หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 576
บทที่ 576
การล้มป่วยของเฮ่าเกอเอ๋อร์มีเลศนัยอยู่บ้าง
ดูจากชีพจรและอาการป่วยที่แสดงออกมาแล้วเป็นไข้จากลมเย็นอย่างปราศจากข้อสงสัย ทว่าถ้าเป็นไข้จริงๆ มีอย่างที่ใดมารดามาแล้วก็กระเตื้องขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ตั้งแต่อาการไข้กำเริบจนหายดี สองวันแรกควรจะทรุดหนักลงเรื่อยๆ
เฉียวเจาจ้องมองปิงเหนียงกับบุตรชายด้วยท่าทางครุ่นคิด
ถ้าหากมีปิงเหนียงอยู่เป็นเพื่อนแล้วอาการป่วยของเฮ่าเกอเอ๋อร์ดีขึ้นได้ เช่นนั้นผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร
เห็นได้ชัดมากว่าเด็กน้อยจะได้กลับไปอยู่ข้างกายมารดาดังเดิม
หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเขาล้มป่วยในเวลาที่พอเหมาะพอเจาะที่สุด
เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ แล้วสิ่งที่นางต้องทำก็คือจับพิรุธออกมาให้ได้
“หลานเจา?” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งส่งเสียงเรียก
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมา นางคลี่ยิ้มกล่าว “เฮ่าเกอเอ๋อร์ดีขึ้น ข้าก็สบายใจแล้ว ท่านย่า ข้านึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องต้องทำ ขอตัวกลับไปก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปเถอะ”
นางกลับถึงเรือนหยาเหอแล้วหยิบตำราแพทย์ที่หมอเทวดาหลี่ทิ้งไว้ให้หีบหนึ่งมาเปิดอ่านแต่ไม่พบเบาะแสอะไร นางหลับตาพิงฝาครอบเตาจุดกำยานแล้วทบทวนความทรงจำถึงตำราแพทย์ที่เคยอ่านในหลายปีมานี้อย่างละเอียด
เวลาล่วงผ่านไปพริบตาเดียวก็ย่ำเย็นแล้ว
ปิงลวี่สะกิดอาจู “คุณหนูหลับไปแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าไปดูเอง” อาจูหยิบเสื้อคลุมตัวนอกเดินเข้าไป
เฉียวเจาลืมตาพรึ่บก่อนยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง
“คุณหนู…” อาจูถอยหลังครึ่งก้าวด้วยความตกใจ
ฝ่ายปิงลวี่กลับหัวร่อคิกคัก นางเดินถือประคองคันฉ่องทรงดอกกระจับเข้ามาด้วยฝีเท้าฉับไว “คุณหนู ท่านดูสิ แก้มซ้ายท่านเป็นรอยหมดแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาเพ่งสายตามอง บนแก้มข้างซ้ายมีรอยกดทับเพราะนอนพิงฝาครอบเตาจุดกำยานจริงๆ
นางถูๆ แก้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยสั่งปิงลวี่ “ไปบอกเฉินกวงว่าข้าอยากพบท่านแม่ทัพของเขาสักหน่อย”
ปิงลวี่รีบไปบอกความ ผ่านไปไม่นานเฉียวเจาก็พบกับเซ่าหมิงยวนในเรือนด้านข้างจวนสกุลหลี
“คิดถึงข้าแล้วหรือ” เขายื่นมือไปยีผมนาง
เด็กสาวมุ่นผมเป็นมวยแกละคู่ โดนฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มขยุ้มเล่นจนเรือนผมเรียบลื่นยุ่งรุ่ยร่าย
เฉียวเจายกมือจับมวยผมไว้ นางถลึงตาใส่เขา “อย่าจับเล่น”
ใครจะรู้ว่าฝ่ามือของเขาจะเลื่อนไล้ผ่านเรือนผมสลวยมาหยุดอยู่ที่พวงแก้มเนียนนุ่มของเด็กสาวทันที “นี่เจ้าไปนอนขี้เซาอยู่ที่ใดมาหรือ”
