หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 585
บทที่ 585
หลีเจี่ยวกับหลีฮุยสองพี่น้องนั่งรถม้าไปที่จวนกู้ชางป๋อ
เพราะจูซื่อฮูหยินของกู้ชางป๋อเพิ่งล่วงลับไปไม่นาน เป็นเหตุให้จวนป๋อดูเงียบเหงาวังเวง ผู้ดูแลซึ่งเดิมทีต้องยืนต้อนรับแขกที่หน้าประตูใหญ่ในวันนี้ก็หายไปไม่เห็นวี่แวว
หลีเจี่ยวกับหลีฮุยเดินเคียงกันเข้าไป ทั้งสองรอคอยอยู่ในโถงข้างนานครู่หนึ่งถึงได้พบกับท่านตาท่านยายที่มีสีหน้าอิดโรย
“เจี่ยวเอ๋อร์ ฮุยเอ๋อร์ วันนี้ท่านยายรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง คงไม่กินอาหารพร้อมกับพวกเจ้าแล้ว นี่เป็นเงินขวัญถุงนะ”
สองพี่น้องกล่าวขอบคุณ จากนั้นตามสาวใช้ไปดื่มชาในโถงรับแขก
หลีเจี่ยวดื่มชาอย่างละเลียด เพียงรู้สึกหดหู่ใจสุดจะเปรียบ
“พี่เจี่ยว พวกเรากลับกันดีหรือไม่” หลีฮุยอดเอ่ยขึ้นไม่ได้
หลีเจี่ยวกำถ้วยชาแน่นๆ “วันนี้มาอวยพรวันตรุษที่เรือนท่านตา จะกลับไปตอนนี้ได้อย่างไร”
ปีก่อนๆ พวกนางสองพี่น้องมาอวยพรวันตรุษ ท่านยายให้ความเอ็นดูพวกนางอย่างยิ่ง พูดได้ว่าคนทั่วทั้งจวนป๋อล้วนต้อนรับพวกนางเฉกเช่นแขกผู้ทรงเกียรติ ทว่าปีนี้…
หลีเจี่ยวเม้มปาก อันว่าอูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า* ไม่ว่าอย่างไรเรือนท่านตาก็เป็นถึงจวนป๋อ จะปล่อยให้ความสัมพันธ์ของสองครอบครัวยิ่งเหินห่างกันไปเพราะการตายของท่านน้าสะใภ้ไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นภายภาคหน้าพวกนางสองพี่น้องก็จะไร้ที่พึ่งพาอาศัยมากยิ่งขึ้น
ไม่นานนักมีเสียงฝีเท้าดังลอยมา หลีเจี่ยวเหลียวหน้าไป เห็นญาติผู้น้องตู้เฟยหยางยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู
“น้องเฟยหยาง…” ในดวงตาของหลีเจี่ยวแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม
มาตรว่าจะเป็นวันตรุษ แต่ตู้เฟยหยางกลับสวมอาภรณ์สีขาวทั้งชุด เขาได้ยินเสียงเรียกของหลีเจี่ยวก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ
“พี่เฟยหยาง สุขสันต์วันตรุษขอรับ” หลีฮุยเอ่ยปากทักทาย
ยามสายตาของตู้เฟยหยางมองไปที่ตัวหลีฮุยก็อ่อนแสงลงหลายส่วน เขาผงกศีรษะเบาๆ “น้องฮุย สุขสันต์วันตรุษ”
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปากอย่างห้ามไม่อยู่
นี่น้องเฟยหยางหมายความว่าอะไร ดูท่าทางเหมือนจะไม่พอใจข้าอยู่หรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มจริงใจมากขึ้นขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมห่วงใย “น้องเฟยหยาง ดูเจ้าซูบผอมลงนะ หมู่นี้ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่หรือ”
ตู้เฟยหยางเหยียดมุมปากพลางกล่าว “ท่านแม่ข้าตายไปแล้ว ข้าจะพักผ่อนเต็มที่ได้เช่นไร นี่พี่เจี่ยวแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วหรือ”
หลีเจี่ยวอึ้งไป นางมั่นใจได้แล้วว่าน้องเฟยหยางไม่พอใจนาง แต่มันเป็นเพราะอะไร
