล่า
หลิวซื่อปวดใจแปลบๆ กับสายตาของสามี นางเอ่ยเยาะๆ “ท่านพี่ไม่ต้องมองข้า ข้ามิได้สนใจจะเลี้ยงดูลูกที่คลานออกมาจากท้องผู้อื่นหรอกนะ”
หลีกวงซูลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง “ท่านแม่ ท่านได้ยินหลิวซื่อพูดอย่างนี้แล้วนะ…”
หญิงชราหลุบตาดื่มน้ำชาไม่แม้แต่เหลือบเปลือกตาขึ้น “อื้อ ภรรยาเจ้าไม่อยากเลี้ยง ข้ารู้แล้ว”
หลีกวงซูเผยรอยยิ้มโล่งอก ยกน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่งก็ได้ยินมารดากล่าวขึ้นอีกคำ “ข้าเลี้ยงเอง”
เขาพ่นน้ำชาในปากออกมาดังพรวดทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งขมวดคิ้ว “เจ้ารอง กิริยามารยาทของเจ้าหายไปที่ใด”
หลีกวงซูปิดปากไอโขลกๆ นานครู่หนึ่งถึงหายใจได้เป็นปกติ เขาพูดอย่างกระดากกระเดื่องท่ามกลางสายตาที่เพ่งมองอยู่ของผู้เยาว์ “ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ถนัดขอรับ”
“ข้าพูดว่าตอนนี้หลายชายหลานสาวล้วนเติบใหญ่หมดแล้ว วันๆ ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายชอบกล สบช่องยังแข็งแรงอยู่เอาเฮ่าเกอเอ๋อร์มาเลี้ยงดูสักสองปีกำลังดี เจ้ารอง เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”
สายตาเคร่งขรึมของมารดาจับจ้องมองมาอย่างคาดคั้น หลีกวงซูเพียงรู้สึกหาที่ระบายไฟโทสะที่สุมแน่นอกออกไปไม่ได้
“ว่าอย่างไร กระทั่งจะเลี้ยงหลานชายสักคนข้าก็ต้องขอร้องเจ้าแล้วหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะด้านข้างจนบังเกิดเสียงกริกดังก้องกังวานสะท้านสะเทือนถึงกลางใจทุกคน “หรือจะพูดว่าเจ้าออกจากเรือนไปหลายปี แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้าก็ไม่เห็นความสำคัญแล้ว”
“ลูกไม่กล้าขอรับ…”
“ไม่กล้าๆ ข้าว่าปากเจ้าพูดว่าไม่กล้า แต่ในใจกล้าอย่างมากต่างหากเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมีสีหน้าบอกบุญไม่รับมากขึ้น
เจ้าลูกไม่รักดีผู้นี้แข็งข้อแล้วจริงๆ กล้าคัดง้างกับมารดาบังเกิดเกล้าเพราะอนุคนหนึ่ง เห็นทีว่าไปอยู่ที่อื่นนานเกินไป ลืมรสชาติของการโดนไม้เท้าแพ่นกบาลเสียแล้ว
หลีกวงซูนั่งไม่ติดแล้วจริงๆ เขาลุกขึ้นยืนอย่างกระอักกระอ่วนใจ “ท่านแม่อย่าเพิ่งมีน้ำโห ข้าจะไปพูดกับปิงเหนียงสักคำขอรับ”
“ยังต้องหารือนางด้วยหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
หลีกวงซูกล่าวด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “มิใช่ขอรับ ข้าเพียงจะบอกกล่าวให้นางรู้ไว้”
ปิงเหนียงซึ่งเพิ่งเข้าไปอยู่ในเรือนฝั่งซ้ายของเรือนจินหรงกำลังตบตัวเฮ่าเกอเอ๋อร์ที่หลับสนิทอยู่เบาๆ นางเห็นเขาเข้ามาก็จรดฝีเท้าเดินย่องตามออกไปที่ห้องด้านนอก
เมื่ออยู่ต่อหน้าอนุโฉมงามปานบุปผา หลีกวงซูปริปากบอกอย่างลำบากใจ ด้านปิงเหนียงฟังแล้วนิ่งเงียบไปนาน
“ปิงเหนียง เป็นข้าผิดต่อเจ้าเอง ข้าไม่รักษาสัจจะ”
นางส่ายหน้า “ท่านพี่อย่ากล่าวเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเต็มใจเลี้ยงดูเฮ่าเกอเอ๋อร์ ถือว่าเป็นบุญของเขา…”
ปิงเหนียงกล่าวถึงตอนนี้แล้วน้ำเสียงเริ่มสั่นเครือน้อยๆ “เพียงแต่ว่าจะให้เฮ่าเกอเอ๋อร์นอนเป็นเพื่อนข้าอีกสักคืนได้หรือไม่เจ้าคะ”
หลีกวงซูนำคำขอร้องของนางไปบอกต่อ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้าตอบตกลง
วันรุ่งขึ้น เฮ่าเกอเอ๋อร์ถูกอุ้มไปที่เรือนชิงซง ใครจะรู้ว่าเพิ่งผ่านไปสามวันก็ล้มป่วยแล้ว