หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 582
บทที่ 582
วันตรุษมาถึงอย่างรวดเร็ว
แม้นไม่อยากเหยียบย่างเข้าจวนจิ้งอันโหวที่สร้างความทรงจำอันเจ็บปวดให้เขามากมาย ทว่าในวันนี้ เซ่าหมิงยวนยังคงกลับไปที่นั่นอยู่ดี
จิ้งอันโหวชราลงอีกหนึ่งปี ดูเหมือนผมขาวตรงจอนผมจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นสีหน้าแววตาของเขาในตอนนี้กลับแช่มชื่นเบิกบาน “ของขวัญที่จะมอบให้สกุลหลีตระเตรียมไว้หมดแล้วใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ายิ้มๆ “ท่านพ่อวางใจได้ จัดเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้วขอรับ”
ถึงอย่างไรถือตามคติให้มากไปดีกว่าให้น้อยไปไว้ต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน
“ได้เช่นนั้นก็ดี ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามผู้ดูแลจวนได้ มอบของขวัญวันตรุษให้ตระกูลพ่อตาเป็นปีแรกจะผิดธรรมเนียมไม่ได้” จิ้งอันโหวพูดกำชับอีกคำรบหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนยังไม่กล่าววาจา เซ่าซียวนก็วางตะเกียบในมือลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น “ไม่กินแล้ว!” เขาว่าแล้วก็ถลึงตาใส่พี่ชายก่อนจะหันหลังเดินออกไป
“เจ้าสาม หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เซ่าซียวนชะงักฝีเท้าหมุนกายมา
“ฉลองวันตรุษอยู่ เจ้าหัวเสียอะไร ผ่านปีนี้ไปเจ้าก็ย่างวัยสิบห้าแล้ว ยังจะทำตัวเป็นเด็กอมมืออีกหรือ”
เซ่าซียวนส่งเสียงฮึขึ้นจมูก ทำคอแข็งกล่าวว่า “ในเรือนเละเทะยุ่งเหยิง ฉลองวันตรุษไปจะมีความหมายใด ข้ากินอิ่มแล้วขอรับ”
เด็กหนุ่มที่เจียนเป็นบุรุษเต็มตัววิ่งฉิวออกไปเหมือนดั่งสายลมระลอกหนึ่ง ทิ้งให้บิดาเม้มปากด้วยความโมโหอยู่ที่เดิม
ด้านเซ่าจิ่งยวนซื่อจื่อของจิ้งอันโหวที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ
อาหารมื้อนี้คงไม่อาจร่วมกินกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัวได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อ ทางจวนข้ายังมีงานอีกไม่น้อย ข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”
“กินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปสิ”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ไม่ล่ะขอรับ ข้ากินอิ่มแล้ว”
จิ้งอันโหวเสียใจอยู่บ้าง แต่พอคิดถึงว่าบุตรชายคนเล็กเป็นคนก่อเหตุนี้ขึ้นก็ไม่ฝืนรั้งตัวเขาไว้อีก กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “ก็ได้ ประเดี๋ยวข้าให้ผู้ดูแลเอาเกี๊ยวไปให้เจ้านะ”
เขาพูดแล้วกวาดตามองบุตรชายคนโตแวบหนึ่ง
เซ่าจิ่งยวนหลุบตาลงทำเป็นมองไม่เห็น
เซ่าหมิงยวนแสดงคารวะต่อบิดาแล้วหมุนกายออกไป
ชั่วอึดใจเดียวโถงรับแขกซึ่งยังเป็นที่พบปะสังสรรค์ของพ่อลูกสี่คนเมื่อครู่นี้ก็เหลือเพียงจิ้งอันโหวกับเซ่าจิ่งยวนบุตรชายคนโตเพียงสองคน
“นานทีปีหนน้องรองของเจ้าจะกลับมาสักครั้ง เมื่อครู่ตอนเขากลับไป ไฉนเจ้าไม่ออกไปส่ง”
เซ่าจิ่งยวนหัวเราะอย่างเยาะหยัน “ท่านพ่อ เรื่องของน้องรองพวกเราต่างรู้ดีแก่ใจ แล้วท่านจะสร้างความลำบากใจให้ข้าไปไยขอรับ”
จิ้งอันโหวทำหน้าขรึมลง “ต่อให้เขามิได้เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกับเจ้า เขาก็เป็นน้องชายของเจ้าอยู่ดี”
“แต่ท่านแม่โกรธเขาจนหันหน้าเข้าทางธรรมไม่ข้องแวะกับเรื่องทางโลกแล้วนะขอรับ!” เซ่าจิ่งยวนขึ้นเสียง “ท่านพ่อ ท่านคิดดูว่าปีที่แล้วบรรยากาศในจวนเราครึกครื้นปานใด แล้วปีนี้เล่า ท่านแม่ไม่อยู่ด้วย งานฉลองวันตรุษปีนี้ไร้รสชาติสิ้นดี…”