นางปัดมือที่อยู่ไม่สุขของเซ่าหมิงยวนออก เม้มมุมปากทีหนึ่ง “ไม่ได้นอน ข้าพิงฝาครอบเตาจุดกำยานขบคิดบางเรื่องจนลืมเวลาไป”
เขามองนางยิ้มๆ ดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยประกายอ่อนโยนละม้ายนิลดำเนื้อใสแวววาวที่สุด “ที่แท้ไม่ได้คิดถึงข้า แต่คิดเรื่องอื่นอยู่หรือนี่”
เฉียวเจานั่งลงแล้วจับถุงเครื่องหอมที่เหน็บเอวไว้เล่นๆ “ถิงเฉวียน เรื่องที่ข้าไหว้วานท่านสืบดู น่าจะรู้ผลได้เมื่อไร”
“เจ้าพูดถึงอี๋เหนียงคนใหม่ในจวนผู้นั้นหรือ”
นางผงกศีรษะรับคำ
“ท่านอาของเจ้ามีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองหลิ่งหนาน ในฤดูนี้เดินทางไปที่นั่นทางน้ำไม่สะดวก จำเป็นต้องใช้ทางบก หากทุกอย่างราบรื่นดีล่ะก็ ข้าคะเนว่ากว่าจะกลับมาถึงก็ต้องเดือนหนึ่งแล้ว” เขาพูดจบแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดรึ หรือว่าในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อันใด ถิงเฉวียน ข้าได้ยินว่าจวนไท่หนิงโหวมีหอตำราอยู่ ในนั้นเก็บสะสมหนังสือไว้จำนวนมากพอดู เรื่องนี้เป็นความจริงกระมัง”
หอตำราของจวนไท่หนิงโหวเรียกว่าหอชังไห่ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหมู่ปัญญาชนของเมืองหลวงอยู่มาก แต่เพราะจวนโหวมีฐานะสูงศักดิ์ คนที่มีโอกาสหยิบยืมหนังสือจึงแทบนับนิ้วได้
เซ่าหมิงยวนได้ยินนางเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วมองนางนิ่งๆ อย่างแปลกใจเล็กน้อย
“ถิงเฉวียน ท่านช่วยยืมหนังสือจากพี่จูให้ข้าทีนะ”
“จะยืมหนังสืออะไรหรือ” เขากุมมือเฉียวเจาพลางถามด้วยความอิ่มอกอิ่มใจนัก
ด้วยไมตรีระหว่างเจาเจากับจื่อเจ๋อ นางขอยืมหนังสือจากสหายของเขาโดยตรงได้อย่างไร้ปัญหา แต่นางกลับอยากยืมหนังสือผ่านทางเขา
เห็นหรือไม่ เจาเจาต้องคิดถึงข้าแน่
เมื่อคิดไปเช่นนี้คนบางคนอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้
ฝ่ายเฉียวเจาหาได้รู้ไม่ว่าอีกฝ่ายคิดเตลิดไปไกลแล้ว นางชายตามองเขาพลางกล่าว “ข้าต้องการหนังสือที่เกี่ยวกับหลิ่งหนานทั้งหมด”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘หลิ่งหนาน’ เซ่าหมิงยวนใจกระตุกวูบหนึ่ง เขาหุบยิ้มลงเล็กน้อย
เฉียวเจาลุกขึ้นยืน “ใกล้ฟ้ามืดแล้ว ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน ข้าจะกลับจวนก่อนนะ หากท่านยืมหนังสือได้แล้วหาวิธีให้เฉินกวงส่งมาให้ข้า”
“จะไปประเดี๋ยวนี้เลยหรือ” ชายหนุ่มมองเฉียวเจาแล้วรู้สึกว่าดูอย่างไรก็ไม่จุใจ
เจาเจาเป็นคู่หมั้นของเขาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมแล้ว เขาต้องพยายามฝึกทำอาหารอร่อยๆ อีกสักหลายอย่างเป็นการเอาอกเอาใจท่านพ่อตา ไม่แน่ว่าเกิดท่านพ่อตานึกครึ้มใจขึ้นมาอาจจะให้เจาเจาแต่งงานกับเขาเร็วขึ้นก็เป็นได้
“ไม่ไปแล้วจะให้ทำอะไร” เฉียวเจามองค้อนคนบางคนแต่หน้าร้อนซู่อย่างไร้สาเหตุ
เซ่าหมิงยวนจับมือนางไว้ กล่าวเสียงนุ่มว่า “อยู่ต่อนะ ข้าจะทำอาหารให้เจ้ากิน”
นางจะดึงมือออกตามสัญชาตญาณ พอดึงไม่ออกก็ปล่อยตามใจเขา จากนั้นหลุบตาแล้วกล่าว “วันหน้าเถอะ”
ชายหนุ่มปล่อยมือนางแล้วยื่นหน้าไปกระซิบข้างหู “เช่นนั้นรอสักครู่”
นางเห็นเขาย่างเท้าก้าวยาวๆ เข้าไปข้างในก็หัวเราะออกมา
เซ่าหมิงยวนย้อนกลับมาอย่างว่องไวพร้อมกับถือกล่องทรงเรียวยาวงามวิจิตรใบหนึ่งติดมือมาด้วย
“นี่คืออะไร”
“เปิดออกดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ”
เฉียวเจาเปิดกล่องออก ในนั้นมีปิ่นหยกขาวอันหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ มันต่างจากพวกปิ่นขาเดียวทั่วๆ ไปที่สลักเป็นลายดอกไม้บ้างลายหงส์บ้าง เพราะส่วนหัวของปิ่นนี้เป็นลายกระต่ายน้อยใสซื่อน่ารักคู่หนึ่ง
“ข้าแกะสลักเองกับมือเลยนะ ฝีมือไม่เลวกระมัง” เซ่าหมิงยวนไต่ถามยิ้มๆ
เฉียวเจาลูบกระต่ายน้อยสองตัวที่ขัดแต่งผิวจนเรียบลื่นแล้วเหลือบตาขึ้นมองเขา
ชายหนุ่มก้มหน้าลง เขายกมือนางขึ้น “กระต่ายน้อยสองตัวคือพวกเราสองคน”
ขอบตาของเฉียวเจาร้อนผ่าวกะทันหัน หากนางยังเป็นเฉียวเจาในร่างเดิม เช่นนั้นนางกับเซ่าหมิงยวนก็ล้วนเกิดปีเถาะ เขากับนางสองคนเป็นกระต่ายน้อยสองตัวจริงๆ อายุเท่ากันและผูกพันกันแนบแน่นไร้ช่องว่างใดๆ
“ประทับใจจนร้องไห้แล้วหรือ” เซ่าหมิงยวนถามนางด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแผ่วๆ
เฉียวเจามองค้อนเขาวงหนึ่ง “อย่าเข้าข้างตนเอง ตอนนี้ข้าไม่ได้เกิดปีเถาะแล้ว”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “เจ้าดูชั้นล่างของกล่องสิ”
ในตอนนี้นางถึงสังเกตเห็นว่าใต้ผ้ากำมะหยี่บุรองพื้นกล่องยังมีอีกชั้นหนึ่งซ่อนอยู่ พอเปิดผ้าออกยังคงเป็นปิ่นอันหนึ่ง ทว่าอันนี้เป็นหยกเขียว หัวปิ่นเป็นหมูน้อยตัวหนึ่ง
พอเห็นเด็กสาวหยิบปิ่นหยกเขียวขึ้นแล้วนิ่งงันไป เซ่าหมิงยวนพูดเอาหน้า “ข้าจำได้นะว่าตอนนี้เจ้าเกิดปีกุน”
ฮึๆ เขาคิดได้รอบคอบเช่นเคย เตรียมเผื่อไว้ทั้งสองทาง
“ดังนั้นท่านตั้งใจจะให้ข้าประดับหมูตัวหนึ่งไว้บนศีรษะฉลองวันตรุษใช่หรือไม่”
หญิงสาวคนอื่นล้วนปักปิ่นหัวหงส์ แต่นางปักปิ่นหัวหมู ไม่ค่อยอยากจะนึกภาพนี้เลยจริงๆ
เจ้าจอมทึ่มผู้นี้!
เซ่าหมิงยวนเกาท้ายทอย “ก็ข้าเห็นพวกดอกไม้ใบหญ้ากับสิงสาราสัตว์แล้วไม่ต่างกันเท่าไรนี่นา”
เฉียวเจาเม้มมุมปาก เอาเถอะ นางไม่สมควรถกเรื่องเครื่องประดับศีรษะกับบุรุษ
“ขอบคุณมาก ท่านมีฝีมือดีมาก” ไม่ว่าจะค่อนแคะอยู่ในใจเช่นไร เฉียวเจาก็รู้สึกอบอุ่นตรงกลางอก นางบรรจงห่อปิ่นสองอันอย่างดีแล้วเก็บขึ้น
“เจาเจา…” เซ่าหมิงยวนกระตุกแขนเสื้อนาง พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหลายส่วน “เจ้าเตรียมของขวัญให้ข้าหรือไม่”
เฉียวเจาอึ้งงันไป นางชายตามองเขาแวบหนึ่ง “ยังไม่ขึ้นปีใหม่เลย”
“แต่ข้าอยากได้ของขวัญที่เจ้าเตรียมให้”
“ท่านอยากได้อะไรเล่า”
“ถุงผ้าปักที่ข้าพกติดตัวขาดแล้ว เจ้าเย็บให้ข้าสักใบนะ ไม่ต้องปักลายอะไรบนนั้น เอาแบบเรียบๆ ก็พอ”
อืม แบบเรียบๆ จะได้ไม่ทำให้เจาเจาเหนื่อยเกินไป
เฉียวเจาเงียบงันไปทันที “…”
เย็บถุงผ้าปักเองกับมือ? ข้ายอมปักปิ่นหัวหมูฉลองวันตรุษดีกว่า!