หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 577
บทที่ 577
เฉียวเจากลับถึงจวนแล้วรอจนกระทั่งเริ่มจุดโคมไฟให้ความสว่าง ปิงลวี่ถึงหอบหีบหวายใบเขื่องไว้ในอ้อมแขนเดินตัวแอ่นเข้ามา
พอเห็นสาวใช้น้อยดูท่าทางจะเปลืองแรงมาก เฉียวเจากล่าวขันๆ “ไฉนไม่เรียกคนช่วยเล่า”
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจวนไท่หนิงโหวจะเก็บสะสมหนังสือเกี่ยวกับหลิ่งหนานไว้มากถึงเพียงนี้
ปิงลวี่วางหีบหวายลงบนพื้นแล้วปาดเหงื่อบนหน้าผากออก นางยิ้มแฉ่งกล่าวขึ้นว่า “สิ่งที่คุณหนูต้องการล้วนเป็นของสำคัญอย่างยิ่ง จะให้คนอื่นยุ่มย่ามได้อย่างไรเจ้าคะ”
พูดถึงตรงนี้นางปรายตามองอาจูแล้วยืดอกขึ้นอย่างลำพองใจ
เห็นหรือไม่ พอถึงเวลาสำคัญข้ายังคงเป็นคนที่คุณหนูพึ่งพาอาศัยได้ ข้าต่างหากคือสาวใช้อาวุโสประจำตัวคุณหนูอย่างสมภาคภูมิ
อาจูยิ้มอย่างอ่อนโยน นางไม่ชิงเป็นคนโปรดกับพวกเรี่ยวแรงดี
อาจูหยิบผ้าขี้ริ้วสะอาดๆ ผืนหนึ่งบรรจงเช็ดหีบหวายจนทั่วก่อนเงยหน้าไต่ถาม “คุณหนู จะเปิดออกตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจาผงกศีรษะ “เอาสิ”
อาจูเปิดหีบหวายออกเผยให้เห็นหนังสือตำราที่วางไว้จนเต็ม
“หนังสือเยอะแยะเลย คุณหนู ท่านจะอ่านทั้งหมดนี่เลยหรือเจ้าคะ” ปิงลวี่มองผู้เป็นนายด้วยสายตานับถือเลื่อมใสอย่างเปี่ยมล้น
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ไม่ต้องอยู่เฝ้าผลัดดึกแล้ว”
“คุณหนู ให้ข้าอยู่เถอะเจ้าค่ะ ท่านอ่านหนังสือนานๆ ต้องกระหายน้ำแน่” อาจูกล่าว
เฉียวเจาคิดๆ แล้วพยักหน้า “ตกลง อาจูอยู่ในนี้ก็ได้”
สาวใช้น้อยเดินไปที่ข้างโต๊ะจุดเทียนขึ้นอีกครั้ง ภายในห้องสว่างไสวมากขึ้นทันใด
เฉียวเจาหยิบหนังสือเล่มที่อยู่บนสุดของหีบออกมาเริ่มเปิดอ่าน
เวลาไหลเลื่อนผ่านไปช้าๆ ละม้ายเม็ดทรายที่ร่วงหล่นลงสู่ก้นกระเปาะแก้วทีละน้อย เด็กสาวซึ่งนั่งเอนหลังอยู่บนเตียงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เชิงเทียนบนโต๊ะเปลี่ยนเทียนไขเล่มใหม่แล้ว อาจูยื่นน้ำชงน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งส่งให้เฉียวเจา “คุณหนู ท่านดื่มน้ำสักคำก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
นางรับน้ำไปดื่ม
อาจูกล่าวอย่างอดทาน “คุณหนู หนังสือก็ไม่ต้องรีบคืน แล้วท่านจะรีบร้อนอ่านตอนนี้ไปไยเล่า อดนอนจะเสียสุขภาพนะเจ้าคะ”
เฉียวเจาฟังแล้วคลายยิ้ม “หนังสือไม่ต้องรีบคืน แต่ข้าต้องรีบนี่นา”
ท่านย่าอยากอบรมเลี้ยงดูเฮ่าเกอเอ๋อร์เอง สำหรับชาวจวนตะวันตกทั้งหมดแล้วถือเป็นเรื่องดี ทว่าเพิ่งเอาตัวเฮ่าเกอเอ๋อร์มาเขาก็ไม่สบาย นี่เท่ากับเป็นการตีแสกหน้าท่านย่า ในใจท่านต้องไม่เป็นสุขแน่
อีกประการหนึ่งเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ เฮ่าเกอเอ๋อร์อายุยังน้อยก็ล้มป่วยต้องทนทรมานเช่นกัน เขาหายดีโดยไวได้ก็เป็นเรื่องที่นางปรารถนาจะได้เห็น
แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่งคืออาการป่วยที่แสดงออกมาของเด็กน้อยเป็นไข้จากลมเย็นชัดๆ แต่ยังมีบางอย่างชอบกลแฝงไว้ด้วย บันดาลให้นางบังเกิดความสนใจใคร่รู้ขึ้นมา
ดีชั่วนางก็เป็นผู้สืบทอดของหมอเทวดาหลี่ กลับไม่อาจวินิจฉัยอาการของเฮ่าเกอเอ๋อร์อย่างมั่นใจได้ เป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ
เจอแล้ว!