เสียงเพียะดังขึ้น จิ้งอันโหวตบหน้าบุตรชายคนโตฉาดหนึ่ง
“ท่านพ่อ…” เซ่าจิ่งยวนทำหน้าเหลือเชื่อ
สีหน้าของจิ้งอันโหวกระด้างเย็นชาดุจน้ำแข็ง “อย่าเอ่ยถึงท่านแม่ของพวกเจ้าอีก เซ่าจิ่งยวน จงจำไว้ว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่ท่านโหวนะ!” ว่าแล้วเขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป ทิ้งให้บุตรชายแทบจะทุบโต๊ะจนพังอยู่ที่เดิม
สมควรตาย! เหตุใดท่านพ่อลำเอียงเข้าข้างเซ่าหมิงยวนจนหน้ามืดตามัว เพราะว่าเขาเกิดจากอนุลับๆ ที่ท่านพ่อรักหรือ
บุตรชายของอนุคนหนึ่งบีบให้ท่านแม่ต้องหันหน้าเข้าทางธรรมไม่พบหน้าใครอีก ท่านพ่อกลับยังปกป้องถึงเพียงนี้
เซ่าหมิงยวน คอยดูเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะลำพองใจไปได้ตลอด!
เซ่าหมิงยวนก้าวออกจากประตูโถงแล้วเดินตรงไปที่ประตูใหญ่โดยไม่หยุดฝีเท้า
แต่ไรมาที่นี่หาใช่เรือนของเขาไม่ เขาสมควรรู้ตั้งแต่แรกแล้ว
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองผืนฟ้าใหญ่เท่าฝ่ามือที่ดูขมุกขมัวในลานเรือนของจวนจิ้งอันโหวพลางหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง เขาเห็นคนที่ยืนขวางหน้าอยู่ก็หยุดเดิน
“พี่รอง ท่านกำลังจะตบแต่งภรรยาคนใหม่แล้ว คงดีใจมากกระมัง” เด็กหนุ่มปากแดงฟันขาวในวัยแตกเนื้อหนุ่มยกสองมือกอดอกมองพี่ชายที่สูงเลยศีรษะตนไปเป็นคืบ เขาอาศัยไฟโทสะฝืนวางท่าถามไล่เลียง
“ข้าต้องดีใจมากแน่นอน” เซ่าหมิงยวนพินิจดูสีหน้าของน้องชายคนเล็กแล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
ไม่ว่าน้องชายผู้นี้เคยมีความรู้สึกที่ไม่พึงมีอันใดกับเจาเจามาก่อน บัดนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว
หลังจากเจาเจาแต่งเข้าจวนกวนจวินโหว หากไม่จำเป็น เขาจะไม่พานางเหยียบย่างเข้าสถานที่ที่ไม่น่าอภิรมย์แห่งนี้แม้สักครึ่งก้าว
หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าใจหนึ่งเขาอาจโกรธเคืองที่น้องสามมีจิตปฏิพัทธ์ต่อพี่สะใภ้ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกขอบคุณเด็กผู้นี้ด้วย
เจาเจาเคยบอกว่าทักษะการยิงธนูของนางได้เซ่าซียวนเป็นคนสอนให้
เขานึกภาพวันเวลาที่เย็นเยือกอ้างว้างอันยืดยาวในจวนโหวได้ บางทีน้องชายผู้นี้อาจเป็นเพียงคนเดียวที่เคยให้ความอบอุ่นแก่เจาเจา
ได้ยินคำตอบของพี่ชายแล้วเซ่าซียวนฉุนเฉียวทันใด “พี่รอง ท่านลืมพี่สะใภ้รองไปแล้วหรือ ท่าน…ท่านตบแต่งภรรยาใหม่เร็วถึงเพียงนี้ ลองถามใจตนดูว่ารู้สึกผิดต่อพี่สะใภ้รองบ้างหรือไม่”
เด็กหนุ่มกล่าวจนจบแล้วแผ่นอกก็กระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธเกรี้ยว
เขาอุตส่าห์ยกโทษให้พี่รองที่ลงมือสังหารพี่สะใภ้รองในสถานการณ์ที่หมดทางเลือกอย่างนั้นแล้ว ทั้งยังโน้มน้าวใจตนเองว่าวันหน้าให้เห็นอีกฝ่ายเป็นพี่ชายที่ดี แต่พี่รองกลับตบแต่งภรรยาใหม่รวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
พี่รองเอาพี่สะใภ้รองที่ตายไปแล้ววางไว้ที่ใดกัน
เซ่าหมิงยวนยกมือวางบนศีรษะน้องชาย กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “พี่รองผิดต่อพี่สะใภ้รองของเจ้า ฉะนั้นวันหน้าจะดีต่อภรรยาของตนเองให้มากๆ จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลังอีก”
“ผายลม!” เซ่าซียวนเต้นผางๆ หลังคำสบถหยาบคายหลุดออกจากปาก เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว “ผายลมๆ ต่อให้ท่านดีต่อภรรยาในวันหน้าไปร้อยแปดพันประการ นางก็มิใช่พี่สะใภ้รอง เช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อพี่สะใภ้รอง!”
พอเห็นเด็กหนุ่มโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ในใจเซ่าหมิงยวนทั้งหม่นเศร้าทั้งขบขัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “แล้วเจ้าคิดจะเอาอย่างไร”
เขาจะใจกว้างปานใดก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ขืนเจ้าเด็กหนุ่มนี่เผยความในใจออกมาให้เห็นทนโท่อย่างนี้อีก เขาจะชกคนแล้วนะ
“ข้า…” เซ่าซียวนตอบคำถามนี้ไม่ออก
เขาคิดจะเอาอย่างไรหรือ
เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งทำให้พี่สะใภ้รองที่ตายไปฟื้นคืนชีพไม่ได้ ทั้งไม่อาจห้ามไม่ให้พี่รองตบแต่งภรรยาใหม่ เขายังจะทำอย่างไรได้
“เอาเป็นว่าใจข้ายอมรับพี่สะใภ้เพียงคนเดียว ข้าไม่มีวันเรียกภรรยาใหม่ของท่านว่าพี่สะใภ้รองแน่” เด็กหนุ่มโดนพี่ชายถามคำเดียวก็บังเกิดความคับอกคับใจ เขากระทืบเท้าแล้ววิ่งหนีไป
เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงหัวเราะก่อนจะสาวเท้าปราดๆ เดินออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้นหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า แต่ไม่อาจขัดขวางมิให้ผู้คนออกไปเยี่ยมคารวะญาติพี่น้องเพื่ออวยพรวันตรุษกันอย่างคึกคัก
ในวันที่สองเดือนหนึ่งนี้ตามธรรมเนียมพวกบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วสมควรพาสามีกลับไปอวยพรวันตรุษที่สกุลเดิม ส่วนเรือนที่มีบุตรสาวหมั้นหมายแล้วจะเตรียมอาหารและสุราไว้รอต้อนรับว่าที่บุตรเขย
เสียงฝีเท้าม้ากุบกับๆ ดังขึ้นบนถนนที่ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ มีคนไม่น้อยหยุดยืนมองโดยไม่รู้ตัว เห็นบุรุษวัยหนุ่มรูปงามคมคายไม่เป็นสองรองใครขี่อาชาสูงใหญ่นำหน้า พร้อมด้วยบรรดาชายหนุ่มท่าทางทะมัดทะแมงติดตามอยู่ข้างหลังเป็นขบวนยาวเหยียด พวกเขาบ้างหิ้วของในมือบ้างหาบของด้วยไม้คานหาบ ถึงขั้นมีคนควบขับรถม้าช่วยกันขนของขวัญมาเต็มเพียบจนคนบนถนนมองกันตาค้าง
“สวรรค์! นั่นเป็นบุตรเขยเรือนใดกัน หน้าตาชวนมองไม่ว่า ของขวัญวันตรุษที่นำมาแทบจะเทียบเท่ากับคนอื่นมอบให้กันสิบปีแล้ว…”
“เจ้าไม่รู้เลยหรือนี่ นั่นน่ะคือกวนจวินโหว เขานำของขวัญวันตรุษมามอบให้สกุลหลีน่ะสิ จุๆ คุณหนูสามสกุลหลีช่างวาสนาดีจริงๆ”
เจียงซือหร่านยืนอยู่หัวมุมถนนกระชับเสื้อคลุมแน่นๆ พลางเบะปาก
มีดีอะไรนักหนา ก็แค่ได้ของขวัญวันตรุษมากกว่าสักหน่อยเท่านั้นเอง
นางยื่นมือไปคล้องแขนเจียงหย่วนเฉาที่นิ่งงันอยู่ แล้วกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจ “พี่สือซาน ท่านกลับมาได้เสียที ท่านต้องชดเชยของขวัญวันตรุษให้ข้านะเจ้าคะ”
เขาเบือนหน้ามามองนาง “คุณหนูสามสกุลหลีหมั้นหมายแล้วหรือ”