หลีเจี่ยวลอบขุ่นเคือง หากแต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มดุจเดิม “น้องเฟยหยาง…”
หลีฮุยกลับจับแขนนางไว้ เขามุ่นคิ้วมองญาติผู้พี่ “พี่เฟยหยาง ท่านน้าสะใภ้จากไปแล้ว ข้าเข้าใจจิตใจของท่านได้ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าท่านโกรธเคืองพี่สาวข้าด้วยเหตุใด ที่นี่ญาติผู้พี่เป็นเจ้าของเรือน พวกข้าเป็นแขก ในเมื่อท่านไม่เต็มใจพบพวกข้า เช่นนั้นพวกข้าก็ขออำลา พี่เจี่ยว พวกเรากลับเถอะ”
“น้องสาม เจ้าปล่อยมือสิ” หลีเจี่ยวคาดไม่ถึงว่าหลีฮุยจะมีนิสัยโผงผางเฉกนี้ นางสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาพลางเอ่ยอธิบายกับตู้เฟยหยาง “น้องเฟยหยาง ฮุยเอ๋อร์ก็เป็นคนอย่างนี้เอง เจ้าอย่าเก็บใส่ใจเลยนะ”
หลีฮุยมองพี่สาวอย่างผิดหวังในตัวนางแวบหนึ่งก่อนหันหลังออกเดินไป
“น้องสาม…” หลีเจี่ยวร้องเรียกคำหนึ่ง เห็นหลีฮุยสาวเท้าออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เหลียวหลัง นางจึงจำต้องไล่กวดตามไป
ตู้เฟยหยางมองตามแผ่นหลังของสองพี่น้องที่ห่างไปไกลแล้วกำหมัดชกผนังทีหนึ่ง
เมื่อขึ้นรถม้ากลับจวน หลีเจี่ยวพูดเอ็ดน้องชาย “น้องสาม จู่ๆ เจ้าโมโหโทโสอะไร น้องเฟยหยางเพิ่งเสียมารดาไป จะโศกเศร้าก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้”
หลีฮุยมองพี่สาวอย่างพินิจ เขาโคลงศีรษะกล่าวว่า “พี่เจี่ยว หรือท่านมองไม่ออกว่าตู้เฟยหยางพาลโกรธท่านอยู่”
“พาลโกรธข้า?” หลีเจี่ยวนิ่งขึงไปเล็กน้อย นางเอ่ยพึมพำ “พาลโกรธข้าเรื่องอะไร”
หลีฮุยยิ้มเยาะ “ใครจะไปรู้เล่า บางทีอาจเห็นว่าการตายของท่านน้าสะใภ้เกี่ยวกับท่านก็ได้”
หลีเจี่ยวเบิกตากว้างอย่างสุดระงับ “เกี่ยวกับข้า?”
หลีฮุยหลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงปึ่งชา “ท่านน้าสะใภ้ว่าจ้างคนมาสาดอุจจาระใส่หน้าประตูจวนเราเพื่อระบายความโกรธแทนตู้เฟยเสวี่ยมิใช่หรือ ผลปรากฏว่าไปล่วงเกินกวนจวินโหวเข้าถึงได้ลุกลามไปจนฆ่าตัวตาย แล้วถ้าไม่ใช่เพราะพี่เจี่ยว ตู้เฟยเสวี่ยจะได้รู้จักกับน้องเจาจนพวกนางเกิดเรื่องบาดหมางกันได้อย่างไรเล่า”
“นี่…นี่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าด้วย”
หลีฮุยเหยียดยิ้ม “เดิมทีไม่เกี่ยวกับพี่เจี่ยวหรอก แต่คนที่ไม่ยอมรับความจริงมักหาใครสักคนเป็นที่ระบายอารมณ์ ตู้เฟยหยางเอาความโกรธไปลงกับกวนจวินโหวไม่ได้ก็เลยได้แต่ลงกับพี่เจี่ยวแล้ว”
จิตใจของหลีเจี่ยวราวกับอยู่ในหม้อน้ำมันเดือด นางเอื้อนเอ่ยคำใดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
สำหรับตู้เฟยเสวี่ยกับตู้เฟยหยางนั้น ถือได้ว่าเป็นคนที่นางเฝ้าประจบประแจงมาตั้งแต่เล็กจนโต ยามอยู่ด้วยกันนางก็ยอมเป็นเบี้ยล่างให้ ใครจะรู้ว่าลงท้ายตู้เฟยหยางกลับพาลโกรธนาง แต่น้องสามที่เฉยเมยกับพวกเขาเสมอมากลับไม่เป็นไร
ไยโลกเรานี้ช่างไม่ยุติธรรม!