เฉียวเจาเพ่งสายตาอ่านไปถึงบรรทัดหนึ่งในหนังสือแล้วชะงักกึก นางลุกขึ้นนั่งตัวตรงโดยไม่รู้ตัว
เป็นเช่นนี้เองหรือนี่
เด็กสาวเลื่อนนิ้วมือเรียวสวยไล่ไปตามตัวอักษรเล็กๆ ถี่ยิบทีละตัวบนตำราโบราณเก่าคร่ำคร่าแล้วย่นหัวคิ้วแทบชนกัน
ท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ
เฉียวเจาวางหนังสือลงแล้วเอ่ยสั่งอาจูด้วยสุ้มเสียงแหบแห้งน้อยๆ “จัดเรียงหนังสือพวกนี้กลับเข้าที่ที ระวังอย่าทำให้เสียหาย ประเดี๋ยวให้ปิงลวี่เอาไปคืนเฉินกวง ข้าจะหลับสักงีบก่อน อย่าลืมบอกกล่าวนายหญิงกับทางฮูหยินผู้เฒ่าสักคำว่าข้าจะไปคารวะยามเช้าสายหน่อย”
ในเรือนชิงซงฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนอนหลับไม่สนิทตลอดราตรี
บุตรชายคนรองพาอนุโฉมงามล่มเมืองกลับมาก็ทำให้หญิงชราโมโหโทโสเหลือทนอยู่แต่เดิมแล้ว ครั้นเอาตัวหลานชายมาเลี้ยงไว้ข้างกายได้ไม่ทันไร ผลปรากฏว่าล้มป่วยอีก ผู้เฒ่าอายุปูนนี้มักนอนหลับได้ยาก หากนางหลับสนิทได้คงแปลก
“ฮูหยินผู้เฒ่า ปิงอี๋เหนียงมาคารวะท่านเจ้าค่ะ” ชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสกล่าวรายงาน
“ให้นางเข้ามา”
เมื่อคืนปิงเหนียงอยู่ที่เรือนชิงซงดูแลเฮ่าเกอเอ๋อร์ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองเวลาพลางนึกในใจว่าในเรื่องธรรมเนียมมารยาท คนผู้นี้กลับหาข้อติไม่ได้แม้แต่น้อยนิด ทำให้อยากจับผิดก็หาที่จับผิดไม่ได้
“เฮ่าเกอเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” นางมองดูปิงเหนียงที่ก้มหน้าหลุบตาต่ำพลางถามไถ่
“ข้าจับตัวเฮ่าเกอเอ๋อร์แล้วไม่ร้อนเท่าไรแล้วเจ้าค่ะ”
ชิงอวิ๋นกระซิบบอกที่ข้างหูฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “เมื่อคืนปิงอี๋เหนียงคอยเช็ดตัวให้คุณชายเป็นระยะจนไม่ได้นอนทั้งคืนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเบนสายตากลับไปที่ตัวปิงเหนียง กล่าวเรียบๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”
“ได้ดูแลเฮ่าเกอเอ๋อร์นับเป็นบุญของข้า จะลำบากที่ใดกันเล่าเจ้าคะ” ปิงเหนียงพูดเสียงนุ่ม
หญิงชราอดถอนใจเฮือกหนึ่งไม่ได้
ปิงเหนียงผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย หากมิใช่ว่ามีอคติอยู่ก่อนเกรงว่าคงยากมากที่นางจะบังเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อสตรีที่นุ่มนวลดุจสายน้ำผู้หนึ่งเฉกนี้
“เจ้าดูแลเฮ่าเกอเอ๋อร์มาตลอดคืนแล้วกลับไปพักเถอะ”
ปิงเหนียงมิได้กล่าวโต้แย้งสักคำ นางยอบกายคำนับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้วค้อมกายถอยออกไป
ใครจะรู้ว่าพอถึงตอนเที่ยงวันเฮ่าเกอเอ๋อร์ก็ตัวร้อนอีก
ยามนี้ที่ว่าการหยุดปฏิบัติงาน สำนักศึกษาหยุดเรียน เหล่าเจ้านายอยู่ในจวนพร้อมหน้า ต่างพากันทยอยมาเยี่ยมไข้เฮ่าเกอเอ๋อร์
สีหน้าของหลีกวงซูบูดบึ้งตึงเครียดมาก “ท่านแม่ ข้าเคยบอกไปแล้ว ท่านอยากเลี้ยงดูเฮ่าเกอเอ๋อร์ก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ดีชั่วรอให้เขาอายุมากขึ้นสักสองขวบ ตอนนี้เขายังเด็กเกินไป อยู่ห่างจากมารดาไม่ได้ขอรับ”
“เจ้ารอง นี่เจ้ากำลังตำหนิว่าข้าเป็นต้นเหตุให้เฮ่าเกอเอ๋อร์ล้มป่วยอยู่หรือ” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักใด
หลีกวงซูกระทืบเท้า “ท่านแม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้ เพียงแต่เฮ่าเกอเอ๋อร์ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น เขาเกิดที่หลิ่งหนาน มาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกจึงมีโอกาสที่จะไม่คุ้นชินกับดินน้ำอากาศได้ อีกทั้งต้องอยู่ห่างจากมารดาแท้ๆ ถึงได้ล้มป่วยอย่างช่วยไม่ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำหน้าตึงไม่พูดไม่จา
“ท่านแม่ เมื่อวานปิงเหนียงอยู่เป็นเพื่อนเฮ่าเกอเอ๋อร์มาหนึ่งคืน เขาก็ดีขึ้นมากแล้วมิใช่หรือขอรับ”
นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไหววูบหนึ่ง แต่นางยังไม่ปริปากดุจเก่า
เมื่อตกอยู่ในสายตาของหลีกวงซู เขาก็แจ่มแจ้งว่ามารดาเริ่มโอนเอนแล้วจึงรีบเอ่ยต่อ “หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้ปิงเหนียงอยู่ในเรือนชิงซงไปก่อน รอเฮ่าเกอเอ๋อร์หายป่วยแล้วค่อยให้นางกลับเรือนจินหรง ท่านเห็นว่าทำอย่างนี้ได้หรือไม่ขอรับ”
ด้านปิงเหนียงยืนก้มหน้าเจียมตนอยู่ในมุมหนึ่ง ได้ยินหลีกวงซูกล่าววาจาด้วยความน้ำเสียงโอนอ่อนผ่อนตามดังเก่าแล้วยังไม่เห็นว่านางมีท่าทีใดๆ สักนิด
เฉียวเจาซึ่งห้ามมิให้สาวใช้ส่งเสียงบอกแล้วยืนอยู่นอกหน้าต่างลอบคิดคำนึง สตรีที่อ่อนน้อมน่าเอ็นดูเยี่ยงนี้ ต่อให้ท่านย่าไม่ชมชอบในตอนแรก แต่เมื่อได้อยู่ร่วมกันเช้าค่ำสักพักหนึ่งก็คงค่อยๆ เปลี่ยนความคิดเช่นกันกระมัง
นางหันสายตาไปหยุดที่ตัวปิงเหนียง หญิงสาวอ่อนหวานโฉมงามลานตายืนหลบมุมเงียบๆ ประหนึ่งดอกบัวแย้มบาน
มุมปากของเฉียวเจามีรอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้น
สตรีผู้นี้ดีดลูกคิดรางแก้วได้เก่งจริงๆ นางสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น ถ้ามิใช่ได้ตัวเฮ่าเกอเอ๋อร์กลับมาอยู่ข้างกายนางอีกครั้งก็ทำให้ท่านย่าเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางได้ ไม่ว่าผลจะออกมาในเช่นใดก็เป็นผลดีทั้งสิ้น
“ท่านแม่…” เห็นสีหน้าของมารดาฉายแววสับสนลังเล หลีกวงซูจึงเปล่งเสียงเรียก
“เอาเถอะ เช่นนั้นก็…”
“ประเดี๋ยวเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเดินเข้าไปตัดบทฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
หญิงชราเห็นหลานสาวเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียดของนางผ่อนคลายลงสองส่วนโดยไม่รู้ตัว “สาวใช้บอกว่าเมื่อคืนเจ้านอนไม่เต็มอิ่ม ไฉนไม่นอนต่ออีกสักครู่เล่า”
เฉียวเจามองปิงเหนียงแวบหนึ่งแล้วยิ้มน้อยๆ “เป็นห่วงอาการป่วยของเฮ่าเกอเอ๋อร์จนนอนไม่หลับเจ้าค่ะ”
พออีกฝ่ายเอ่ยถึงหลานชาย ดวงหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็หม่นลงอีก
เดิมทีนางทุ่มเทใจคิดอ่านวางแผนเพื่อคนทั้งครอบครัว แต่พอเฮ่าเกอเอ๋อร์ล้มป่วยเช่นนี้ทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก น่าขายหน้ายิ่งนัก
“ท่านย่า ท่านจะให้เฮ่าเกอเอ๋อร์กลับไปที่เรือนจินหรงไม่ได้นะเจ้าคะ” เฉียวเจาบอกอย่างตรงไปตรงมา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนิ่งขึงไป คนอื่นๆ ในโถงก็ตกใจยกหนึ่ง
หลีกวงซูมองเฉียวเจาด้วยสีหน้าไม่พึงใจ “หลานเจา เจ้ายังเด็กอยู่ อย่ายุ่งเรื่องของพวกผู้ใหญ่”
ถ้าหลานสาวผู้นี้ไม่ใช่คู่หมั้นของกวนจวินโหว ไหนเลยยังต้องพูดดีๆ เช่นนี้อยู่อีกเล่า เขาคงช่วยสั่งสอนนางแทนพี่ชายไปแต่แรกแล้ว