หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 58
อันที่จริงเฉียวเจาหาได้ใส่ใจอุบายตื้นๆ พรรค์นี้ ผลักนางออกไปแล้วจะมีอันใด เป็นตัวตลกหรือ นางไม่แยแสสนใจเสียอย่าง คนอื่นคิดอย่างไรแล้วจะมีผลอะไร ก่อนหน้าก็เคยโดนครหาด้วยเรื่องถูกล่อลวงมาแล้ว เรื่องนี้สำหรับนางไม่นับว่ามีอะไรสักนิด
ทว่าใครเป็นมือมืดลอบกัดข้างหลัง เฉียวเจาต้องรู้ให้กระจ่าง แต่ไรมานางไม่ชมชอบไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น
เฉียวเจาตรึกตรองในใจ
ตอนนั้นคุณหนูหกหลีฉานเบียดอยู่ทางฝั่งซ้ายของนาง ด้านคุณหนูสี่หลีเยียนจับมือนางไว้แน่น
คุณหนูรองหลีเจียวถูกท่านเซียงจวินกักตัวไว้ไม่ได้ลงจากรถม้าเพราะทำขายหน้าที่วัดต้าฝู ส่วนคุณหนูห้าหลีซูซึ่งมีฐานะเป็นบุตรสาวของอนุย่อมไม่กล้าออกมาเดินอวดโฉมตามลำพังเป็นธรรมดา
เช่นนั้นคนที่อยู่ข้างหลังเหลือแค่หลีเจี่ยว ตู้เฟยเสวี่ยของจวนกู้ชางป๋อ จูเหยียนคุณหนูเจ็ดของจวนไท่หนิงโหว รวมถึงพวกคุณหนูที่แทบไม่เคยพบปะวิสาสะกัน
แรงผลักระลอกนั้นมาจากทางข้างหลังขวามือ…
ฝูงชนเบียดเสียดกันชุลมุนวุ่นวาย ในเมื่อเป็นการถูกผลักออกมา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นฝีมือของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับแม่นางน้อยหลีเจาแม้สักน้อยนิด
เวลานั้นเฉียวเจาเหม่อมองดูหีบศพที่ใส่ร่างไร้วิญญาณของตนไว้เคลื่อนเนิบนาบผ่านมา ขณะที่เผลอตัวอยู่นางมิได้สังเกตเห็นว่าพวกหลีเจี่ยวยืนอยู่ตรงจุดใด แต่ทิศทางของแรงผลักเป็นจากล่างขึ้นบน ก็บ่งบอกได้เรื่องหนึ่งว่าร่างกายของคนที่ผลักนางน่าจะไม่สูงนัก
ในหัวเฉียวเจาย่อมจะคิดไปถึงคนผู้หนึ่ง…ตู้เฟยเสวี่ย
จูเหยียนคุณหนูเจ็ดของจวนไท่หนิงโหวมีเรือนร่างสูงระหง หลีเจี่ยวก็ตัวสูงกว่าหลีเจาที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ มีแค่ตู้เฟยเสวี่ยที่ร่างเล็กกะทัดรัด
คำตอบนี้ทำให้เฉียวเจาอ่อนระอาใจอยู่บ้าง
แม่นางน้อยหลีเจาสร้างศัตรูไปทั่วเลยจริงๆ
ประเดี๋ยวก่อน…
ในกาลก่อนหลีเจาหลงรักตู้เฟยหยางพี่ชายแท้ๆ ของตู้เฟยเสวี่ย แต่ซื่อจื่อของกู้ชางป๋อผู้นั้นไม่เหลียวแลไยดีนางมาโดยตลอด ทุกคราที่ตู้เฟยเสวี่ยพบนางก็แค่กล่าววาจาเหน็บแนมแดกดันไม่กี่คำ
พินิจจากธรรมชาติของมนุษย์ ยามที่คนผู้หนึ่งรู้สึกว่าอีกคนหนึ่งปราศจากภัยคุกคามแม้แต่น้อย จะไม่ใช้วิธีตอบโต้อย่างรุนแรง แต่วันนี้หลีเจียวกลายเป็นตัวตลกในวัดต้าฝู ไม่เป็นผลเสียอันใดต่อหลีเจี่ยวที่สนิทสนมกับตู้เฟยเสวี่ย เพราะฉะนั้นข้อสันนิษฐานว่าเป็นการระบายความโกรธแทนญาติผู้พี่เป็นอันปัดทิ้งไปได้
แล้วเป็นอะไรที่ทำให้ตู้เฟยเสวี่ยเป็นมือมืดลอบกัดข้างหลังเช่นนี้
เฉียวเจาทบทวนความทรงจำคร่าวๆ ของแม่นางน้อยหลีเจาที่มีต่อตู้เฟยเสวี่ยก็ได้คำตอบในใจแล้ว
ที่แท้เป็นเพราะวันนี้นางเป็นที่ถูกตาต้องใจซือไท่ของอารามซูอิ่งท่านนั้น เลยกังวลใจว่ากิตติศัพท์เป็นสตรีมากความสามารถจะได้รับความสนใจจากบุรุษในดวงใจ…
เฉียวเจายกมุมปากโค้งขึ้น
พี่จูมีผู้ที่ชื่นชอบหลงใหลเขาเป็นเช่นนี้ จะรู้สึกเช่นไรก็สุดรู้
ขณะนี้จูเยี่ยนซึ่งเฉียวเจานึกสงสารอยู่กำลังเดินหมากพลางคุยสัพเพเหระกับจูเหยียนน้องสาวของเขาที่เพิ่งกลับถึงจวน
“เจ้ามาถึงตอนหีบศพของทหารพลีชีพเข้าเมืองพอดี คงไม่โดนเบียดกระมัง”
จูเหยียนยิ้มจางๆ “ขอบคุณพี่ห้ามากที่เป็นห่วง ข้าไม่โดนเบียดเจ้าค่ะ”
จูเยี่ยนเป็นคนช่างสังเกตมาแต่ไหนแต่ไร เขาพินิจดูสีหน้าของน้องสาวแล้วคลายยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ “น้องเจ็ด ไฉนข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าอารมณ์ดีไม่เลวเลย ให้พี่ห้าลองเดาดูสิ ใช่หรือไม่ว่าปีนี้คัมภีร์พระธรรมลายมือเจ้าได้รับคำชมจากซือไท่ของอารามซูอิ่งอีกแล้ว”
“เปล่าเจ้าค่ะ” จูเหยียนเอ่ยยิ้มๆ
หนนี้เป็นคราวจูเยี่ยนประหลาดใจบ้าง
“กระทั่งตัวอักษรของน้องเจ็ดยังไม่เข้าตาอู๋เหมยซือไท่หรือนี่ อย่างนั้นพี่ห้าชักสนใจใคร่รู้แล้วสิว่าวันนี้เป็นคุณหนูตระกูลใดได้รับเกียรติยศนี้ อีกทั้งทำให้น้องเจ็ดศิโรราบทั้งกายใจได้”
หากมิใช่ศิโรราบทั้งกายใจ น้องเจ็ดคงไม่เบิกบานใจอย่างนี้
จูเหยียนหยักยิ้มพริ้มพราย “พี่ห้าต้องคิดไม่ถึงเป็นแน่ ปีนี้มีตัวอักษรของคุณหนูที่เข้าตาอู๋เหมยซือไท่แค่คนเดียว มิหนำซ้ำคุณหนูผู้นั้นไม่เพียงได้รับคำชมเชย อู๋เหมยซือไท่ยังเรียกตัวไปพบด้วยเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือนี่” จูเยี่ยนกำเม็ดหมากไว้ไม่วางลงเสียทีอย่างลังเล เขาบังเกิดความสนใจก็ซักไซ้ต่อ “เป็นคุณหนูจวนใดกัน”
จูเหยียนปิดปากหัวเราะแล้วกล่าวสัพยอก “พี่ห้าซักถามถึงคุณหนูผู้หนึ่งอย่างนี้ ไม่กลัวข้าคิดไปไกลหรือเจ้าคะ”
จูเยี่ยนอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นยกมืองอนิ้วเขกหน้าผากเรียบเนียนของจูเหยียนเบาๆ “อย่าหยอกล้อพี่ห้าสิ”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่บอกพี่ห้าแล้ว พี่ห้าเก่งจริงก็เดาเอาเองสิเจ้าคะ”
จูเหยียนจะแสดงความร่าเริงสดใสเฉกเด็กสาวต่อหน้าพี่ชายเท่านั้น จูเยี่ยนหยุดคิดตามคำพูดน้องสาวแล้วฉุกใจขึ้นได้
หรือว่าจะเป็น…
“พี่ห้า คิดออกแล้วหรือ” ท่าทางผิดปกติของพี่ชายส่งผลให้จูเหยียนถามซักไซ้ขึ้น
จูเยี่ยนนิ่งมองน้องสาวก่อนเอ่ยถามนาง “คุณหนูท่านนั้นแซ่หลีใช่หรือไม่”
จูเหยียนเบิกตากว้างทันใด หลุดปากพูดออกมาว่า “พี่ห้ารู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
รู้ได้อย่างไรน่ะหรือ ข้าต้องรู้แน่นอนสิ
หากในบรรดาคุณหนูเมืองหลวงมีคนหนึ่งที่ทักษะวาดภาพเขียนอักษรเหนือกว่าน้องเจ็ด และถึงขั้นดึงดูดความสนใจของอู๋เหมยซือไท่จนเรียกตัวไปพบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่นนั้นคนผู้เดียวที่ทำได้ก็คือหลีซานเด็กสาวที่ถูกล่อลวงไปและเป็นผู้ลอกแบบภาพวาดของอาจารย์เฉียวได้อย่างมหัศจรรย์เลยทีเดียว
สามารถวาดภาพเป็ดเล่นน้ำของอาจารย์เฉียวได้เหมือนถึงขั้นที่ดูไม่ออกว่าของแท้หรือของเทียม สามารถหลับตาเดินหมากชนะฉือชั่นได้ ตอนนี้ยังอาศัยทักษะเชิงอักษรวิจิตรทำให้อู๋เหมยซือไท่เรียกตัวไปพบ จู่ๆ เขาก็เริ่มตั้งตารอฟังเสียงพิณของแม่นางน้อยเสียแล้วสิ
“พี่ห้า ท่านเดาได้อย่างไรกันแน่เจ้าคะ” จูเหยียนเพ่งสายตามองพี่ชายนิ่งๆ ก่อนจะวางหมากเม็ดหนึ่ง พูดอย่างมั่นใจ “พวกท่านเคยพบกันมาก่อน”
จูเยี่ยนส่งเสียงไอเป็นชุด
แย่แล้ว ลืมไปแล้วน้องสาวก็ฉลาดเป็นกรดเหมือนกัน!
“คือว่า…” น่าสงสารพี่จูวิญญูชนคนดีผู้ซื่อสัตย์ ไม่เคยพูดโกหกมาก่อน ยามนี้ต้องเผชิญกับการซักไซ้ของน้องสาวก็เจียนจะเหงื่อกาฬแตกพลั่กแล้ว
เรื่องระหว่างการเดินทางสู่แดนใต้ย่อมพูดไม่ได้ ขืนพูดออกมาชื่อเสียงของแม่นางหลีซานก็ย่อยยับหมดสิ้นแล้ว
อารามร้อนรน เขาปัดไปให้สหายรักทั้งหมด “ข้าได้ยินมาจากสือซี”
ส่วนว่าคุณชายฉือรู้ได้อย่างไรนั้นไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว ถึงอย่างไรด้วยนิสัยใจคอของน้องสาว ไม่มีทางไปซักถามกับเจ้าตัว
จูเยี่ยนลำพองใจในปฏิภาณไหวพริบของตนอย่างมาก
จูเหยียนมองพี่ชายแวบหนึ่ง ก่อนยื่นสองมือไปยกกระดานหมากขึ้นแล้วเดินหนีไป
ทิ้งจูเยี่ยนไว้ที่เดิม ครุ่นคิดอยู่นานสองนานถึงเพิ่งรู้สึกตัวภายหลังว่า นี่คือถูกจับโกหกได้ซึ่งๆ หน้าแล้ว
เฉียวเจาเพิ่งตามฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก้าวเข้าประตูจวนตะวันตก เหอซื่อก็ถลันเข้ามาโอบกอดนางไว้พลางกล่าวเสียงเครือ
“เจาเจา แม่ตกใจแทบแย่ นึกว่าเจ้าหายตัวไปอีกแล้ว กำลังระดมกำลังคนเตรียมออกไปตามหาเจ้าอยู่เลย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองดูสาวใช้กับหญิงคนงานที่ตามหลังเหอซื่อมาแล้วตรงขมับเต้นตุบๆ ไม่หยุด
นางนึกไว้แล้วเชียวว่าทิ้งลูกสะใภ้คนโตไว้ในจวนเป็นความคิดที่ชาญฉลาดยิ่ง
เฉียวเจาเบนสายตาไปมองปิงลวี่ที่ยามนี้ติดตามอยู่ข้างกายมารดา
ปิงลวี่ทำคอย่นห่อไหล่ จากนั้นยิ้มหน้าระรื่นทันใด คุณหนูกลับมาอย่างปลอดภัย ถึงนางต้องโดนดุด่าก็ยอม
รอเมื่อกลับถึงเรือนฝั่งซ้าย เฉียวเจาถึงกล่าวขึ้น “ไม่รู้จักกลับไปดูที่รถม้าหรือไร”
ปิงลวี่แลบลิ้น “ข้านึกว่าคุณหนูไม่มีทางกลับรถม้าเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
“หือ?”
“คุณหนูกับท่านกวนจวินโหวได้พูดคุยกันแล้ว นั่นน่ะเป็นถึงกวนจวินโหวเชียวนะเจ้าคะ”
“ฉะนั้น?”
“ฉะนั้นข้าก็เลยตามกวนจวินโหวไปเจ้าค่ะ…”
เฉียวเจาข่มใจไว้ถามต่อ “เจ้านึกว่าข้าตามกวนจวินโหวไปหรือ”
“ไม่ใช่…” ปิงลวี่ยกสองมือขึ้นกุมแก้มกะทันหัน “ข้าคิดไม่ถึงว่ากวนจวินโหวจะหล่อเหลาปานนั้น อ๊าย! แล้วท่าทางของเขาตอนพูดกับคุณหนูยังอ่อนโยนเหลือเกิน…”
ถ้าคุณหนูได้แต่งงานกับกวนจวินโหวก็คงดี คุณหนูของนางโฉมงามดุจบุปผา มีความสามารถสูงล้ำ เหมาะสมคู่ควรกับกวนจวินโหวเป็นที่สุด นางก็เลยอยากมองนานขึ้นอีกสักนิด จะได้ช่วยกลั่นกรองให้คุณหนู
แม่นางเฉียวผู้เยือกเย็นเป็นนิจศีลทำหน้าง้ำงออย่างหาได้ยาก
ดังนั้นนางคิดไปเองข้างเดียวสินะ สาวใช้คนสนิทของนางเดินตามเซ่าหมิงยวนไปเพราะเขาหล่อเหลาแต่ประการเดียว!
นางรู้อยู่แล้วเชียว คราใดได้พบหน้าเจ้าคนแซ่เซ่าเป็นต้องไม่สบอารมณ์ทุกคราไป