“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่สมควรเดินออกมาเช่นนี้”
หลีฮุยยกยิ้ม “รู้ทั้งรู้ว่าเขาพาลโกรธอยู่พี่เจี่ยวยังจะยอมให้เขาเหยียบย่ำตามอำเภอใจหรือ นั่นมีแต่จะทำให้เขารู้สึกว่าพี่ร้อนตัว วันหน้าก็จะหนักข้อยิ่งขึ้น พี่เจี่ยว ท่านจงจำไว้ว่าถึงแม้พวกเราจะกำพร้ามารดา แต่ก็เป็นหลานชายกับหลานสาวของจวนกู้ชางป๋ออย่างถูกต้องชอบธรรม และจุดนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเพราะตู้เฟยหยาง”
นับวันเขายิ่งไม่เข้าใจพี่สาวมากขึ้น ทั้งที่ในจวนมีทั้งท่านย่าท่านพ่อที่ให้ความรักและทะนุถนอม ไฉนต้องฝืนใจตนเองไปประจบประแจงคนอื่น ซ้ำยังไม่เป็นมิตรกับน้องเจาที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกันอีก
ได้ยินถ้อยคำของน้องชายแล้ว หลีเจี่ยวพิงผนังรถม้าไม่พูดไม่จา
ไหนเลยน้องสามจะรู้ถึงความลำบากของนาง
น้องสามเป็นหลานชายสายเลือดภรรยาเอกเพียงคนเดียวของจวนตะวันตก วันหน้าคนทั้งจวนล้วนต้องรุมล้อมเอาใจเขา ส่วนนางเป็นเพียงหนึ่งในหมู่หลานสาวมากมายเท่านั้น
หากนางไร้ชั้นเชิงกลอุบาย ไม่รู้จักประจบประแจงให้ถูกจังหวะ เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนนี้แต่แรกแล้ว
พาลโกรธ? ฮ่าๆ น้องสามพูดถูก ที่เรียกว่า ‘พาลโกรธ’ นั้นก็แค่เลือกบีบมะพลับนิ่มเท่านั้นเอง ตู้เฟยหยางไม่กล้าพาลโกรธกวนจวินโหว ถึงขั้นไม่กล้าพาลโกรธหลีซาน แต่กลับมาพาลโกรธนาง!
ถึงที่สุดแล้วเพราะดูถูกว่านางไร้ที่พึ่งพาอาศัย!
หลีเจี่ยวหลับตาลง ความปรารถนาอยากไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้สูงศักดิ์ในใจนางยิ่งแรงกล้าขึ้น
พริบตาเดียวก็ถึงเทศกาลหยวนเซียว*
ดวงเดือนลอยเลื่อนเหนือยอดไม้ หนุ่มสาวนัดหมายหลังโพล้เพล้
เทศกาลหยวนเซียวเป็นวันที่ชายหนุ่มหญิงสาวชาวเมืองหลวงนัดพบกันอย่างเปิดเผยมาแต่ไหนแต่ไร มีคู่สามีภรรยาตั้งมากเท่าไรก็สุดรู้ที่ล้วนได้เฒ่าจันทราชักพาส่งเสริมในวันนี้
เฉียวเจาที่ได้รับคำชวนจากเซ่าหมิงยวนก็แต่งองค์ทรงเครื่องเตรียมตัวออกจากเรือน ส่วนหลีเจี่ยวนั่งรถม้าออกไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว
นับแต่ตู้เฟยเสวี่ยพักอยู่ในจวนไท่หนิงโหวของท่านตา นางก็กินน้ำตาต่างข้าวทุกวัน ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวสงสารหลานสาว จึงให้จูเยี่ยนกับจูเหยียนสองพี่น้องออกมาผ่อนคลายจิตใจเป็นเพื่อนนาง
หลีเจี่ยวซึ่งถือเทียบเชิญที่ตู้เฟยเสวี่ยให้คนถือมาส่งให้อยู่บนรถม้าอดยิ้มไม่ได้
น้องสามไม่เข้าใจที่นางยอมกล้ำกลืนฝืนทน เขากลับไม่รู้ว่ามีโอกาสมากมายที่ได้มาอย่างนี้นั่นเอง
ท้องฟ้ามืดสลัวลงทีละน้อย ริมถนนสองฝั่งประดับโคมไฟสว่างไสวดุจยามกลางวัน ผู้คนเนืองแน่นล้นหลาม
เฉินกวงคุ้มครองเฉียวเจาเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังพลางบ่นอุบอิบในใจ ท่านแม่ทัพยิ่งมายิ่งมีลูกเล่นแพรวพราวขึ้นทุกที ตนเองไม่มารับคุณหนูสาม กลับเจาะจงให้ข้าพาไปส่ง บอกว่าอยากสร้างความตื่นเต้นประหลาดใจให้นาง
สวรรค์! คนเยอะอย่างนี้ เกิดไม่ระวังทำคุณหนูสามหายไป เช่นนั้นคงกลายเป็นตื่นตกใจเสียขวัญแทนแล้ว
ขณะสารถีน้อยคิดคำนึงอยู่อย่างนี้ โคมไฟสูงเทียมต้นไม้พลันล้มลงมากะทันหัน
* อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า เป็นสำนวน หมายถึงคนร่ำรวยมีเกียรติต่อให้ยากจนตกอับก็ยังดีกว่าชาวบ้านทั่วไป
* เทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติจีน ซึ่งเป็นคืนแรกของปีที่พระจันทร์เต็มดวง คนในครอบครัวจึงมาชมจันทร์กันพร้อมหน้า และรับประทานขนมบัวลอยซึ่งแสดงถึงความกลมเกลียว ภายหลังจัดเป็นงานฉลองยิ่งใหญ่ต่อเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน มีประเพณีประดับโคมไฟ จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเทศกาลโคมไฟ